เรียกว่าถูกจับโป๊ะ ส่งกลับเกือบยกลำ สำหรับ เที่ยวบินเช่าเหมาลำของเชจูแอร์ เที่ยวบิน 7C2244 เพื่อเดินทางไป เชจู ประเทศเกาหลีใต้ แต่เมื่อย่างกรายลงแดนโสมแล้ว กลับติดต่อมา และถูกส่งกลับนับร้อยคน ทำให้เสียทั้งเงินและเวลา
ความจริง กรณี “ผีน้อย” หรือ คนที่แอบไปทำงานที่เกาหลีใต้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ช่วงก่อนโควิดก็เป็นข่าวดังมาแล้วหลายกรณี มาคราวนี้ พอ “โควิด-19” เริ่มจะทุเลา มีวัคซีน ตัวเลขผู้เสียชีวิตน้อยลง หลายประเทศเปิดรับนักท่องเที่ยว ปัญหาเดิมๆ ก็กลับมา...
คุณรู้หรือไม่ว่า “ผีน้อย” ในเกาหลีใต้ มีนับแสนคน!
ตัวเลขข้างต้น...ไม่ผิดหรอกครับ เพราะนี่คือ ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันจาก นายโอวาท ทองบ่อมะกรูด ผอ.กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน ที่กล่าวถึง “ผีน้อย” ที่แอบเข้าไปทำงานในเกาหลีใต้ โดยอาศัยช่องโหว่ เรื่อง “วีซ่า” ที่ทางเกาหลีใต้กับไทย มีข้อตกลงกันไว้ ว่าจะให้นักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถอาศัยในเกาหลีใต้ได้ 3 เดือน และในจังหวะนี้เองก็โดดหนี หางานทำซะเลย!
...
นายโอวาท เผยว่า เรามีผีน้อยในเกาหลีใต้ประมาณเกือบแสนคน หากทางการฯ เขา จะกวาดล้าง ก็ทำได้ แต่สาเหตุที่เขาไม่ทำเพราะเขายังเห็นแก่ผู้ประกอบการในเกาหลี ที่ยังต้องการใช้แรงงานเหล่านี้อยู่ คล้ายกับ “ปิดตาข้างหนึ่ง”
จากข้อมูลที่ได้รับกับทางเกาหลีใต้ ในปี 2565 เขามีความต้องการแรงงานต่างชาติมาทำงานในประเทศ อีกประมาณ 350,000 คน ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ที่มาของตัวเลขนี้ เขาคำนวนจาก ประชากรของประเทศเขาที่เริ่มมีอายุสูงมากขึ้น กลายเป็น “สังคมคนชรา” ทำให้คนที่เข้าสู่วัยทำงานมีน้อยลง
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาทำ คือ การใช้มาตรการเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ไม่ให้เข้าประเทศเกินความต้องการ ซึ่งการตีกลับเครื่องบินเช่าเหมาลำโดยคนไทย ก็เป็นสิ่งสะท้อน ถึงมาตรการการเข้มงวด!
“ตอนนี้มีแรงงานไทยที่ถูกกฎหมาย ราว 17,000 คน แตกต่างกับคนที่เข้าไปทำงานแบบผิดกฎหมายเกือบ 10 เท่า และคนที่เข้าไปทำงานแบบผิดกฎหมาย จะไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ เลย ปัญหาคือ หากเจ็บป่วย ต้องการหมอรักษา หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต จะต้องจ่ายทุกอย่างด้วยตัวเอง”
ผอ.กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน กล่าวว่า “แค่ปวดหัวเป็นไข้ เข้าไปรักษาตัวตามปกติ ก็เสียเงินค่ารักษาหลายหมื่นบาทแล้ว หากเจ็บป่วยหนัก ก็จะต้องเสียเงินหลักแสนบาท”
นี่คือสิ่งที่ “ผีน้อย” ต้องแลก กับการลักลอบเข้าไปทำงานยังประเทศเกาหลีใต้
คำถามคือ ทำไม “คนไทย” แอบเข้าไปทำงานในแดนโสมขาว ได้มากมายนัก คำตอบของคำถามนี้ นายโอวาท เฉลยว่า เพราะมีหลายวิธีในการเดินทางเข้าไป วิธีง่ายๆ ก็คือการเดินทางเข้าโดยวีซ่านักท่องเที่ยว และโดดทัวร์หนีหายไปเลย
ด้วยวีซ่าที่อยู่ในเกาหลีใต้ได้ถึง 3 เดือน ในฐานะนักท่องเที่ยวแล้ว เหล่า “ผีน้อย” นี้ก็จะยังมีกระบวนการอื่นๆ รองรับ เช่น การเข้าประเทศโดยผ่าน “หน้านาย” ที่ชักชวนพร้อมโปรโมชัน ว่าจะหางานให้ หรือ บางคนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ “นายหน้า” แต่ใช้ญาติพี่น้องที่ “ล่วงหน้า” ไปแล้ว มีนายจ้าง มีที่อยู่รองรับ หรือบางส่วนก็มี “กรุ๊ปทัวร์” รู้เห็นเป็นใจ เช่น พาทัวร์ไป 50 กลับมาเพียง 30 คน
...
เรื่องแบบนี้ถามว่าทางการไทยรู้ไหม ถ้าบอกว่า “ไม่รู้” ก็คงไม่มีใครเชื่อ...
ที่ผ่านมา เคยเสนอ “ขึ้นบัญชีดำ” กับบริษัททัวร์ ที่ทำแบบนี้ โดยกรมจัดหางาน ได้หารือ กับ ก.ท่องเที่ยว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนไทยบางส่วนก็หวังโอกาสแบบนี้ ส่วนในมุมของผู้ประกอบการในเกาหลีใต้เขาก็ยังต้องการอยู่...
คำถามต่อมา “ผีน้อย” เข้าไปทำงานอะไร นายโอวาท บอกกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า ส่วนใหญ่ก็เดินทางไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือไม่ก็ภาคเกษตร โดยส่วนมากจะเป็นการชักชวนกันไปทำงาน โดยคนไทยที่มีญาติพี่น้องกระจายอยู่ในเมืองต่างๆ เช่น บางคนมีญาติทำก่อสร้างก็จะชักชวนกันมาทำงาน เป็นต้น
ช่องทางทำงานถูกกฎหมาย
สำหรับช่องทางที่สามารถเข้าไปทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย ผอ.กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน กล่าวว่า ตอนนี้มี โครงการความร่วมมือจัดส่งแรงงานตามระบบการจ้างงานต่างชาติ (EPS) ถือเป็นโครงการความร่วมมือที่ทางเกาหลีใต้ เขาเซ็นสัญญากับ 16 ประเทศรวมทั้งประเทศไทย โดยในปีนี้ เขาต้องการแรงงานที่เดินเข้าไปทำงานเพิ่มขึ้น จาก 37,000 คน เป็น 50,000 คน
การทำ MOU ลักษณะนี้ ถือเป็นความฉลาดของเขา ที่จะทำข้อตกลงกับประเทศต่างๆ ไม่ทำกับประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยหลักเกณฑ์การพิจารณารับคนเข้าประเทศ มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่มาทำงานผิดกฎหมายในประเทศเขาด้วย มีมากหรือน้อย เช่น คนไทยมี “ผีน้อย” มาก เขาก็อาจจะรับคนไทยไม่มาก เพราะในประเทศเขามีเยอะอยู่แล้ว การทำ MOU กับหลายๆ ประเทศเพื่อบริหารความเสี่ยง
...
สำหรับ การส่งแรงงานไปเกาหลีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะมี 2 ลักษณะ คือใช้วีซ่า ประเภท E-9 แรงงานไร้ฝีมือ และ E-7 แรงงานฝีมือ
วีซ่า E-9 จะทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกษตร ปศุสัตว์ และงานก่อสร้าง ซึ่งโครงการนี้จะมีการสอบคัดเลือกและส่งเดินทางไป ซึ่งปัจจุบันยังมีการส่งตัวอย่างต่อเนื่องเป็นรอบๆ
วีซ่า E-7 จะเป็นแรงงานที่มีฝีมือ เช่น ช่างเชื่อม ช่างไฟฟ้า ซึ่งอุตสาหกรรมที่เขาต้องการ คือ เป็นช่างต่อเรือ
นอกจากนี้ ยังมี วีซ่า E-8 คือ ประเภททำเกษตรตามฤดูกาล จะมีกำหนดอยู่ 5-8 เดือน ซึ่งหากครบกำหนดสัญญาแล้วก็ต้องกลับ ถ้ามีฤดูกาลใหม่ ก็ต้องเดินทางไปใหม่ ซึ่งวีซ่า ประเภทนี้ อยู่ในขั้นตอนการเจรจา
“การใช้วีซ่า E-8 เพื่อหวังลดจำนวน “ผีน้อย” ในเกาหลีใต้ เพราะเป็นการทำงานตามฤดูกาล ทำงานเสร็จก็กลับเมืองไทย มาพักผ่อน 3-4 เดือน จากนั้นก็มีโอกาสกลับไปทำใหม่ ซึ่งการทำงานแบบนี้ จะมีระบบคุ้มครองแรงงานอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบสัญญา MOU ซึ่งทาง เทศบาลต่างๆ ในเกาหลี ส่งมาให้กับ กระทรวงแรงงาน และ ก.แรงงาน ได้ส่งให้ ก.การต่างประเทศตรวจสอบ ถ้า ก.การต่างประเทศเห็นชอบ ก็จะนำเรื่องเข้าหารือในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถ้า ครม. เห็นชอบ ก็จะสามารถเดินทางไปลงนาม MOU ได้”
**ข้อตกลงวีซ่าประเภท E-8 เกาหลีใต้ จะให้อำนาจท้องถิ่นในแต่ละเมืองจัดการทำ MOU กับประเทศต่างๆ ได้ และทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเมืองที่ทำข้อตกลง**
...
อาชีพที่ต้องการ และ รายได้
สำหรับอาชีพที่เป็นที่ต้องการในเกาหลีใต้ และรายได้เป็นอย่างไร นายโอวาท เผยว่า หลักๆ ยังคงเป็นงานเกษตร และ อุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ ของ ฮุนได (Hyundai) ซึ่งเป็นบริษัทรับต่อเรือขนาดใหญ่ ใช้ในอุตสาหกรรมเรือเดินทะเล
“เดิมทีแรงงานในอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือในเกาหลี เคยเป็นของคนไทยมาก่อน แต่ที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องการเจรจาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาทำงาน เขาจะให้คนไทยจ่ายค่าเดินทางมาทำงานเอง แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ จึงมีการเจรจากับแรงงานเวียดนามมาทำงานแทน แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนการเดินทางอีกครั้ง อย่างน้อยก็ต้องหารกันคนละครึ่ง"
งานประเภท E-7 (แรงงานฝีมือ) เขาจะให้บริษัทจัดหางานเอกชน ที่จดทะเบียนกับกรมจัดหางานไว้ กว่า 130 บริษัท ช่วยหา ซึ่งล่าสุด มีการจัดทำสัญญาไปแล้ว 1 บริษัท และกลางเดือนนี้ ตัวแทนบริษัทฮุนได จะเดินทางมาคัดเลือกช่างเชื่อม ซึ่งถือเป็นแรงงานฝีมืออีก ประมาณ 1,000 คน
รายได้ของช่างเชื่อม จะคิดรายชั่วโมง ชั่วโมงละประมาณเกือบ 2,000 บาท เทียบเท่ากับแรงงานในประเทศ ถ้าคิดเป็นรายเดือนก็ประมาณ 70,000-80,000 บาท ถ้าเป็นงานเกษตรและอุตสาหกรรม หากคิดตามค่าแรงขั้นต่ำ จะมีรายได้ประมาณเดือนละ 48,000 บาท
ตรวจเข้มไม่ใช่แค่คนไทย แต่โดนทุกชาติ
เมื่อถามว่า การตรวจเข้มดังของเกาหลีใต้ เป็นการเข้มงวดเฉพาะคนไทยหรือไม่ นายโอวาท ตอบว่าโดนเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม หรือ ฟิลิปปินส์ ที่เดินทางเข้าไป เรียกว่า “เข้มข้น” กับทุกประเทศ ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงที่ไทยประเทศเดียว
“อยากขอความร่วมมือคนไทย ถ้าอยากไปทำงานที่เกาหลี ควรเดินทางไปอย่างถูกต้อง หากหลบหนีเข้าเมือง กลายเป็นผีน้อย จะไม่ได้รับการคุ้มครองอะไรเลย กลับกัน หากไปงานอย่างถูกต้อง หากมีปัญหาใด สำนักงานแรงงานไทยในกรุงโซล ก็สามารถช่วยเหลือได้ หรือ แม้แต่กลับมาประเทศไทย กระทรวงแรงงานก็อาจจะเข้ามาช่วยดูแลเรื่องการหางานในการประกอบอาชีพ”
หากเกิดเจ็บป่วย เขาก็มีสิทธิ์ในการดูแลรักษา ที่ดูแลผ่านนายจ้าง เหมือนกับประกันสังคม ประกันสุขภาพ พอถึงเวลากองทุนเหล่านี้ของเกาหลีก็จะเข้ามาช่วยดูแล
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนจากประเทศไทย ชื่อ กองทุนคนหางานเพื่อไปทำงานต่างประเทศ โดยกรมจัดหางาน ก็จะเก็บค่าสมัครชิก ครั้งละ 300-500 บาท (แตกต่างกันตามสัญญาจ้างและประเทศที่เดินทางไป) ซึ่งกองทุนจะช่วยเหลือในส่วนค่ารักษาพยาบาล หากไปเสียชีวิตก็จะมีค่าทำศพให้ ศพละ 40,000 บาท
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา เราเบิกเงินตรงนี้เพื่อช่วยเหลือคนไทยที่ทำงานในต่างประเทศแล้ว ประมาณ 7-10 ล้านบาท กลับกัน คนที่หนีเข้าประเทศ ก็ต้องให้สถานทูตฯ ช่วยเหลือ ซึ่งทางสถานทูต ก็ไม่ค่อยมีงบประมาณเท่าไร อาจจะจำเป็นต้องทำสัญญาเพื่อมาใช้คืนกันภายหลัง
สิ่งที่ ผอ.กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน กล่าวมา ยังไม่รวมปัญหาอาชญากรรม ฉ้อโกง หรือ แม้แต่ค้ามนุษย์ ใช้แรงงานเยี่ยงทาส ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ