ในตอนที่ 3 ของ “ชนาธิปเดอะซีรีส์” การผจญภัยครั้งใหม่ ของ “ชนาธิป สรงกระสินธ์” ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และแบกรับแรงกดดันที่สูงขึ้นกว่าตลอดระยะเวลา 4 ปี ของการค้าแข้งในเจลีก จากการตกอยู่ภายใต้แสงสปอตไลต์ และความคาดหวังที่สูงล้นในฐานะ “นักเตะราคาแพง” ของ สโมสรคาวาซากิ ฟรอนตาเล (Kawasaki Frontale) จะส่งผลอย่างไรต่อ หรือ “เมสซีเจ” ของเราหรือไม่? รวมถึง นักเตะไทยคนไหนที่ควรไปค้าแข้งในเจลีกมากที่สุด?

ในวันนี้ “เรา” จึงอยากชวน “คุณ” มาฟังสองตำนานฟุตบอลไทย อย่าง “เฮงซัง” วิทยา เลาหกุล อดีตนักเตะทีมชาติไทยที่ผ่านการค้าแข้งในเยอรมนี รวมถึงเคยคุมทีมบิ๊กเนมในเจลีกอย่าง “กัมบะ โอซากา” มาแล้ว และ “เดอะตุ๊ก” เพชฌฆาตหน้าหยก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตกองหน้าดาราเอเชีย และผู้กวาดเรียบทุกรางวัลของลีกเกาหลีใต้ มาร่วมกันวิเคราะห์ในทุกประเด็นที่ “เรา” ได้เกริ่นนำไปในตอนที่ 3 นี้ด้วยกัน

...

ชนาธิปและอนาคตภายใต้แรงกดดันในฐานะนักเตะราคาแพง?

การตัดสินใจย้ายทีม :

“มันเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้เล่นที่มีความสามารถ เพราะสำหรับชนาธิปแล้ว เขาคือนักเตะระดับเกรด A ของวงการฟุตบอลเจลีก”

วิทยา เลาหกุล

“ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวของ เจ เอง เพราะมันจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการเล่นให้กับตัวเอง รวมถึงจะส่งผลต่อการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยในการผลิตนักเตะเยาวชนของเราเพื่อไปเล่นในเจลีกได้ต่อไปในอนาคต”

ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน

สองตำนานบอลไทย วิเคราะห์ตรงกันว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อการพัฒนาฝีเท้าของ เมสซีเจ อย่างไรก็ดี โค้ชเฮง มีมุมที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย คือ...

“ในความเห็นส่วนตัว ผมอยากเห็นชนาธิป ไปค้าแข้งในยุโรปเหมือนนักเตะญี่ปุ่นระดับเกรด A ส่วนใหญ่ ที่ในเวลานี้ถูกดึงตัวไปค้าแข้งในยุโรปกันเกือบหมดแล้ว เพราะจริงๆ แล้วรูปร่างไม่ใช่ปัญหาสำหรับชนาธิป หากคิดจะไปค้าแข้งในยุโรป เพราะเราก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ยอดนักเตะของโลก อย่าง ดีเอโก มาราโดนา, เควิน คีแกน ก็ตัวเล็กนิดเดียวเอง สำหรับผม เรื่องรูปร่างไม่ใช่ปัญหาในการฟุตบอลในยุโรป”

แต่หากถึงแม้จะไม่ได้ไปยุโรป ในความเห็นของเฮงซัง การย้ายทีมไปอยู่กับทีมที่ใหญ่ขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และสโมสรคาวาซากิ ฟรอนตาเล ก็คือ ทางเลือกที่เหมาะสมกับ ชนาธิป มาก ในแง่ของการพัฒนาการเล่นของตัวเองให้สูงขึ้น และที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ การที่มีโอกาสได้ไปเล่นกับ คาวาซากิ ฟรอนตาเล ในศึก เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก (AFC Champions League) ย่อมจะทำให้มีโอกาสสูงมากขึ้น ที่แมวมองจากสโมสรในทวีปยุโรป จะได้เห็นฝีเท้าของเขาได้มากขึ้นเช่นกัน

“เอาล่ะแม้ เจ ตอนนี้ อายุ 28 ย่าง 29 ปี แล้ว ซึ่งอาจจะอายุมากเกินไปสักนิด แต่ก็ยังน่าจะพอมีโอกาสที่สโมสรในยุโรปจะให้ความสนใจอยู่ แต่ทั้งหมดนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เจ จะสามารถโชว์ฟอร์มใน เอเอฟซี ได้ยอดเยี่ยมมากขนาดไหนด้วย” อดีตนักเตะไทยที่เคยมีโอกาสวาดลวดลายในลีกเยอรมนี กล่าวอย่างมีความหวัง

ความแตกต่างระหว่าง สโมสรคาวาซากิ ฟรอนตาเล และคอนซาโดเล ซัปโปโร?

คาวาซากิ ฟรอนตาเล ก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้!

“ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า หากจะเปรียบเทียบแนวทางการเล่นของ คาวาซากิ ฟรอนตาเล เพื่อให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ผมคิดว่า การเล่นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ น่าจะเป็นคำตอบ” อดีตกุนซือกัมบะ โอซากา ให้คำจำกัดความ

โค้ชเฮง ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า เท่าที่ได้รู้จักกับ โทรุ โอนิกิ (Toru Oniki) กุนซือคาวาซากิ ฟรอนตาเล สิ่งที่เขาจะเน้นย้ำและฝึกฝนให้กับบรรดาลูกทีมอย่างมาก คือ วินัยการเล่นในสนาม

...

คาวาซากิ ฟรอนตาเล มีแนวทางการเล่นที่ชัดเจนมาก คือ นอกจากนักเตะจะต้องสามารถแก้ไขปัญหาในสนามได้ด้วยตัวเองแล้ว ที่สำคัญคือยังต้องเล่นตามแท็กติกเกมรุกอย่างมีวินัยด้วย ยกตัวอย่างเช่น จะเอาบอลไปที่ไหน เอาไปไว้ที่ใคร ใครจะวิ่ง ใครจะยืนตรงไหน ซึ่งตรงจุดนี้นักเตะทุกคนในทีมจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ

วิทยา เลาหกุล
วิทยา เลาหกุล

อย่างไรก็ดีแม้ว่า เรื่องวินัยในเกมรุก อาจเป็นเรื่องที่ ชนาธิป ต้องอาศัยเวลาสำหรับการเรียนรู้อยู่บ้าง แต่ด้วยการที่ เมสซีเจ เป็นนักเตะที่มีทักษะสูงมากและปรับตัวได้ดี เวลาที่ว่านี้ อาจจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นก็ได้

อีกประเด็นหนึ่งคือแม้ว่าระดับการแข่งขันเพื่อเป็นผู้เล่นตัวจริงระหว่าง คาวาซากิ ฟรอนตาเล และ คอนซาโดเล ซัปโปโร ย่อมต้องแตกต่างกัน แต่ในความเห็นส่วนตัว สิ่งที่ ชนาธิป ได้แสดงออกมาตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เล่นในฟุตบอล J1 น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่า ศักยภาพของเขานั้นสูงแค่ไหน

“ชนาธิป เล่นให้กับ คาวาซากิ ฟรอนตาเล ได้สบายๆ อยู่แล้ว”

...

ส่วนในมุมมองของ เดอะตุ๊ก มองประเด็นนี้ว่า :

ความแตกต่างคือ...อันดับแรก การแข่งแย่งตำแหน่ง 11 ตัวจริงที่ต้องเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิม อันดับที่สอง คือ แนวทางการเล่นที่แตกต่างกัน อันดับที่สาม คือ การลงเล่นในฐานะทีมลุ้นแชมป์แบบ คาวาซากิ ฟรอนตาเล ทำให้ไม่ว่าจะเล่นเป็นทีมเหย้า หรือ ทีมเยือน ในแต่ละนัดกับคู่แข่ง เกมมันจะยากขึ้นกว่าตอนลงเล่นให้กับ ทีมระดับกลางๆ ตารางอย่าง คอนซาโดเล ซัปโปโร แน่นอน

การได้ร่วมเล่นเคียงข้างกับผู้เล่นระดับคุณภาพจะทำให้ ชนาธิป เป็นผู้เล่นที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะทุกๆ ครั้งที่ลงเล่น สมองและวิธีการเล่นมันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนซึมซับเข้าไปใน DNA การเล่นฟุตบอล ซึ่งผู้เล่นในระดับอาชีพต้องบ่มเพาะเรื่องแบบนี้ให้มากๆ เพื่อให้การเล่นฟุตบอลของตัวเองรุดหน้าขึ้น

ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน

ส่วนโอกาสลงเล่นในฐานะนักเตะตัวจริงของทีมคาวาซากิ ฟรอนตาเล ของ เมสซีเจ “เพชฌฆาตหน้าหยก” กล่าวว่า...

...

“ไม่มีปัญหา สบายมาก 100% ระดับฝีเท้าของ เจ สามารถแข่งกับผู้เล่นในทีมคาวาซากิ ฟรอนตาเล ได้แน่นอน”

ตำแหน่งไหนที่เหมาะสมสำหรับ เมสซีเจ ใน คาวาซากิ ฟรอนตาเล?

“ผมว่าแล้วแต่โค้ชเขาเลย เพราะ เจ สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแดนหน้าได้ทั้งหมด”

ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน

“ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นหน้าต่ำ (Playmaker) มากกว่า ตำแหน่งริมเส้น เพราะผมเชื่อว่าผู้จัดการทีมส่วนใหญ่ ไม่น่ายอมให้ผู้เล่นที่ทุ่มเงินซื้อตัวมาในราคาแพงลดขีดความสามารถลง ด้วยการจับไปเล่นผิดตำแหน่ง ซึ่งจริงๆ คาวาซากิ ฟรอนตาเล เองก็น่าจะเตรียมตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับ เจ เอาไว้แล้ว”

วิทยา เลาหกุล

การต่อสู้กับจิตใจของตัวเองเพื่อเอาชนะแรงกดดัน?

แรงกดดันที่มาจากการเป็น “นักเตะค่าตัวแพง” ย่อมนำมาซึ่งการตั้งคำถามในหมู่แฟนบอล “ซื้อมาแพงขนาดนี้ต้องเล่นให้คุ้มค่าทุกเยนที่เสียไป” นี่คือคำถามของเรา และ เราเองก็เชื่อว่า คุณ ก็อยากถามคำถามนี้เช่นกัน...

เพราะบางที “สภาพจิตใจ” ในฐานะผู้เล่นราคาแพงอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการประสบความสำเร็จมากกว่า “ฝีเท้า” เสียอีก เพราะหาก “ชนาธิป” เกิดกดดันตัวเองมากๆ อาจจะเล่นไม่ออกก็ได้

“ผู้เล่นในระดับอาชีพต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากความคาดหวังด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่จะน้อยหรือมากเท่านั้น ซึ่งมันก็อยู่ที่แต่ละคนว่าจะสามารถก้าวผ่านแรงกดดันที่ว่านี้กันได้ขนาดไหน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นนักเตะอาชีพต้องรู้จักปล่อยวาง สงบนิ่ง และนี่คือ สิ่งที่ เจ ต้องพิสูจน์ตัวเองและก้าวผ่านมันไปให้ได้ ซึ่งหากทำได้ เจ จะยกระดับตัวเองไปอีกระดับหนึ่งและไปเล่นในยุโรปได้แบบสบายๆ”

วิทยา เลาหกุล

“ไม่น่าจะต้องห่วง เจ ในเรื่องนี้นะ เขาอายุ 28 ย่าง 29 ปี แล้ว ฉะนั้นเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะสามารถรับแรงกดดันต่างๆได้ไม่ยาก”

ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน

สิ่งที่ต้องปรับปรุงจุดอ่อนเรื่องความเกรงใจ ไม่ค่อยกล้ายิงประตู?

“โชคดีอยู่อย่างในเรื่องนี้ คือ ทุกคนในทีมฟรอนตาเล ยิงประตูได้ทุกคน” เฮงซัง หัวเราะหลังตอบคำถามนี้เหมือนกับจะยอมรับกลายๆ

อย่างไรก็ดี ในมุมมองของโค้ชเฮง มองว่า ชนาธิป เป็นนักเตะที่มีจุดเด่นเรื่องการจ่ายบอลที่คมกริบ ฉะนั้นการที่มีเพื่อนร่วมทีมที่มีคุณภาพสูงรายล้อม จะยิ่งขับให้จุดเด่นในเรื่องนี้ของเขามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การฝึกฝนที่ยกระดับขึ้นน่าจะช่วยแก้ไขจุดอ่อนเรื่องการยิงประตูได้อีกด้วย

“ไอ้เรื่องความเกรงใจกันในทีมถือเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องไม่ลืมอยู่อย่างหนึ่งตอนนี้ เจ อายุ 28-29 แล้ว ซึ่งช่วงอายุนี้สำหรับนักฟุตบอลถือเป็นช่วงพีกที่สุดของการค้าแข้ง ประสบการณ์ที่สูงขึ้น การตัดสินใจต่างๆ ในสนามก็ย่อมต้องดีขึ้นโดยเฉพาะการตัดสินใจยิงประตู”

แล้ว “เพชฌฆาตหน้าหยก” ผู้มีเท้าซ้ายคมกริบสำหรับการทำประตูมองเรื่องนี้อย่างไร?

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ เจ จะต้องเปลี่ยน Mindset และวิธีการเล่นของตัวเองให้ได้ เพราะหากคิดจะยกระดับการเล่นให้สูงขึ้น เจ ต้องเลี้ยงหลบเพื่อยิงประตู ไม่ใช่เลี้ยงหลบเพื่อแอสซิสต์เช่นที่ทำอยู่บ่อยๆ ในเจลีก”

ค่าตัว ชนาธิป แพงเกินไปหรือไม่?

“เท่าที่ผมทราบ ค่าตัวนักเตะระดับเกรด A ของเจลีก เวลาย้ายทีม จะไม่สูงมากนัก ส่วนใหญ่จะเฉลี่ยไม่เกิน 60 ล้านบาท แต่เท่าที่ผมทราบมา ค่าตัวการย้ายทีมของ ชนาธิป ในครั้งนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาท ฉะนั้นก็ต้องถือว่า แพง”

แล้วหวังการตลาด หรือคุณภาพฝีเท้า?

“ฝีเท้ามากกว่าครับ” โค้ชเฮง ตอบกลับแบบแทบไม่ต้องคิด

เพราะชนาธิปได้พิสูจน์ตัวเองเรื่องคุณภาพของฝีเท้าได้แล้ว เพราะหากไม่ดีจริง ไม่มีใครต่อสัญญาให้อยู่กับทีมมาได้ถึง 4 ปี และยังให้เล่นเป็นตัวจริงแน่นอน

นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญในการย้ายทีมมันมีองค์ประกอบจากทั้ง มุมของนักเตะที่ต้องพิจารณาว่า หากย้ายไปแล้วจะสามารถเล่นได้เข้ากับระบบการเล่นของทีมใหม่ได้ขนาดไหน ในขณะที่สโมสรเองก็ต้องพิจารณาด้วยเช่นกันว่า เมื่อซื้อนักเตะคนนี้มาแล้ว จะสามารถเล่นได้เข้ากับระบบของตัวเองมากแค่ไหน และการยอมทุ่มเงินจำนวนมหาศาลซื้อชนาธิปไป ก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้วว่า คาวาซากิ ฟรอนตาเล มองเมสซีเจ แบบไหน?

แต่แน่นอนการตลาดอาจเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจด้วย เพราะญี่ปุ่นเองก็หวังเม็ดเงินจากชาติในเอเชียโดยเฉพาะอาเซียนอยู่ ถึงได้พยายามดึงนักเตะที่ฝีเท้าดีๆ เข้าไปเล่นในเจลีก

ชาวญี่ปุ่น ให้ความยอมรับในฝีเท้าของชนาธิป มากแค่ไหนแล้ว?

สำหรับประเด็นนี้ “โค้ชเฮง” ในฐานะผู้คลุกคลีวงการฟุตบอลญี่ปุ่นมาช้านานกล่าวว่า หากเป็นที่เมืองซัปโปโร ชนาธิป ได้รับการยอมรับเรื่องฝีเท้าจากชาวญี่ปุ่น 100% แต่หากเป็นในภาพรวมทั้งประเทศน่าจะอยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งวิธีการเดียวที่จะสามารถพิสูจน์ให้คนญี่ปุ่นยอมรับมากขึ้น ก็คือ การโชว์ฟอร์มพาทีมคาวาซากิ ฟรอนตาเล รักษาแชมป์ J1 เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน รวมถึง พาทีมคว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ให้ได้ในฤดูกาลนี้!

เอกนิษฐ์ – สุภโชค – กฤษดา
เอกนิษฐ์ – สุภโชค – กฤษดา

ใครคือนักเตะไทยคนต่อไป ที่ควรไปโลดแล่นใน J1?

“โค้งเฮง” เลือกมา 3 คน ประกอบด้วย...

“เอกนิษฐ์ ปัญญา” สำหรับเด็กคนนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะญี่ปุ่นให้ความสนใจเอามากๆ และติดตามฝีเท้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ติดตรงที่สโมสรไม่ยอมปล่อยตัว และมักประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ

“สุภโชค สารชาติ” สำหรับคนนี้ก็แทบไม่ต้องการันตี ไปเล่นที่ญี่ปุ่นได้สบายๆ ตอนนี้ขึ้นอยู่แต่กับว่า สโมสรจะยอมปล่อยหรือไม่เช่นกัน

“กฤษดา กาแมน” คนนี้จุดเด่นคือเข้าใจเกมดีมาก และส่งบอลทะลุทะลวงไปจากหลังไปข้างหน้าได้ยอดเยี่ยม

สำหรับนักเตะไทยที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจ นั้น โค้งเฮง กล่าวเสริมว่า มักเป็นนักเตะสไตล์ริมเส้นทั้งสองข้าง เพราะมองว่า มีทั้งเทคนิค ทักษะ ความเร็ว กล้าเล่น ที่สำคัญคือสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ส่วนจุดด้อยของนักเตะไทยจากมุมมองของชาวญี่ปุ่น คือ มักไม่ค่อยมีวินัยในการเล่น

ขณะที่ “เดอะตุ๊ก” ให้มา 2 ชื่อ ประกอบด้วย...

“ส่วนตัวผมมองว่า สุภโชค สารชาติ เป็นคนที่ควรจะไปเจลีกมากที่สุดในเวลานี้แล้ว อีกคนคือ พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล ที่น่าจะไปลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงในเจลีกได้สบายๆ”

พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล
พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล

อะไรคืออุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นนักเตะไทยไปเจลีก?

การตั้งกำแพงราคานักเตะสูงเกินไป

“ถูกต้องครับ เมื่อตั้งราคาแพงๆ เขาก็ไม่ซื้อ สโมสรในญี่ปุ่นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การทุ่มซื้อนักเตะราคาแพงๆ มากนัก ยกเว้นเขาจะส่งคนมาติดตามฟอร์มจนมั่นใจจริงๆ ว่า นักเตะคนนั้นเก่งจริงและน่าจะสามารถเล่นในเจลีกได้ อย่างนักเตะไทยเรา ส่วนใหญ่เขาจะใช้วิธีขอยืมตัวเพื่อให้ไปทดสอบฝีเท้าก่อนว่า จะเล่นได้ไหม?

เพราะสำหรับชาวญี่ปุ่นเขามองว่า ฟุตบอลในอาเซียน หากเทียบเป็นการเล่นเกม ก็น่าจะอยู่ในระดับ Level 1 มันจึงยังต้องการ การพิสูจน์ฝีเท้าเสียก่อน" อดีตกุนซือกัมบะ โอซากา กล่าว

นอกจากนี้ ในมุมมองของ “เฮงซัง” ยังมองว่า สโมสรในไทยลีกอาจจะมองไปที่ชัยชนะมากเกินไปจนกระทั่งอาจหลงลืมเรื่องการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยโดยรวม ซึ่งประเด็นนี้จะมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึง การพัฒนาทีมชาติไทยต่อไปในอนาคตแน่นอน ส่วนตัวจึงอยากวิงวอนให้สโมสรในไทยลีก มองประโยชน์โดยรวมของวงการฟุตบอลไทย โดยยอมลดเงื่อนไขเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ฝีเท้าดีๆ ได้ไปเล่นในเจลีกหรือยุโรปให้มากขึ้น

“ผมอยากเห็นเด็กๆ อายุ 16-17 ปี ของไทย ได้มีโอกาสไปเล่นในฟุตบอลลีกที่แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น เหมือนอย่างเกาหลีใต้ ที่มีนักเตะวัยรุ่นไปเล่นในยุโรป 200 กว่าคน หรือ ญี่ปุ่น ที่มีนักเตะไปค้าแข้งในลีกดังๆ ของยุโรป มากกว่า 300 คน ในปัจจุบัน”

ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมสโมสรในไทยลีกจึงมักไม่ค่อยปล่อยนักเตะไปต่างแดน อดีตยอดกองหน้าสโมสรทหารอากาศยุครุ่งเรือง ให้คำตอบสั้นๆ แค่ว่า...

“อันนี้ ผมก็ไม่ทราบสิครับ” เพชฌฆาตหน้าหยกตอบ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ แบบทันควัน พร้อมเสียงหัวเราะทิ้งท้ายที่แสนแหบแห้ง

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ