ถือเป็นเรื่องราวที่เป็นตำนาน และเป็นที่กล่าวขวัญถึงทุกวันนี้ สำหรับเรื่องราวของ 9 ผู้กล้า ที่ทำหน้าที่ปกป้องรักษาชาติและทำภารกิจปราบปรามยาเสพติด จนต้องสละชีพและกลับมาได้เพียง 4 นาย

ใช่แล้ว นี่คือเรื่องราวของ “35 วันนรกป่าบางกลอย” 3 นาทีคดีดัง โดย ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาทุกท่านย้อนรอยเหตุการณ์ในวันนั้น และเรื่องเล่าจากปากผู้รอดชีวิต

ย้อนกลับไป 7 สิงหาคม 2535 ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ค่ายนเรศวร และค่ายพระมงกุฎเกล้า รวม 8 นาย ได้รับคำสั่งให้เข้าพื้นที่ป่าทึบ ชายแดนไทย-พม่า ในเขต อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อหาข่าวเกี่ยวกับแก๊งยาเสพติดในพื้นที่ โดยสงสัยว่าจะเป็นโรงงานยาเสพติด โดยเฉพาะการผลิต “เฮโรอีน”

ภารกิจดังกล่าว เป็นภารกิจลับ โดยมีกำหนด 7 วันเพื่อปฏิบัติการหาข่าว ตั้งแต่วันที่ 7 ถึง 13 ส.ค. 2535 ก่อนเดินทาง 1 วัน ได้มีการบินสำรวจ และนัดแนะกับนักบิน เพื่อรอรับกลับตามจุดที่ได้นัดหมายไว้ เมื่อถึงเวลา นักบินขับ ฮ. หย่อน ส่ง 8 ตชด. และ 1 พรานป่า ลง

จากนั้นก็ขาดการติดต่อ...

9 ผู้กล้า ที่อาสาปราบยานรก หายตัว ไม่รู้ชะตากรรม จนกระทั่งเริ่มเป็นข่าวในอีก 1 เดือนต่อมา

จากการเปิดเผยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบุว่า ได้มีการส่งกำลังคนเดินเท้ากว่า 300 คน ฮ. บินวน มากกว่า 200 เที่ยว รวมถึงเครื่องบินวนหาอีก 60 เที่ยว ก็ไม่เจอ!!

หลังขาดการติดต่อ 35 วัน ก็ทราบข่าวว่ามีผู้เหลือรอดชีวิตกลับมา 4 คน

...


10 กันยายน 2535 พบผู้รอดชีวิตออกมาจากป่า 4 คน ประกอบด้วย ด.ต.สำเริง ไชยชนะสงคราม ด.ต.อรัญ กลิ่นกุล จ.ส.ต.อดุลย์ พวงงาม และ จ.ส.ต.โชคดี ไชยะเจริญ จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลหัวหินทันที สำหรับสภาพ ด.ต.อรัญ มีแผลถูกยิงที่แขนอาการสาหัส ส่วนคนอื่นมีสภาพหมดกำลังใจ น้ำหนักตัวหายไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากอดอาหาร ต้องหาของป่าประทังชีวิต


เรื่องเล่าจากปาก ผู้รอดชีวิต!!

หลังจาก ฮ. มาหย่อนตัวลง ก็พบหมู่บ้านลึกลับกลางป่า ซึ่งเป็นจุดเดียวกับ ตชด. ทีมก่อนหน้าเคยปะทะกับกลุ่มกองกำลังลึกลับได้รับบาดเจ็บมาแล้ว

มาครั้งนี้ ก็เช่นเดียวกัน และก็รู้ทันทีว่า ป่าที่หย่อนตัวลงนี้ “อาจไม่ใช่ประเทศไทย” หมายความว่าเป็นการลงผิดจุด

เมื่อเข้าไปซุ่มดู ปรากฏว่า มีความผิดสังเกต และแค่เพียงโผล่หัวแสดงตัวไปเท่านั้น ห่ากระสุนก็พุ่งหา ทั้ง 9 คนทันที 

นายเมือง เอมมาก พรานป่า เป็นคนแรกที่ถูกยิง กระสุนทะลุแขนและขา แต่อาการยังไม่สาหัสมาก จึงได้ยิงตอบโต้ พลางล่าถอย

โดยหันทิศทางมาทางตะวันออก เพื่อเดินเท้ากลับดินแดนแม่ ประเทศไทย ซึ่งอาศัยเข็มทิศ และความชำนาญการเดินป่าของ นายเมือง และ จ.ส.ต.โชคดี

หลังหนีอยู่ได้ 5 วัน ด้วยความชะล่าใจ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์การปะทะครั้งที่ 2

ปะทะ ครั้งที่ 2

ในขณะที่พวกเรากำลังกางที่นอน ตามหุบช่องเขา กองกำลังลึกลับกว่า 20-30 คนก็สาดห่ากระสุนเข้าใส่

เสียงปืนดังแบบหูดับตับไหม้ จ.ส.ต.พลอย ศิลปสอน ถูกยิงตายคาที่ ส.ต.ท.ไพบูลย์ ปิดสายะ โดนยิงสะโพกเจ็บสาหัส ส่วนนายเมือง โดนยิงเป็นครั้งที่ 2 คราวนี้กระสุนเจาะคอ เสียชีวิต ขณะที่ ดาบอรัญ ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดครั้งนี้โดนยิงที่แขน

ตำรวจผู้กล้า ก็พยายามต่อสู้ และยิงสวน คว้าระเบิดปาเข้าใส่ กองกำลัง กระทั่งเสียงปืนเงียบลง

แต่แค่อึดใจ ห่ากระสุนก็มาอีกระลอก จึงคว้าระเบิด ปาไประลอกที่ 2 ทุกอย่างจึงสงัดลง

คาดว่ากลุ่มกองกำลังลึกลับคงล่าถอยไปแล้ว

เมื่อหันมาดูพรรคพวก พบว่า เสียชีวิต 3 คน จึงได้เก็บปืน และของจำเป็น ทำศพอย่างง่ายๆ ให้กับผู้สละชีวิต

ขณะที่พรรคพวกอีกคน คือ จ.ส.ต.อดุลย์ หายตัวไป ระหว่างปะทะ

“อดุลย์ๆ” คนที่เหลือรอดชีวิตพยายามเรียกหา แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา



พวกเขารออดุลย์ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเดินหน้าต่อ โดยพยายามช่วย ส.ต.ท.ไพบูลย์ ซึ่งเจ็บหนัก กระสุนเจาะผ่านกระเพาะปัสสาวะ ค่อยๆ หมดลมหายใจ

สิ่งที่ทำได้ในเวลานั้น คือ ทำสัญลักษณ์ ไว้ เพื่อจะได้กลับเข้ามาเก็บศพเพื่อนในภายหลัง...

จ.ส.ต.โชคดี บอกว่า พวกเราห่วงคนเจ็บมาก ระหว่างที่ถอยกันอยู่นั้น ก็ถูกไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด จึงใช้วิธีการซ่อนตัวตามพุ่มไม้ในเวลากลางวัน พอตกกลางคืนก็ออกเดินตามแนวเชิงเขา

ช่วงเวลาอยู่ในป่า ทุกคนมีอาการเครียดและลำบากที่สุดในชีวิต เสบียงที่เตรียมไว้ สำหรับ 7 วัน ก็หมดลง

จากเชิงเขา ในจุดปะทะ ครั้งที่ 2 ก็ลงเดินมาทางป่าทึ

ระหว่างนั้น เห็นพุ่มไม้ไหวๆ เห็นหมวก จึงมั่นใจว่าเป็น “อดุลย์” จึงแสดงตัวอย่างช้าๆ เรียก “อดุลย์”

อดุลย์ เห็นหน้า จ.ส.ต.โชคดี ต่างโผเข้ากอดกัน อดุลย์ บอกภายหลังว่าได้ยินเสียงเรียกของเพื่อน แต่ไม่กล้าออกมา เพราะเกรงว่าถูกจับเป็นตัวประกัน

อดุลย์กลับลงมา ไม่ได้มามือเปล่า เขามาพร้อมขาของ “ค่าง” จึงแบ่งกันกินแบบสดๆ

ด้าน จ่าสำเริง บอกว่า ช่วงที่หนีตอนแรก กำลังใจยังดี แต่...เมื่อมีการปะทะกันอีก ก็มีคนบาดเจ็บ ล้มตาย

ตอนแรกพยายามใช้เส้นทางน้ำ แต่ถูกไล่ล่าอย่างหนัก จึงต้องเปลี่ยนยุทธวิธีหนีขึ้นเขา แต่ช่วงนั้นฝนตกตลอด 24 ชั่วโมง

ตอนหลังพวกเราหนีไปทางไหนก็เจอพวกมันมาดัก ทำให้รู้ว่า พวกมันตั้งใจล้อมฆ่าเราให้ตาย

กลุ่ม ตชด. ที่เหลือรอดเพียง 6 นาย พยายามเอาชีวิตรอด ต่อแพเล็กๆ ล่องไปตามน้ำ ก่อนจะประสบชะตากรรมเหมือนในหนัง ด้วยการล่องไปถึงผาน้ำตก และตกลงมา แต่ยังดีไม่มีใครตาย
จากนั้นก็เดินเท้ากันต่อ...

กระทั่ง ครบ 7 วัน ในป่านรกบางกลอย กลุ่ม ตชด. จะเดินไปพื้นที่นัดหมาย แต่ก็ดูเหมือนว่า ฮ. ที่พยายามหาพวกเราก็ไม่เจอ และบินผ่านไป

การเดินทางฝ่าขุมนรก ยังไม่สิ้นสุด ตอนนี้ทุกคนไม่มีอะไรจะกินกันแล้ว

“พวกเราต้องเก็บลูกมะเดื่อ จับงูเขียว ตัวทาก กิน เวลานั้น คิดอยู่อย่างเดียว จะต้องทำอย่างไรถึงจะรอดให้ได้ วิชาที่ฝึกมา เอามาใช้ทั้งหมด” จ.ส.ต.โชคดี กล่าว

เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ เริ่มไม่รู้วันคืน กระทั่งมาเจอไม้ที่ถูกฟัน สัญลักษณ์คล้ายคนกะเหรี่ยง จึงแบ่งทีมให้ล่วงหน้าไปก่อน โดยมี 2 คน คือ จ.ส.ต.สมชาย เพิ่มพงศาเจริญ และ ส.ต.ท.ภิญโญ มีทรัพย์

หลังแยกกันหลายชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด...

...


ทีมของ จ.ส.ต.โชคดี รู้ทันทีว่า น่าจะเกิดเรื่องกับ ทีมของ จ่าสมชายและภิญโญ จึงตั้งใจเดินช้าลง และเปลี่ยนทิศทาง แต่ก็มุ่งหน้าตะวันออก

เวลานี้ ทุกคนเชื่อว่า อยู่ในดินแดนประเทศไทยแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังว่า 2 คนที่ล่วงหน้าไปจะรอด...

แต่…ปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง กลุ่ม ตชด.หาญกล้า ตามมาเจอศพ ภิญโญ ที่หัวมีรอยแผลใหญ่เริ่มเน่า อยู่ในท่านั่ง มีเชือกถูกผูกที่คอ...คาดว่าถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

ส่วนร่างของ สมชาย ตอนแรกหาไม่พบ พบเพียงกางเกงลอยน้ำ และน้ำมีกลิ่นศพ จึงเชื่อว่าตายแล้วเช่นกัน

จากนั้นก็เดินเลาะลำห้วยไปเรื่อยๆ เจออะไรกินได้ก็กินไปเรื่อย จนกระทั่งไปเจอชาวกะเหรี่ยง 2 คน ซึ่งเป็นทีมค้นหา

เมื่อเจอหน้า จึงชักปืนขึ้นขู่ เพราะเวลานี้ไว้ใจใครไม่ได้ กะเหรี่ยงทั้ง 2 จึงแนะนำตัวว่าเป็นทีมค้นหา ก่อนจะช่วยกันพาตัวไปที่หมู่บ้าน ซึ่งอยู่บนเขาสูง

ที่นั่นคือ หมู่บ้าน “ใจแผ่นดิน” ของ “ปู่คออี้”

...


อาหารมื้อแรก ที่ทั้ง 4 คนได้กิน คือ ถุงข้าวเหลือๆ 1 ถุง ที่กะเหรี่ยงทั้ง 2 คน พกติดตัวมา

ก่อนจะได้กินข้าวแบบเป็นเรื่องเป็นราวที่หมู่บ้าน

ทีแรก ทั้ง 4 ตชด. ไม่ไว้วางใจใครทั้งสิ้น เพราะเชื่อว่า เพื่อน 2 คน ที่ตาย อาจจะมาจากฝีมือ “กะเหรี่ยง” เพราะรอยฟันไม้ที่พบก่อนหน้า

แต่เมื่อเจอหน้าผู้ใหญ่บ้าน และคนของทางการ จึงไว้วางใจมากขึ้น ก่อนจะช่วยกันทำที่จอด ฮ. ชั่วคราว

ทั้งหมดจึงถูกส่งไปรักษาตัวด้วย เฮลิคอปเตอร์ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระพันปีหลวง และในหลวง ร.10

พระพันปีหลวง ได้พระราชทานเงินให้ส่วนหนึ่ง และส่งเสียบุตรหลานของผู้กล้าทุกคนจนเรียนจบ

...



ส่วนกองกำลังลึกลับ ที่ไล่ล่า 35 วันนรก นั้น มารู้ภายหลังว่า อาจจะเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ กลุ่มสุดท้าย ที่ยังไม่ได้มาพัฒนาประเทศ โดยมีบันทึกว่า เป็น “วันเสียงปืนแตก” วันสุดท้าย เหนือบ้านบางกลอย โดยมีกองกำลังเป็นคนไทย พม่า และกะเหรี่ยงปะปนอยู่

สิ่งที่น่าเสียใจจากเหตุการณ์นี้ คือ ผู้ที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง กลับไม่ได้อะไรตอบแทนในทางราชการ คนที่เคยเป็นหัวหน้าได้เลื่อนยศตำแหน่ง ในขณะผู้น้อย ก็ไม่ได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการมากนัก

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน