“คดีน้องต่อ” หรือ เด็กน้อยวัย 8 เดือน ที่หายไปอย่างปริศนา และถึงวันนี้ ผ่านไปเกือบ 20 วัน ก็ยังไม่พบตัว

ถึงแม้ คดีน้องต่อ จะยังไม่คืบหน้า แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในครอบครัว กลับเป็นข่าวโด่งดัง บางคนถูกตั้งข้อหาฉกรรจ์ โดยเฉพาะ พ่อและลุง ในขณะที่ “แม่” ของเธอก็ยังเป็นเยาวชนอยู่ และล่าสุดได้ยอมรับว่า โกหกเรื่อง “ชายเสื้อเหลือง” ที่อุ้มหนูน้อยไป ว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง ฉะนั้นเรื่องทั้งหมดจึงพุ่งตรงไปที่เธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่กำลังตั้งข้อสงสัยว่า แม่ “อาจจะ” มีอาการป่วย ด้วย โรคไซโคพาธ (Psychopaths) หรือ โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีใครยืนยันคำตอบ คงต้องรอตรวจสอบกับ “จิตแพทย์” ต่อไป

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ อยากชวนทุกท่านมารู้จัก โรค “ไซโคพาธ” โรคนี้มีอาการเป็นอย่างไรกันแน่ และเพราะเหตุใดโรคนี้ จึง “น่ากลัว” กว่าคนป่วยจิตเวช

...

ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม จิตแพทย์ชื่อดัง ผู้ที่เคยเข้าบำบัดอาการทางจิตให้กับผู้ต้องขัง รวมถึงเคยศึกษาพฤติกรรมฆาตกรต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นอธิบายว่า โรคไซโคพาธ (Psychopaths) ในมุมของแพทย์จิตเวชมองว่าเป็น “พฤติกรรมต่อต้านสังคม” หรือ “อาฆาตสังคม”

คนที่เป็นโรคนี้มักจะมีพฤติกรรมต่อต้านกฎเกณฑ์สังคมทุกรูปแบบ สมมติว่า มีกฎว่าห้ามขับรถเร็ว ก็จะขับ ห้ามจอดบริเวณนี้ก็จะจอด คนกลุ่มนี้จะไม่รู้กาลเทศะ อะไรควรทำ ไม่ควรทำ จะไม่รู้และไม่สนใจ ที่สำคัญคือจะไม่มีความรู้สึกผิด ไม่ละอายใจ ไม่เสียใจ เมื่อทำอะไรไปแล้วจะรู้สึกว่าสะใจ

ถ้าอยู่ในสหรัฐฯ ก็จะเป็นกลุ่มที่ชอบขีดเขียนคำหยาบบนฝาผนัง เอาก้อนหินปาใส่บ้านคนอื่น

“ลักษณะนิสัยส่วนมากจะเป็นคนใจร้อน อารมณ์ร้าย ฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นในเมืองไทยจำนวนมาก คือ เวลาขับรถ ปาดซ้ายขวา ไม่สนใจความรู้สึกของใคร แล้วเวลาถูกจับก็จะพูดโกหกหน้าตาเฉย”

และหากมีพฤติกรรมที่ชอบฆ่าสัตว์เมื่อไหร่ก็จะเป็นอันตราย เช่น เริ่มจากฆ่าสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง จาากนั้นก็ฆ่าสัตว์เลี้ยง และเมื่อไหร่ก็ตามเริ่มทำร้ายคน ข่มขวัญ ข่มขู่ ทิ้งขว้าง ทารุณ หรืออาจจะฆาตกรรม โดยไม่มีคำว่า “ศีลธรรม” ในใจ

สาเหตุอาการป่วย “ไซโคพาธ”

ดร.วัลลภ เผยสาเหตุคนป่วยโรคนี้ว่า อาจจะมาจากตนเองเคยถูกทำร้าย ทอดทิ้ง ใส่ร้าย แล้วทุกอย่างมันถูกเก็บไว้ในใจ กลายเป็นค้างคาใจ เคืองใจ นำไปสู่ความ “แค้นใจ” ซึ่ง “พลังร้าย” มันอยู่ในจิตใจ จนกระทั่งวันหนึ่งมันโตขึ้น อาการมันจึงเริ่มออก

อาการเหล่านี้จะเริ่มแสดงอย่างชัดเจนเมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น พร้อมทำทุกอย่างที่ตนเองสะใจ และคนกลุ่มนี้จะ “โกหก” เก่ง เพราะตอนถูกทำร้ายก็จะโกหก เช่น ถามว่า “เจ็บไหม” เขาจะบอกว่า “ไม่เจ็บ” ทำเป็นไม่แคร์ บิดเบือนข้อเท็จจริงตลอดเวลา ทั้งที่รู้ตัว...แต่ก็จะทำ

“คนเหล่านี้น่าสงสาร เพราะถูกทำร้าย ทอดทิ้งมาตลอด จึงทำให้กลายเป็นคนที่บุคลิกภาพผิดเพี้ยน เพราะถูกทำร้าย ข่มขู่ ข่มขี่ หรือแม้กระทั่งข่มขืน”

ความแตกต่างระหว่าง “ชาย” และ “หญิง”

จากสถิติที่ตนศึกษา พบว่า คนที่มีอาการ “ไซโคพาธ” ส่วนมากจะเป็น “ผู้ชาย” มากกว่า เพราะเวลาเลี้ยงดู พ่อแม่มักลงมือรุนแรงกับผู้ชาย ผลที่ออกมา คือ ผู้ชายมักจะเกเร รวมตัวเป็นอันธพาล

...

กลับกัน ในส่วนของ “ผู้หญิง” ที่ป่วยโรคนี้ ส่วนมากจะเป็น “ลูกสาวคนโต” ส่วนหนึ่งมาจากตัวพ่อแม่เอง เพราะยังเลี้ยงลูกไม่เป็น เมื่อหงุดหงิดก็มาใส่กับลูก เลี้ยงลูกโดยไม่รับผิดชอบ เมื่อเขาโตขึ้นมา เขาก็เลยไม่รับผิดชอบใคร...สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สำหรับบางคนพอมีลูกแล้วจึงรู้สึกว่าไม่อยากเลี้ยงดู ไม่อยากรับผิดชอบอะไร จึงออกมาลักษณะต่อต้านสังคม ต่อต้านกฎเกณฑ์ของสังคม

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีสาเหตุทั้งสิ้น...โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาด้านบุคลิกภาพนั้นอันตรายกว่าคนที่มีปัญหาด้านจิตเวช และโรคประสาท คนป่วยโรคประสาทจะมีความรู้สึกกลัว วิตกกังวล กลัวผิดกลัวถูก ส่วนโรคจิตเองจะมีอาการประสาทหลอน บางครั้งทำอะไรไปโดยที่ไม่รู้ตัว แต่...คนที่มีปัญหาด้านบุคลิกภาพ พวกนี้จะไม่มีความกลัว และมักมีความคิดรุนแรง ทำผิดติดคุกจำนวนมาก

“คนอเมริกันป่วยด้วยอาการเหล่านี้เยอะมาก เพราะคนที่มีอาการป่วยด้านบุคลิกภาพ หรือทางจิต ส่วนมากจะไม่มีเพื่อน และไม่มีทักษะการเข้าสังคม และยิ่งในอินเทอร์เน็ตมีการสอนก่อเหตุรุนแรง ก็ยิ่งไปกันใหญ่”

...

การรักษา “ไซโคพาธ” ไม่มียา ต้องรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม

ดร.วัลลภ กล่าวว่า แม้ในทางการแพทย์จะระบุว่า เวลาเป็นโรคนี้จะมีสารเคมีบางอย่างในสมอง แต่...ในความเป็นจริงแล้วมันมีจาก พฤติกรรม จากเหตุที่เคยมีผลกระทบทางจิตใจ เมื่อมีอาการจึงทำให้สารเคมีดังกล่าวเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนคือพฤติกรรม

ดังนั้น การรักษาคนป่วยจริงๆ คือ ต้องปรับพฤติกรรม โดยแปลงด้านลบเป็นด้านบวก โดยอาจจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

1.ต้องสอนเขาเรื่องความรัก ความศรัทธา โดยเอาเรื่องศาสนาเข้ามาใช้ เช่นในต่างประเทศพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น สนับสนุนให้ไปบวช ได้เรียนเรียนรู้บาป บุญ คุณโทษ เพื่อให้รักพระเจ้า พยายามสอนเรื่องความเมตตา

“การสอน ไม่ใช่ว่าจะให้สวดมนต์ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะยิ่งหนักเลย แต่การสอนต้องค่อยๆ สอนแบบซึมซับไป อาจจะแฝงด้วยอารมณ์ขัน ทำให้เขารู้สึกดี”

2.สนับสนุนให้ประกอบอาชีพที่อาจจะใช้ด้านความรุนแรงบ้าง เช่น นักมวย กีฬาการต่อสู้ ทำให้เขาได้ปลดปล่อยพลังร้ายๆ ออกไป

“อยากให้สังคมจำไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุของมัน ซึ่ง “การศึกษา” สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพื่อให้เขาเข้าใจกฎ ระเบียบ และกติกาของสังคม ซึ่งในอเมริกาเขามีนักจิตวิทยาในโรงเรียนเพื่อสอนให้รักในการเล่น ดึงความก้าวร้าวในตัวคนระบายออกมาผ่านกีฬา อย่างไรก็ตามโรคนี้โอกาสหายค่อนข้างยาก พบว่ามีคนหายป่วยโรคนี้แค่ 7% เท่านั้น ฉะนั้นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ คือ การอย่าไปทำร้ายเด็ก ลูกหลาน สอนให้เด็กรัก เมตตาทั้งสัตว์และคน” ดร.วัลลภ กล่าวทิ้งท้าย.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านบทความที่น่าสนใจ 

...