ดราม่า “จิมมี่ พิฆเนศ” นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งไทย ในซีเกมส์ 2023 ที่กัมพูชา สร้างความตื่นตาให้ผู้ชมด้วยลีลา โชว์หมุนแบบตัวแม่ บนสังเวียน กลับถูกเตือน หาว่าเป็นการดูถูกคู่แข่ง จนเสียสมาธิได้เหรียญทองแดง เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กลุ่ม LGBTQ+ ได้ยื่นเรื่องถึงหน่วยงาน ดูแลระดับโลก เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับวงการกีฬาเอเชีย
"จิมมี่" พิฆเนศ สุขหยิก ตัวแทนนักกีฬา คิกบ็อกซิ่ง ทีมชาติไทย คว้าเหรียญทองแดง ในการแข่งขัน ซีเกมส์ 2023 ที่กัมพูชา ได้เปิดเผยปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยลีลาการแสดงความดีใจ ด้วยการหมุนตัว สร้างความประทับใจให้กับผู้ชม โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ต้องการแสดงให้เห็นว่า เวทีการต่อสู้ แสดงออกถึงความเท่าเทียมทางเพศได้ เหตุการณ์ดราม่าเกิดขึ้น หลังจบการแข่งขันกับนักสู้จากเวียดนาม ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ หลังเสร็จสิ้นการแข่งขัน ทางสหพันธ์กีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชีย ได้เข้ามาเตือนว่า อย่าแสดงอาการ ท่าทางแบบนั้นบนเวทีอีก เพราะเป็นการไม่ให้ความเคารพคู่แข่ง และทางสหพันธ์ฯ กำลังประชุมกันว่า ควรตัดสิทธิ์จิมมี่ ออกจากการแข่งขันหรือไม่ ทำให้นักกีฬาเสียสมาธิในการแข่งขันวันถัดมา
...
จิมมี่ ยอมรับว่า “ทางสมาคมฯ ได้แจ้งกับสหพันธ์ไปว่าหนูไม่ได้มีเจตนาจะไม่ให้เกียรติใคร หนูไม่ได้คิดอะไรจริงๆ หนูแค่เป็นตัวของหนู โดยหนูเข้าไปทำความเคารพ และกอดนักกีฬาคู่แข่ง”
“โค้ชเอก” เอกรินทร์ ทองมา ผู้ฝึกสอนกีฬา คิกบ็อกซิ่ง ทีมชาติไทย กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า เหตุดราม่าที่เกิดขึ้น หลังจาก จิมมี่ แข่งเสร็จสิ้น และแสดงท่าทางดีใจตามสไตล์ของตัวเอง ทางประธานสหพันธ์กีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชีย ได้เดินเข้ามาเตือน ไม่ให้แสดงท่าดีใจดังกล่าว หากกระทำอีกจะมีการปรับแพ้
พอการแข่งขันวันถัดมา รอบรองชนะเลิศ ชื่อของนักกีฬากลับยังไม่มีโปรแกรมการแข่งขันชัดเจน แต่ขึ้นเครื่องหมาย ให้รอ ทางเทคนิคกีฬา มีเหตุผลมาจากการที่คู่แข่งประท้วง เมื่อถามคู่แข่งจากเวียดนาม กลับยืนยันว่า ไม่มีการประท้วง ขณะเดียวกันหากประท้วง ต้องยื่นเรื่องภายใน 10 นาที หลังแข่งจบ ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านข้ามวัน
ทางทีมงานพยายามสอบถามนักกีฬา น้องยอมรับว่าคู่แข่งจากเวียดนาม น่ารัก ให้กำลังใจกัน ตอนนั้นทีมงานแจ้งมายังผู้ใหญ่ในสมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย ได้เดินทางไปยังกัมพูชา ทันที โดยทีมงานมองว่า เป็นการลิดรอนสิทธินักกีฬา โดยไม่มีระเบียบรองรับ ถ้านักกีฬาไม่ได้แข่งต่อ ทีมชาติไทยจะทำการถอนทีมจากการแข่งขันทันที แต่น้องได้แข่งต่อ ทางสหพันธ์กีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชีย ได้ร่างหนังสือขึ้นมา มีเนื้อหาว่าไม่ให้แสดงท่าทางการดีใจลักษณะนั้นอีก
“การถูกเตือน ทำให้นักกีฬาขาดสมาธิในการแข่งขัน ก่อนแข่ง จิมมี่ ได้เดินมาหาผม แล้วบอกว่า โค้ชหนูมีอะไรติดในใจ ช่วยหนูหน่อย ทั้งที่เขาเป็นนักกีฬา ที่มั่นใจในตัวเองสูง ไม่งอแงกับการฝึกซ่อมหรือแข่งขัน ผมพยายามบอกเขาว่า ทุกอย่างเป็นเกมกีฬา สิ่งที่ทำไม่ได้ผิดอะไร โค้ชและสมาคมก็ไม่ได้ยอม สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือ แข่งขันและรับใช้ชาติให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ทางสมาคมฯ จะจัดการให้”
หลังจบแข่งขัน สมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย ตัดสินใจลาออกจากสหพันธ์กีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชีย และยื่นเรื่องไปยังสหพันธ์กีฬาคิกบ็อกซิ่งโลก เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในการแข่งขัน บนเวทีระดับนานาชาติ
...
โดยส่วนตัวเห็นแวว จิมมี่ ตั้งแต่มาคัดเลือกช่วงแรก น้องเคยเป็นนักกีฬาคาราเต้ ทำให้สามารถนำทักษะที่มีอยู่มาใช้ในกีฬาคิกบ็อกซิ่ง สไตล์การเล่นมีความดุดัน แม้น้องมีความหลากหลายทางเพศ แต่ผู้ชายบางคนออกอาวุธไม่ดุดันเท่า จนได้ก้าวไปสู่การเป็นแชมป์เอเชีย
“สิ่งที่โดดเด่นของ จิมมี่ คือความใฝ่รู้ หากไม่รู้ หรือไม่เข้าใจจะถามโค้ช ถ้าเรื่องไหนยังไม่ได้คำตอบชัดเจน จะไปหาข้อมูล และค้นคลิปวิดีโอมาเปิดดู และมานั่งวิเคราะห์การออกอาวุธกับโค้ช ถ้าอนาคตมีการแข่งขันคิกบ็อกซิ่ง ระดับโลก จิมมี่ จะสามารถก้าวไปสู่ในระดับนั้นได้แน่นอน”.