ประวัติของนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ที่ผ่านมาอาจไม่โดดเด่นนัก แต่ช่วงนี้สุดฮอต เพราะออกสื่อแทบทุกวัน บางวันออกสื่อตลอดวัน ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ที่จัดว่าเป็น สว.ตัวตึง ที่ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนว่า ไม่โหวตให้นายกรัฐมนตรีที่แตะต้อง ม. 112
หลายครั้ง สว.กิตติศักดิ์ แสดงความเห็นที่พร้อม และตั้งใจชนกับความเห็นต่าง มาด้วยความแรงทั้งลีลา และภาษา ในแบบที่เรียกได้ว่า ยังผลให้ได้ทั้งกองเชียร์ และรับคณะทัวร์มาเต็มที่
อะไรที่ทำให้ สว.กิตติศักดิ์ อายุ 67 ปี คนนี้ มีไฟแรงลุกโชนในช่วงโหวตนายกรัฐมนตรี และเขาทำใจอย่างไรเมื่อเจอทัวร์มาจำนวนมาก ที่สำคัญเมื่อจบภารกิจโหวตนายกรัฐมนตรีแล้ว บทบาทของ สว.กิตติศักดิ์ จะทำอะไรต่อ มาฟังคำตอบล่าสุดที่เขาเปิดใจกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
“พร้อมรับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เวลาวิกฤติที่โดนทัวร์ลงเยอะ ผมจะไม่ค่อยตกใจ เพราะเราตั้งสมาธิว่า ชมก็เฉย ด่าก็เฉย สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ว่าอายุเยอะเท่าไร จิตใจก็ปล่อยวางให้ได้ พร้อมเจอทุกสถานการณ์ และหาความสุขเท่าที่จะทำได้ เช่น เลิกจากงาน เหนื่อยเครียด กลับถึงบ้านรดน้ำต้นไม้ ตัดกิ่งไม้ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ใช้ชีวิตยามเกษียณให้มีความสุขมากที่สุด”
นั่นคือหลักที่ สว.กิตติศักดิ์ ยึดในการรับมือกับสถานการณ์ช่วงนี้ และสิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อกระแสมาแรงในโซเชียล เขาบอกว่า ก็ต้องไม่ดู และกลับมาทบทวน รวมถึงปรึกษาคนรอบข้าง
“ถ้ากระแสแรงจะไม่ดู จะไม่อ่าน เราก็กลับมาทบทวนตัวเองว่าทำอะไรอยู่ หลักการเราที่เราทำอยู่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าเราปรึกษาเพื่อนร่วมงาน ผู้หลักผู้ใหญ่ว่า ที่ทำใช่หรือไม่ ควรจะปรับตรงไหนบ้าง ผมจะเมินกระแสทางนี้ เพราะมาแล้ว เดี๋ยวก็ผ่านไป
...
เรายึดหลักว่า เราเอาอะไรเป็นตัวตั้ง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นตัวตั้ง และประชาชนจะต้องได้อะไร แต่เราไม่เสียดายว่าเราเสียอะไร แต่ว่าประเทศชาติ สถาบันต้องอยู่ ตัวเราไม่อยู่ไม่เป็นไร ผมยึดมั่นตรงนี้ ที่ผ่านมาผมเจอมาหมดแล้ว ทั้งทุกข์ทั้งสุข เราถือว่าเป็นเรื่องปกติ ชีวิตมนุษย์เกิดมา ควรต้องเจอ และต้องจัดการให้ได้ ฆ่าความทุกข์ ฆ่าความโลภ ความโกรธให้ได้ มิฉะนั้น เราอยู่จมปลักสิ่งเหล่านี้”
หลายคนที่เคยรู้จักเขาในช่วงกว่า 10 ปีที่แล้ว ชื่อของ กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ชาวจังหวัดพิจิตร กับบทบาทของ ประธานชาวนาภาคเหนือ จะนึกไม่ถึงว่าวันนี้ ชื่อของกิตติศักดิ์ จะได้รับการกล่าวถึง และจดจำใหม่ว่า เป็น สว.ตัวตึง
“ผมเรียนตามตรงว่า ที่มาออกสื่อยอมรับว่าเหนื่อย ขับรถมาจากพิจิตร (4 ชั่วโมง) เพราะผมเป็นสื่อเก่า เราเข้าใจตรงนี้ ถ้าเวลาสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปสู่ปกติ ผมก็หมดความจำเป็น แต่ในขณะนี้ เราเข้าใจน้องๆ ว่าต้องการตรงนี้ ต้องการเรตติ้ง ต้องเป็นคนนี้ เราเข้าใจกันตรงนี้ จึงไม่ค่อยปฏิเสธ”
ตัวจริงๆ เหมือนที่ออกสื่อแบบนี้ไหม
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ เขาเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของการแสดง จริงๆ ผมไม่ใช่อย่างนั้น มีเพื่อน ๆ พี่ๆ สว.บอกว่าพี่อย่างเปลี่ยนลุคนะ ถ้าเปลี่ยนลุคจะไม่ใช่พี่”
หลายคนสงสัย และถามเสมอว่า ถ้าจบภารกิจโหวตนายกรัฐมนตรีแล้ว ตั้งรัฐบาลแล้ว จะวางบทบาทตัวเองในอนาคตอย่างไร มีคำตอบยาว และชัดเจนดังนี้
“ตรงนี้มีถามมากันมาก นักการเมืองก็ถามมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ถามเยอะ ว่าะจะเอายังไงต่อ ผมบอกว่าไม่เคยคิด ไม่รับไม่ปฏิเสธ ทำหน้าที่ที่อยู่ให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย แล้วค่อยว่ากัน
ถ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย ก็อยู่กับบ้านอยู่กับครอบครัว ไม่ทะเยอทะยาน เพราะมาสูงสุดแล้ว ผมเป็นเกษตรกร เป็นชาวบ้านธรรมดา มาตรงนี้สูงสุดในชีวิตแล้ว ทรัพย์สินเงินทอง ผมไม่ปรารถนาอยู่แล้ว ผมอยู่ตรงนี้มาสิบปี แค่หมดหนี้หมดสินเท่านั้นเอง ไม่มีเงินทองเก็บมากมาย ที่ผมเป็นมาสิบปีนี้ ไม่มีนักการเมืองมาขุดมาเจาะผมได้ เพราะผมไม่มีแผลตรงนี้”
...
แน่นอนว่า มีการเทียบเชิญเขาไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ไว้ ซึ่งเขาบอกว่า หากสุขภาพยังดี สติปัญญายังดี ก็อาจได้เจอกันในบทบาทใหม่ในอนาคต
“ยอมรับว่ามีการเชิญไปดำรงตำแหน่งต่างๆ เยอะมาก ผมคิดว่านี่แหละ ยามน้ำขึ้นก็เป็นอย่างนี้ แต่เราต้องดูว่า ยามเราเผชิญกับน้ำลง เราต้องอยู่ให้ได้ อนาคตจะเป็นอะไร หรือไม่ได้เป็นอะไร ก็ไม่ตื่นเต้นเลย เพราะว่าถึงสุดยอดแล้ว ถ้าบอกว่าไม่เอาแล้ว ถ้าเกิดมันไปกันได้ และเราแข็งแรงอยู่สุขภาพยังดี สติปัญญายังดี ก็อาจจะทำงานต่อ”