ชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ ที่ได้คะแนนมากกว่า 1.3 ล้านคะแนน กำลังส่งสัญญาณอะไรถึง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ แนวรบในสนาม เลือกตั้ง กทม. เปลี่ยนแปลงแค่ไหน จากผลลัพธ์ที่ปรากฏ ยุทธศาสตร์การเลือกตั้งสนามใหญ่จะเปลี่ยนแปลงไปจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นที่สนามรบเมืองหลวงหรือไม่?

ในวันนี้ “เรา” ลองไปรับฟังบทวิเคราะห์จาก “ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า จากคำถามเหล่านั้นกันดู...

“ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า
“ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า

สัญญาณจากประชาชน :

...

สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดจากประชาชนในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ผ่านมา คือ “ตัวบุคคล” เพราะมันชัดเจนมากๆ ว่า หากประชาชนคิดจะเลือกบุคคลในตำแหน่งสำคัญๆ สำหรับการบริหารประเทศ คนที่พรรคการเมืองควรจะนำเสนอมาให้เลือก คือ บุคคลประมาณ “คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ฉะนั้น นับจากนี้เป็นต้นไป พรรคการเมืองควรจะมีการพิถีพิถันในการคัดเลือกบุคคล โดยเฉพาะในตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองให้มากขึ้นกันได้แล้ว

การเมืองอาจจะยังไม่ได้มีการข้ามขั้วกันชัดเจน แต่คุณสมบัติส่วนบุคคลแบบ “คุณชัชชาติ” นอกจากทำให้คนในฝ่ายเดียวกันมองว่า ในบรรดาแคนดิเดตของฝ่ายเรา “คนนี้คือดีที่สุด” แล้ว ฝ่ายคนที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายเดียวกัน ก็มองว่า “ก็ยังดีกว่าคนของฝ่ายเขา” แล้วตัดสินใจเลือกก็มีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงมีการหลอมรวมคะแนนจากทั้งขั้วรัฐบาล ขั้วฝ่ายค้าน และขั้วกลางๆ มาได้ทั้งหมด

“หากเราไปแกะคะแนนออกมาดู โดยเอาคะแนน ส.ก. มาเทียบกับคะแนนของ คุณชัชชาติ จะได้เห็นได้ว่า คะแนนที่เลือก ส.ก. ฝ่ายพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีมากกว่า 600,000 คะแนนอันนี้ ยังไงๆ ก็เลือก คุณชัชชาติแน่นอน พรรคก้าวไกล คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้คะแนนเลือกผู้ว่าฯ 200,000 กว่าคะแนน แต่คะแนนที่เลือก ส.ก. พรรคก้าวไกล มีประมาณ 400,000 กว่าคะแนน แบบนี้มันก็ชัดเจนว่า อีกประมาณ 200,000 กว่าคะแนนน่าจะเทมาให้ คุณชัชชาติ หรือ ในกรณีคุณสุชัชวีร์ นี่ก็ชัดเจน ได้มาประมาณ 200,000 กว่าคะแนน แต่คะแนนที่เลือก ส.ก. ได้มาประมาณ 300,000 คะแนน ก็แสดงว่าอีก 100,000 กว่าคะแนนที่หายไป ถูกถ่ายโอนไปให้ คุณชัชชาติ เช่นกัน นี่คือความชัดเจนในเชิงตัวเลขที่จับต้องได้แบบชัดๆ ฉะนั้น คุณชัชชาติ คือ แม่เหล็กสำคัญ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้”

New Voter Second Voter :

จากผลการสำรวจของสถาบันพระปกเกล้า กลุ่ม New Voter เทคะแนนให้คุณชัชชาติ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนคุณวิโรจน์ จะได้คะแนนมากกว่าจากกลุ่ม Second Voter หรือ กลุ่มเจเนอเรชัน Y หรือกลุ่มอายุ 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้นๆ โดยมีบางช่วงเวลาที่คะแนนจากกลุ่มนี้สวิงไปมาอยู่ระหว่าง คุณชัชชาติ และ คุณวิโรจน์

แต่เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ คุณชัชชาติ ได้คะแนนจาก New Voter มากกว่า เป็นเพราะคนกลุ่มนี้ ตั้งใจจะเลือก คุณชัชชาติ ที่แสดงตัวอย่างชัดเจนว่าจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. มาก่อนใครตั้งแต่แรกแล้ว

ทำให้แม้ว่าในช่วงโค้งสุดท้าย คุณวิโรจน์ จะทำได้ดีโดยเฉพาะเวลาไปปราศรัย หรือดีเบตทางโทรทัศน์ จนทำให้กลุ่ม New Voter เกิดอาการลังเลอยู่บ้าง แต่เพราะพรรคก้าวไกล เปิดตัวคุณวิโรจน์ ช้ามาก การมาทำคะแนนได้ทีหลังรวมถึง คุณชัชชาติ สามารถกลับมาดึงโมเมนตัมในช่วง 3-4 วันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งได้สำเร็จทุกทุกอย่างจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“การดึงโมเมนตัมในช่วงโค้งสุดท้ายของคุณชัชชาติ ทำให้ New Voter กลับมาแวบคิดถึงการตัดสินใจก่อนหน้านี้ของตัวเองที่ว่า สุดท้ายก็ต้องเลือกคุณชัชชาติ ได้สำเร็จ”

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่

...

นายกรัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิพันธุ์ :

“ถึงอยู่แล้ว เพียงแต่ประเทศไทยมันไม่ได้เป็นเส้นตรงแบบนั้น”

เพราะลำพังได้สัก 700,000 คะแนน คนกรุงเทพฯ ก็คาดหวังเอาไว้สูงแล้ว แต่สำหรับกรณีคุณชัชชาติ ได้คะแนนแลนด์สไลด์ระดับ 1.3 ล้านคะแนนซึ่งสูงมากอย่างชนิดไม่ปรากฏมาก่อน แถมในจำนวนคะแนนนี้ต้องไม่ลืมด้วยว่า มาจากอีกขั้วตรงข้ามกันเสียด้วย มันจึงทำให้คุณชัชชาติ กำลังแบกความคาดหวังเอาไว้สูงมากๆ (ลากเสียงยาว)

ซึ่งหากพลาดพลั้งขึ้นมาโดยเฉพาะใน กทม. ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า “เปลี่ยนง่าย เบื่อเร็ว” ทุกอย่างก็อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ก็เป็นได้

สัญญาณการสิ้นสุดความขัดแย้งทางการเมือง :

“ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า ไม่ ซะทีเดียว เพราะรอบนี้เป็นคนชื่อชัชชาติ ซึ่งสามารถก้าวข้ามขัดแย้งได้”

คุณสมบัติและบุคลิกส่วนตัวของ คุณชัชชาติ เป็นคนไม่ทะเลาะเบาะแว้ง หรือ ท้าตีท้าต่อยกับใคร แถมออกจะไปในทางประนีประนอมเสียและเปิดรับเสียมากกว่าด้วย แต่กลับกัน หากเป็นสนามการเลือกตั้งใหญ่ “มันอาจจะไม่ใช่คนแบบคุณชัชชาติ” โดยเฉพาะหากแต่ละฝ่ายส่งคนอีกแบบหนึ่งมา “โดยเฉพาะคนที่แบบเห็นหน้าก็ความขัดแย้งลอยมาให้เห็นอย่างเด่นชัด” แล้วพอเข้าสู่สนามเลือกตั้งใหญ่แต่ละพรรคก็มักจะเล่นกันเต็มที่ บางทีอาจทำให้ประชาชนหวนไปรำลึกถึงความขัดแย้งในอดีตอีกก็เป็นได้

...

ชัชชาติโมเดล ยุทธศาสตร์ที่อาจถูกพรรคเพื่อไทยหยิบไปใช้ในการเลือกตั้งใหญ่ :

“คือ เอาจริงๆ ยุทธศาสตร์การลงสมัครในนามอิสระ แล้วฉายภาพประนีประนอมพร้อมเปิดรับทุกฝ่ายมาช่วยกันทำงาน ใครๆก็สามารถกำหนดได้ แต่ที่มันสำเร็จได้ก็เพราะ ภาพลักษณ์คุณชัชชาติ มันฉายภาพที่ว่านั้นออกมาแล้ว มันดูจริง มันไม่ได้ดูแล้วเป็นแค่ยุทธศาสตร์ทางการเมือง แล้วมาแสดงเพื่อให้ได้คะแนนอะไรแบบนั้น”

ซึ่งยุทธศาสตร์ที่วางไว้ให้คุณชัชชาติ จนชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ คือ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะนำไปใช้ในสนามเลือกตั้งใหญ่แน่นอน

“เพียงแต่คำถามใหญ่คือ...พรรคเพื่อไทยจะมีตัวแม่เหล็กในระดับคุณชัชชาติ ได้หรือเปล่า?”

พรรคเพื่อไทยได้ ส.ก. มามากมายเพราะโหนกระแสชัชชาติฟีเวอร์มาด้วย แต่หากสนามเลือกตั้งใหญ่ ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติแบบคุณชัชชาติมาให้โหนอีก มันก็จะเป็น "อีกโจทย์หนึ่งไปเลย"

ชัชชาติโมเดล ยุทธศาสตร์สำหรับทุกพรรคการเมือง :

“จริงๆ ทุกพรรคการเมืองก็ควรนำไปใช้นะ”

ณ เวลานี้ ประชาชนต่าง “เหน็ดเหนื่อย” กับความขัดแย้งทางการเมืองเต็มทีแล้ว ด้วยเหตุนี้ กระแสความพยายาม “แบ่งขั้ว” ในช่วงโค้งสุดท้ายจึงไม่ประสบความสำเร็จ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะบอกได้แล้วว่า “ขอเถอะไม่เอาแล้ว ความขัดแย้ง” ถึงเวลาเดินหน้าประเทศกันแล้ว ขอคนที่หวังได้ ทำงานได้จริง แล้วเดินหน้าไปด้วยกัน แม้จริงอยู่ว่าบางส่วนอาจจะยัง “ไม่ขอข้ามขั้วไปอีกฝ่าย” แต่ก็ขอคนที่สามารถรับได้มาให้เลือกหน่อย

...

ฐานเสียงในกรุงเทพฯ ของแต่ละพรรคการเมือง :

“ผลที่ได้คือ คะแนนยังคงเท่าๆ เดิมอยู่”

คะแนน ส.ก. ที่ พรรคเพื่อไทย ได้ไปประมาณ 600,000 คะแนน จริงๆ แล้วลดลงนิดหน่อยจากคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.กทม. ครั้งที่ผ่านมา แต่แน่นอนสนามเลือกตั้งท้องถิ่น คนที่ออกมาใช้สิทธิ์อาจจะมีน้อยกว่า บวกลบไม่เกิน 10%

ส่วน พรรคก้าวไกล หรือ พรรคอนาคตใหม่ เดิม ในคราวเลือกตั้ง ส.ส.กทม. ครั้งที่แล้วได้มา 800,000 กว่าคะแนน แต่เลือกตั้ง ส.ก.ครั้งนี้ได้มา 400,000 กว่าคะแนน เอาล่ะ หากคืนคะแนนกลับไปให้พรรคเพื่อไทยจากกรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ รวมถึง บวกลบไม่เกิน 10% จากผู้ออกมาใช้สิทธิ์ คะแนนที่ได้ครั้งนี้ก็ยังได้เท่าๆ เดิมอยู่

ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนน ส.ก. มา 300,000 ปลายๆ เกือบ 400,000 คะแนน ซึ่งแม้จะดูลดลงค่อนข้างมากหากเทียบกับ 400,000 กว่าคะแนนที่ได้ในการเลือกตั้งครั้งก่อน แต่ครั้งนั้น แต่ครั้งมีปัจจัยเรื่อง ส.ส. “โดนรุมดูดรุมทึ้ง” จนทำให้คะแนนที่ได้ลดลงมาเกี่ยวข้องด้วย

ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แฟนพันธุ์แท้พรรคประชาธิปัตย์ใน กทม. ยังคงเหนียวแน่น ไม่ได้ลดลงอย่างน่ากลัวจนอาจจะสูญพันธุ์ เช่นที่วิตกกันไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแต่อาจจะยัง “ไม่ฟื้น” กลับมาฟีเวอร์ได้เหมือนเก่า ซึ่งผ่านมา 3 ปี ยังพอรักษาฐานเสียงเก่าๆ เอาไว้ได้ก็น่าจะเรียกได้ว่า “พอใจชื้น” ได้บ้าง คือ ไม่ตกลงแต่ก็ไม่ได้หายไปแบบวูบวาบ

“ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า
“ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า

แนวรบคะแนนในเขตทหาร :

“พูดอย่างตรงไปตรงมาเลย เลือกตั้งคราวนี้วัดยาก”

ความเห็นส่วนตัวคิดว่า ไม่มีสัญญาณที่ส่งมาอย่างชัดเจนในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ “เดิมพันไม่ได้สูง” ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปแสดงออกอะไรที่สุ่มเสี่ยง จนอาจจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งใหญ่ที่ใกล้มาถึง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคงพอคาดเดาได้อยู่แล้วว่า “ชนะได้ยาก” จึงอาจจะไม่จำเป็นต้องไปเน้นอะไรมากมายก็เป็นได้ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กับที่เคยเกิดขึ้นในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หลักสี่ ก่อนหน้านี้ ที่คงคิดแบบประมาณว่า “หากลงทุนไปแล้วจนโดนข้อครหาต่างๆ อาจได้ไม่คุ้มเสีย”

การทดสอบคะแนนเสียงจากขั้วรัฐบาลก่อนเลือกตั้งสนามใหญ่ :

“อาจจะพูดแบบนั้นก็ได้”

โจทย์ใหญ่สำหรับขั้วรัฐบาลในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ คือ "ไม่สามารถตัดตัวเลือกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้เหลือเพียงคนเดียวสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ได้" นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า เพราะอะไรจึงมีผู้สมัครที่ทับซ้อนและใกล้เคียงกัน คือ หากให้แปลความตามภาษาชาวบ้านคือ “เอ้า อยากจะไปสู้กันก็ไปสู้” มันจึงเกิดการตัดคะแนนกันแบบ ตัดทั้งบน ทั้งล่างๆ จนคะแนนออกมาอย่างที่เห็น

“จริงๆ เขาก็คงอยากจะชนะอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ในเมื่อมันรวมตัวกันไม่ได้ ก็ต้องปล่อย เพราะของจริงมันอยู่ที่การเลือกตั้งสนามใหญ่ สนามท้องถิ่นคุณอยากจะแข่งก็แข่งกันไป แต่พอสนามใหญ่มารวมตัวกันก็แล้วกัน”

บทสรุปเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. :

“ฝ่ายค้านก็อย่าเพิ่งชะล่าใจหรือลิงโลดใจไป ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลก็อย่าวิตกจริตจนเกิดเหตุ เพราะมันไม่ได้ย่ำแย่อะไรมากมายขนาดนั้น เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมันมีอะไรที่มากว่าแค่ ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล แต่อย่างน้อย ปรากฏการณ์คุณชัชชาติ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ประชาชนไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์พรรคการเมือง แบบคิดจะส่งเสาไฟฟ้ามาให้เขาเลือกเขาก็จะเลือก มันไม่ได้อีกแล้ว การสรรหาตัวบุคคลและนโยบายที่เหมาะสม คือ อีกปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญมากพอๆกับแบรนด์พรรคการเมืองเช่นกัน เพราะคนสมัยนี้เขาดูละเอียดและคาดหวังสูง อีกทั้งทิศทางการเลือกตั้งสนามเล็กหลายๆสนามก็มีทิศทางการเลือกไม่ต่างจากผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ มากเท่าไรแล้ว”

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :