ถือเป็นคดีสะเทือนขวัญที่เกิดเหตุในต่างแดน และเป็นที่สนใจของประชาชน สำหรับ คดีฆาตกรรม 4 ศพ สามี ภรรยาที่กำลังตั้งท้องลูกแฝด แล้วหมกศพไว้ท้ายรถยนต์ BMW X4 ที่บริเวณลานจอดรถสถานีรถไฟความเร็วสูง “เถาหยวน” ประเทศไต้หวัน ซึ่งผู้ต้องสงสัยในคดีนี้คือ นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ซึ่งได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายสันติ และ พวกแล้ว ส่วนมูลเหตุฆาตกรรมนั้น ตอนนี้ได้ตั้งประเด็นไว้ 2-3 ประเด็น...
ที่ผ่านมา เคยมีคดีที่เป็น “คนไทย” ก่อเหตุฆาตกรรม “คนไทย” หรือ คนต่างชาติฆ่าคนไทย อยู่หลายคดี และมูลเหตุการสังหารก็มีหลายประเด็น โดยมากนั้น...จะเป็นคนรู้จักกัน และอาจจะมีเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปย้อนรอย 3 คดีใหญ่ ที่เคยเกิดขึ้นในต่างแดน
ฆ่า 2 ศพ นักศึกษาไทยตายในสหรัฐฯ กับ ปมหึงหวง
เมื่อเดือนกันยายน 2561 หรือ เมื่อ 4 ปีก่อน เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมือง “ซีแอตเติล” ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในที่เกิดเหตุพบสาวไทย 2 คน นอนเสียชีวิตในสภาพถูกแทงหลายแผล คนแรกเป็นนักศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 2 จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ส่วนอีกคนเป็นสาวสมุทรสาคร
ก่อนเสียชีวิต... มีข่าวลือว่า นักศึกษาสาวเกียรตินิยม ได้โทรศัพท์กลับบ้าน เล่าว่ามีความกังวลในเรื่องความปลอดภัย กระทั่งขาดการติดต่อไป ต่อมาก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่อพาร์ตเมนต์ว่ามีนักศึกษา 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อตำรวจมาถึง ทั้งคู่ก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่...ในเวลาต่อมา พี่ชายผู้เสียชีวิต ยืนยันว่า ข่าวที่ว่าผู้ตายโทรศัพท์กลับมาหาครอบครัว เรื่องความกังวลเรื่องความปลอดภัยนั้น...ไม่เป็นความจริง เนื่องจากอพาร์ตเมนต์ดังกล่าวถือว่ามีความปลอดภัยสูง
...
ต่อมา กรมตำรวจนครซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ได้ออกแถลงการณ์ คดีที่เกิดขึ้นว่า กำลังรอผลชันสูตรการเสียชีวิตจากแพทย์สอบสวน ส่วนคดีครั้งนี้ “ไม่มีผู้ต้องสงสัยที่เด่นชัด” จึงกลายเป็นคำถามของโลกโซเชียลฯ ว่า คำแถลงดังกล่าว “หมายความว่าอย่างไร...?”
ซึ่งต่อมา เว็บไซต์ข่าว “ฟ็อกซ์นิวส์” รายงานว่า จากแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้อธิบายกับสื่อดังกล่าวว่า น่าจะหมายถึงการฆาตกรรม และเป็นการฆ่าตัวตายตาม และก็ได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาว่านักศึกษาสาวถูกแทงหลายแผล ขณะที่ผู้ก่อเหตุ ซึ่งมีลักษณะเป็นสาวทอม ได้ใช้มีดเล่มเดียวกันแทงปักอกตัวเองตายตาม
โดยก่อนเกิดเหตุ ทราบว่า ทั้งคู่ได้เจอกัน เพราะได้เรียนภาษาที่เดียวกัน จนกระทั่งสนิทกัน แต่...ฝ่ายสาวทอม มีใจเกินเลยกับฝ่ายหญิง ที่นับถือเป็นเพียงพี่สาวเท่านั้น แต่ก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาตอด 5 เดือน กระทั่ง วันหนึ่ง ฝ่ายหญิงได้เดินทางกลับมาเมืองไทย และไปเจอกับเพื่อนชายที่เป็นแฟนเก่า และพูดคุยกันมาตลอด ขณะที่สาวทอมก็ได้ทราบเรื่องภายหลัง จนกลายเป็นที่มาของการมีปากเสียงทะเลาะกัน และจบลงด้วยความเศร้า...
รักขม แทง 16 แผล หนุ่มว่าที่มหาบัณฑิต ฆ่าสาว ป.โท ดับคาห้องน้ำที่ซิดนีย์
เหตุสลดเกิดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย โดยผู้ที่เปิดเผยคือ นายดอน ปรมัตถ์วินัย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (ขณะนั้น) ว่าได้รับแจ้งจากกงสุลใหญ่ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ว่า เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2547 ได้เกิดเหตุ ฆาตกรรมหญิงไทย ที่บ้านเช่าในเขตอัลติโม โดยสารวัตรดัลตัน หัวหน้าฝ่ายสืบสวนของตำรวจซิตี้ เซ็นทรัล ได้ระบุว่า พบศพสาวไทยวัย 27 ปี (สงวนชื่อ-นามสกุล) ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม โดยถูกมีดปลายแหลมแทงถึง 16 แผล สิ้นใจในห้องน้ำห้องเช่า
ในขณะเดียวกัน ตำรวจก็ได้จับกุมผู้ก่อเหตุไว้ได้ คือ นายเชิดชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี (ขณะนั้น) โดยในเวลานั้นได้นำตัวไปฝากขังที่เรือนจำเมืองพารามัทตา เพื่อรอการสอบสวน..
สำหรับเบื้องหลังการฆาตกรรมครั้งนี้ ทราบว่า ฝ่ายหญิงเพิ่งเรียนจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เมืองบริสเบน ขณะที่ฝ่ายชายก็กำลังจะรับปริญญาโทเช่นกัน ที่มหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์
ทั้งคู่ได้รู้จักกันที่ออสเตรเลีย เพราะฝ่ายหญิงมาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารไทย จึงมีโอกาสให้ทั้งคู่ได้เจอ..และพบรักกัน
ต่อมาฝ่ายหญิง ซึ่งเรียนจบแล้ว และมีกำหนดกลับเมืองไทย ในช่วงต้นปี 2548 และฝ่ายชายรู้สึกว่า “เธอ” กำลังจะตีตัวออกห่าง ด้วยความเครียดจึงตัดสินใจจบปัญหาความรักด้วยการคว้ามีด เชือด และกระหน่ำแทงฝ่ายหญิง
เมื่อฝ่ายหญิงสิ้นลม นายเชิดชัยก็ใช้มีดเล่มเดิมแทงไปที่ตัวเอง แทงได้ไม่กี่ครั้งก็ทนความเจ็บไม่ไหว จึงโทรเรียกตำรวจมาจับ และนำตัวส่งโรงพยาบาล...
...
จัดฉาก “ฆ่า” โยนสาวไทยลงตึกดับในฮ่องกง โยงแก๊งมาเฟีย
คดีนี้แม้ฆาตกรจะไม่ใช่คนไทย แต่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อปี 2547 ถ้าใครได้ดูหนัง “สองคน สองคม” กับฉากที่แก๊งมาเฟีย โยน “สารวัตรหวง” ลงจากตึก การตายของสาวไทยกับคดีนี้ไม่แตกต่าง...
คดีสืบเนื่องจาก นายปรีชา (สงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี ได้รับโทรศัพท์จากลูกสาว นางปรียา หรือ หมู (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ที่ไปทำงานเป็นแม่บ้านที่ประเทศฮ่องกง เธอบอกกับพ่อว่า ให้ไปเคลียร์ค่าเช่าห้องให้หน่อย เพราะกำลังจะเดินทางกลับประเทศไทย
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน พ่อก็ได้รับสายโทรศัพท์อีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ลูกสาว แต่เป็นเจ้าหน้าที่กงสุลประจำเกาะฮ่องกง แจ้งว่า นางปรียา เสียชีวิตแล้ว เพราะตกลงจากอาคารสูง
นายปรีชา รู้สึกเสียใจมาก และคิดเพียงอย่างเดียวคือ ต้องการนำศพลูกสาวกลับมาบ้านเกิดให้ได้ แต่...ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เกือบ 2 แสนบาท แต่หากฌาปนกิจศพที่ฮ่องกง ค่าใช้จ่ายจะลดเหลือเกือบ 8 หมื่นบาท
ในเวลาต่อมา ก็ทราบเรื่องจากเพื่อนลูกสาวว่า การตายของเธอ อาจจะ “ไม่ใช่อุบัติเหตุ” เพราะมีคนเห็นว่ามีชายฉกรรจ์ 2 คน จับร่างของเธอโยนลงมาจากอาคารชั้น 13 แต่ก็ไม่มีใครกล้าเป็นพยาน
...
เรื่องของเรื่องคือ ก่อนเสียชีวิต นางปรียา ได้ไปเล่นการพนัน ติดหนี้สินจำนวนมาก และพยายามจะฆ่าตัวตาย ด้วยการกระโดดตึก แต่..มีคนพยายามห้าม และตำรวจก็มาที่เกิดเหตุ และเกลี้ยกล่อมสำเร็จ แต่...เรื่องไม่ได้จบลงเท่านั้น
เมื่อตำรวจเดินทางมาถึง สังเกตเห็นว่ามีลูกน้องมาเฟียใหญ่ ซึ่งถือเป็นเจ้าพ่อย่านหวั่นไจ๋ เปิดบ่อนเล่นพนันอยู่ ตำรวจจึงไล่จับกุมนักพนัน พร้อมทั้งลูกน้องมาเฟียไปด้วย ต่อมาลูกน้องอาตง 2 คน คาดว่าด้วยความเข้าใจผิดว่า นางปรียา อาจจะเป็นผู้แจ้งให้ตำรวจมาทลายบ่อน จึงจับเธอโยนลงจากชั้น 13 โดยแพทย์ที่ชันสูตรศพ พบรอยบีบที่บริเวณคอ ท้ายทอย และเอว บนร่างเหยื่อ...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ