เบื้องหลัง "บิ๊กทิน" ขอคำหารือ "บิ๊กโอ๋" พล.อ.อ.สุกำพล เผยเคล็ดลับกุมบังเหียน ก.กลาโหม กับการปฏิรูปกองทัพ ลดนายพล เลิกเกณฑ์ทหาร และปัญหาความหวาดระแวงในรัฐบาลพลเรือน...

เป็นหนึ่งในบุคคลที่ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เข้าพบ และขอคำแนะนำ สำหรับ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะถือเป็นรุ่นพี่มีประสบการณ์ เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในการคุมบังเหียนกองทัพ

แต่กับภารกิจสำคัญของรัฐบาลเพื่อไทยในเวลานี้ ที่นายสุทินได้รับ คือการปฏิรูปกองทัพ ลดจำนวนนายพล จะเป็นไปในทิศทางไหน "บิ๊กโอ๋" พล.อ.อ.สุกำพล ให้คำแนะนำอย่างไร วันนี้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้นำบทสัมภาษณ์พิเศษ มาฝากให้ได้อ่านกัน...

เบื้องหลัง การขอเข้าหารือของ “บิ๊กทิน” และการลดจำนวนนายพล 

พล.อ.อ.สุกำพล เล่าถึงการพบปะพูดคุยกับ นายสุทิน ว่า ท่านก็เข้ามาหารือเรื่องการทำหน้าที่ รมว.กลาโหม สิ่งที่บอกไป คือ “คำแนะนำ” ว่าหากเข้าไปแล้วจะเจอกับอะไรบ้าง เช่น ทีมงานจัดแบบไหน อย่างไร มีภารกิจอะไรบ้าง อาทิ การประชุมสภากลาโหม, นายกองค์การทหารผ่านศึก 

“ตอนแรกเขายังไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเกณฑ์ทหาร ลดนายพล ซึ่งเวลานี้เขารู้แล้วว่ามีภารกิจอะไร มีเป้าหมายอย่างไร และเพราะอะไรถึงต้องมีภารกิจเหล่านี้” 

แนวทางที่ให้คำแนะนำไป สำหรับการปฏิรูปกองทัพ? พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทหารระดับ “นายพล” มันเยอะเกินไป หากไปดูกองทัพใหญ่ๆ ยกตัวอย่าง สหรัฐฯ ออกไปรบกับอิรัก โฆษกของเขา ยศแค่ พันตรี หรือ พันโท แต่ของเรายศถึงพลเอก 

...

“นายพลมันเยอะไป จนใช้นายพันทำงานไม่เป็นแล้ว...” บิ๊กโอ๋ กล่าวติดตลก 

ก่อนจะเปลี่ยนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า การที่มียศสูง เงินเดือนก็สูงตามไปด้วย เหมือนข้าราชการพลเรือนทั่วไป ฉะนั้น เราต้องกลับมาดูว่าจะทำอย่างไร ให้ยศที่ได้มาตรฐาน เช่น ผู้บังคับกองพัน ต้องยศพันโท หรือ ผู้บังคับฝูง ยศ นาวาอากาศโท อันไหนเป็นมาตรฐานก็รักษาไว้ ส่วนเรื่องเงินเดือน จะเป็นอย่างไรนั้น ก็ต้องมาดูว่าสามารถขึ้นได้หรือไม่ เพราะหากเป็นข้าราชการพลเรือน เงินเดือนเขาขึ้นได้ แต่พวกเรากลับขึ้นไม่ได้ และหากจะแก้ไข ก็ต้องมาคุยกับ ก.คลัง เนื่องจากทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกันหมด 

พล.อ.อ.สุกำพล ให้ความเห็นว่า ในอนาคต อาจจะเกษียณแค่ยศพลตรี หรือ พันเอก ก็เพียงพอแล้ว ใหญ่มากแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ เงินเดือนมันต้องขึ้นด้วย ไม่ใช่อยู่แบบนี้แล้วเงินไม่ขึ้น”

บิ๊กโอ๋ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า บ้านเราจะทำเหมือนกับฝรั่งไม่ได้ เช่น หากอายุเท่านี้เรายศเพียงเท่านี้ คุณต้องออก หากทำแบบนี้เมื่อไหร่ จะไม่มีคนมาทำงาน...

“ของฝรั่ง เช่น ในสหรัฐฯ หรือ ยุโรป เมื่อได้ยศเท่านี้เขาลาออกไปทำงานเอกชนได้ เช่น บริษัทค้าขายอาวุธ หรือ เรดาร์ แต่ประเทศไทยไม่มีบริษัทเหล่านี้รองรับ จะให้ออกไปเป็นยามหรือ...?” 

แปลว่า การลดจำนวนนายพล มีนานแล้ว...? พล.อ.อ.สุกำพล ยอมรับว่าเป็นเช่นนี้ แต่...เมื่อคนที่เป็นใหญ่แล้ว อ้าวๆ...จะลด(จำนวน) แต่ก็ทำแบบไม่ตั้งใจลด 

“หากเป็นผล วิธีการ คือ ลดทันทีเลย ไม่จำเป็นต้องรอถึงปี 70 แต่สิ่งที่จะทำ คือ ไม่เอาคนออก แต่อาจจะมีประจำบ้าง ใช้งานสลับสับเปลี่ยนไป” 

การปฏิรูปกองทัพ กับ รมว.กลาโหม ที่มาจากพลเรือน 

เมื่อถามว่า แผนปฏิรูปกองทัพ กับ แผนของเพื่อไทย แตกต่างกันหรือไม่ และต่างกันส่วนไหน “บิ๊กโอ๋” กล่าวว่า เพื่อไทยไม่มีแผนหรอก...เพียงแต่บอกว่าต้องการปฏิรูปกองทัพ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ซึ่งหากจะทำ ก็ต้องทำตามประเพณีของเขา เพียงแต่ว่าให้นโยบายลงมาว่าต้องการ “ลดกำลังพล” ซึ่งต้องให้ทุกฝ่ายยอมรับด้วย เพราะทหารก็มีประเพณีของเขา ใช่ว่าจู่ๆ คุณจะไปสั่งโครมๆ มันก็ไม่ได้...โดยก็ต้องมาหารือกัน เช่น “แม่ทัพน้อย” ควรมีไหม หากไม่ควร ก็เอาออกไป  “ผู้ช่วย ผบ.ทบ.” มี 2 คน มากไปหรือไม่ หรือรองปลัด ก.กลาโหม มีผู้ช่วย 4 คน มากไปหรือไม่ ตำแหน่งเหล่านี้ บางครั้งมันมีมาก แต่ใช้น้อย 

...

“ตอนผมเป็น รัฐมนตรีกลาโหม หัวหน้าฝ่ายเสธ.ฯ ของผม มียศ พล.อ.แต่ผมต้องการแค่ พล.ต. ซึ่งยศ พล.ต. นี่ใหญ่มากแล้ว ส่วนคนอื่น ตำแหน่งอื่น มีเท่าไรก็ไปพิจารณาเอาเอง เหล่านี้คือแท็กติก และวิธีการของแต่ละคน ว่าจะไปบริหารจัดการอย่างไร” 

ด้วยที่การบริหารจัดการกองทัพ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ แล้วกับกรณี นายสุทิน ซึ่งเป็นพลเรือน จะมีความเข้าใจขนาดไหน พล.อ.อ.สุกำพล ได้ยกตัวอย่างว่า ทำไม ปธน.สหรัฐฯ ถึงได้เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ฉะนั้น เรื่องนี้มันไม่เกี่ยว เพราะถือว่าเป็นผู้ให้นโยบาย 

“หากคุณมาจากการเลือกตั้ง คุณคือ ถูกที่สุดแล้ว!” พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว และย้ำว่า การเป็นผู้บัญชาการสูงสุด คือการให้นโยบาย เช่น ไปรบ บุกอิรัก เพราะหากคุณให้ไปแล้ว เขาก็ไปถามผู้นำเหล่าทหารว่า หากจะบุกอิรัก ทำได้ไหม ผู้นำเหล่าทัพก็จะให้คำแนะนำมา ได้อย่างไร ไม่ได้อย่างไร ซึ่งถามว่า ปธน. รู้เรื่องวิธีการรบหรือ เขาก็ไม่รู้ เพราะไม่ใช่ทหาร แต่ก็ตัดสินใจ ว่าจะรบหรือไม่รบ” 

มีโอกาสสูง "ยกเลิกเกณฑ์ทหาร" 

...

สำหรับประเด็นการ “ยกเลิกเกณฑ์ทหาร” พล.อ.อ.สุกำพล มองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก คือ ต้องลดจำนวนการเกณฑ์ทหารก่อน ซึ่งเรารู้อยู่แล้ว ว่าแต่ละปี เราต้องการทหารเกณฑ์ 80,000-90,000 คน รวม 3 เหล่าทัพ แต่ทุกปีจะมีสมัครประมาณ 30,000 คน ฉะนั้น ก็ยังขาดอยู่ราว 50,000 คน สมมติว่ามีการลดยอดเกณฑ์ทหาร ให้เหลือสัก 60,000 คน 

ยอดเกณฑ์เหลือน้อยไหม...ทีมข่าวฯ ถามทันที พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า ต้องดูภารกิจ ว่าจะเกณฑ์ไปทำอะไรบ้าง เราเองต้องมีความรู้อยู่พอสมควร 

“ประเทศไทย ถือเป็น “ไข่แดง” ในอาเซียน โดยมีไข่ขาวล้อมรอบ เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย คำถามคือ เราจะไปรบกับใคร เพราะแถวนี้ก็เป็นเพื่อนกันหมด ขีดความสามารถเราได้เท่านี้ ใช่ว่าเราจะไปรบกับประเทศใหญ่ๆ มหาอำนาจของโลก” พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวและว่า 

เมื่อเป็นแบบนี้เราก็มาดูว่า การรบวันข้างหน้าเป็นอย่างไร คำตอบ คือ การรบแบบลูกผสม แบบ Joint task Force เช่น เราส่งทหารช่างไปช่วยที่ซูดาน ส่งทหารเรือไปแก้ปัญหาโจรสลัด เป็นต้น 

...

หากมาดูรายละเอียดในอาเซียน เรารวมตัวกันเรื่องอะไร คำตอบ คือ ระบบเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งเศรษฐกิจในอาเซียนก็คล้ายกันหมด ซึ่งก็ถือว่าไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะเราต้องค้าขายแข่งกัน แต่สิ่งที่ต่างคือ ทางทหาร มันรวมตัวกันง่ายกว่า ถึงแม้วัตถุประสงค์ของอาเซียน ไม่รวมกันทางทหารก็ตาม

“เชื่อว่าการยกเลิกเกณฑ์ทหาร กับ ลดจำนวนนายพล นั้น จะไม่ส่งผลกับกองทัพ แต่ก็ต้องมาดูภารกิจว่ามีเป้าหมายอย่างไร การรบในอนาคตเป็นอย่างไร เช่น หากจะรบในปีหน้า คุณได้งบมาแสนล้าน มันไม่มีประโยชน์ เพราะเครื่องบินซื้อไม่ได้ทันที การฝึกต้องใช้เวลา และใช้ว่าฝึกได้จะรบได้ เพราะมันต้องดูถึงความชำนาญ ทหารจะมีธรรมชาติของแต่ละหน่วยอยู่ เช่น ทหารบก จะรบได้เร็วที่สุด เพิ่มได้เร็วสุด ฝึกแค่ 6 เดือน ก็รบได้ ส่วนทหารอากาศ ไม่พอ เครื่องบิน ซ่อมบำรุง” 

เรือดำน้ำ ในทัศนะอดีต รมว.กลาโหม 

เมื่อพูดถึงทหารบก ทหารอากาศ แล้ว ทีมข่าวจึงถามถึงโปรเจกต์เรือดำน้ำ บิ๊กโอ๋ ให้ความเห็นส่วนตัวว่า เรือดำน้ำ ก็น่าจะมีได้ เพียงแต่ว่าอาจจะเริ่มต้นด้วยเรือลำเล็กๆ ก่อน เช่น สิงคโปร์ ประเทศเล็กๆ แต่เขามีเรือดำน้ำมากมาย และเขาก็เริ่มมีจากลำเล็กๆ ก่อน และเมื่อเขาเก่ง เขาก็ซื้อเรือดำน้ำชั้นเยี่ยมจากฝรั่งเศสเลย

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นยกแรกเท่านั้น การจะซื้ออะไรมันต้องผ่านรัฐบาล และอนุมัติโครงการโดย ครม. ซึ่งก็ต้องอธิบายว่ามีความจำเป็นอย่างไร หากอธิบายแล้ว ให้ไม่ให้อีกเรื่อง หากรัฐบาลมีความรู้ที่ดี มีทีมที่ปรึกษาดี ก็จะหลอกกันไม่ได้ 

แบบนี้ท่านเศรษฐาสามารถสื่อสารกับทหารโดยตรงได้หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า ท่านไม่มีที่ปรึกษาที่เป็นทหารเลย แต่เชื่อว่ามีการคุยกัน ฉะนั้น การเลือกกุนซือที่รู้ลึกรู้จริงถึงเป็นสิ่งสำคัญ จะไม่สามารถให้ใครหลอกได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ นโยบาย ต้องชัดเจนว่าเราไม่รุกรานใคร เรือดำน้ำ มีได้ เพราะมันสามารถใช้ได้ทั้งเชิงรุกและรับ 

เมื่อถามว่า ข้อเสนอจากจีน เวลานี้มองอย่างไร พล.อ.อ.สุกำพล ตอบในนามส่วนตัวว่า “เป็นผม ผมไม่เอา” เพราะเรือชั้นหยวน ได้ลงไปดูมาแล้วที่ชิงเต่า เรือนี้ถือว่าลำใหญ่ไป เหมือนเรามีรถขันแรก จะขับ S-ClASS เลยไหม เราอาจจะเริ่มต้นด้วยวีออสก่อน หากเก่งแล้วค่อยพัฒนาขึ้น ซึ่งเรื่องขึ้นอยู่กับรัฐบาลเพื่อไทย และการนำเสนอเรื่องขึ้นมา ดังนั้น มันก็ต้องมาดูเหตุผลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ หากมีเหตุผลที่ดีก็เอา แต่ถ้าเหตุผลไม่ดี และเรารู้ว่าไม่ดี ก็ไม่ควรเอา  

ทีมข่าวฯ ถามว่า ถึงวันนี้ ความหวาดระแวงระหว่าง กองทัพ กับ รัฐบาลพลเรือน หมดไปหรือยัง...พล.อ.อ.สุกำพล ตอบว่า แท้ที่จริงแล้ว หากทหารขึ้นกับรัฐบาลเหมือนกับทั่วโลก มันก็จบ ทำไมสหรัฐฯ หรือยุโรป มีสุดยอดอาวุธ อย่างปรมาณู เขายังไม่ปฏิวัติกันเลย ที่ผ่านมา ผบ.ทอ. ของสหรัฐฯ เคยถูกสั่งย้าย เพราะมีการขนย้ายนิวเคลียร์ โดยไม่ขออนุญาต ปธน. ก่อน เพราะกติกาเขาเขียนไว้แบบนั้น ทุกอย่างจบเลย แต่ของเราไม่เป็นแบบนั้น มันมีการรวมหัวกัน มีแบ็ก ถามว่าหากแบ็กไม่ดีจะทำไหม เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ 

ในฐานะเพื่อนเตรียมทหาร ได้มีการเยี่ยม หรือพูดคุยกับ อดีตนายกฯ ทักษิณ บ้างไหม หลังกลับมาประเทศไทย พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวสั้นๆ ว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกัน และไม่ได้เข้าเยี่ยม เพราะเขาติดคุกอยู่ จะไปเยี่ยมหรือคุยกันได้อย่างไร...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่น่าสนใจ