- เมื่อห้องพัก หมายเลข 2805 นำไปสู่คดีปริศนาของ The Oslo Woman ที่รอให้ทุกคนเข้ามาไขความจริง
- สิ่งของรอบตัว The Oslo Woman ล้วนมีความผิดปกติ ป้ายยี่ห้อถูกตัดออกจนเกือบหมด เว้นแต่ "แบรนด์เยอรมนี" ที่คงหลงเหลืออยู่
- คดีหญิงปริศนานำไปสู่ "ทฤษฎีสมคบคิด" ว่านี่อาจเป็นการลอบสังหารโดย "สายลับ" ด้วยกันเอง
เวลา 19.50 น. วันที่ 3 มิถุนายน 1995
หน้าห้องพักหมายเลข 2805 ชั้น 28 เรดิสัน บลู พลาซา โฮเทล (Radisson Blu Plaza Hotel) โรงแรมสุดหรูหราใจกลางกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์
พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมใช้มือเคาะประตูค่อนข้างแรง หวังเรียกเจ้าของห้องเพื่อขอบัตรเครดิตมาชำระค่าบริการ หลังเจ้าของห้องเช็กอินเข้าพักในห้องสุดหรูราคาถึงคืนละ 330 เหรียญสหรัฐ หรือ 9,914 บาท (ค่าเงินปัจจุบันเทียบอัตราเงินเฟ้อ) มานานถึง 3 วัน โดยที่ยังไม่ได้ชำระเงินแม้แต่แดงเดียว
อย่างไรก็ดี เมื่อการกระทำที่เต็มไปด้วยมารยาท ไร้ซึ่งการตอบสนอง เขาจึงตัดสินใจเคาะประตูเรียกคนที่อยู่ในห้องอีกครั้ง
...
แต่แล้ว...อีกเพียงไม่กี่วินาทีถัดมา ได้บังเกิดเสียงปืนดังขึ้นในห้องสวนกับเสียงเคาะประตู ด้วยความตกใจ หนุ่มพนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งไปหาที่หลบบริเวณทางเดินทันที ก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา เขารีบพาตัวเองเข้าไปในลิฟต์แล้วลงไปแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่ชั้น 1
เวลา 20.04 น. หัวหน้าและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึ้นลิฟต์กลับมาที่ หน้าห้องพักหมายเลข 2805 อีกครั้ง เขาตัดสินใจรวบรวมความกล้าเคาะประตูเรียกอีก 2 ครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีการตอบรับใดๆ
ไม่กี่อึดใจต่อมา หัวหน้า รปภ. จึงตัดสินใจใช้คีย์การ์ดเปิดประตูด้วยความระมัดระวัง แต่แล้วเขากลับพบว่า ประตูยังถูกล็อกจากด้านในอีกถึง 2 ชั้น ซึ่งนั่นแปลว่า นอกจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมแล้ว จะไม่มีทางที่พนักงานคนอื่นๆ ของโรงแรมหรือบุคคลภายนอกจะสามารถเข้าไปภายในห้องดังกล่าวได้
และเมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องได้สำเร็จ ภาพที่หัวหน้า รปภ. คนนั้นแลเห็น คือ...ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่บนเตียง
พบกระสุนฝังอยู่ในศีรษะของเธอ
พบปืนอยู่ในมือร่างที่ไร้ชีวิตของเธอ
ประตูห้องพักถูกล็อกจากด้านใน
และ...ภายในห้องพักไม่ปรากฏหลักฐานการต่อสู้
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ "คุณ" คิดว่ามันน่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนั้น?
ใช่! มันไม่น่าจะมีอะไรที่เกินไปกว่าที่ "คุณ" กำลังคิด
แต่เดี๋ยวก่อน..."คุณ" ต้องเหวี่ยงสายตาลงไปในอ่านบรรทัดต่อจากนี้
เธอใช้ชื่อปลอม
เธอเช็กอินเข้าโรงแรมได้ โดยไม่ได้ใช้ทั้งพาสปอร์ต บัตรเครดิต หรือหลักฐานที่ระบุตัวตนใดๆ
เพียงเท่านี้ "คุณ" อาจจะคิดว่าแปลกแล้วใช่ไหม? แต่...มันไม่ใช่เลย
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เกือบทั้งหมด ป้ายโลโก้แบรนด์สินค้าและรหัสสินค้าที่สามารถระบุถึงที่มาได้ถูกถอดออกเกือบหมด จนไม่สามารถระบุได้ว่า เสื้อผ้าเหล่านั้นถูกผลิตมาจากประเทศใด หรือถูกซื้อในช่วงระยะเวลาใด
ไม่ปรากฏว่า มีแปรงสีฟัน เครื่องเป่าผม หรืออุปกรณ์อาบน้ำ ที่จะสามารถนำไปใช้ตรวจหา DNA เพื่อระบุตัวตนของเธอได้
หมายเลขทะเบียนบน "ปืน" ที่พบในที่เกิดเหตุ ถูกใช้น้ำกรดลบทิ้งแบบมืออาชีพ จนไม่สามารถสืบค้นหาเจ้าของได้
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีหลักฐานใดๆ แม้แต่ชิ้นเดียวในที่เกิดเหตุ ที่จะนำไปสู่การค้นหาคำตอบที่ "คุณ" กำลังงุนงงอยู่ ณ บรรทัดนี้ ได้ว่า "เธอ" ผู้นี้คือใคร?
แล้วเพราะอะไร เธอคนนี้จึงต้องมาเสียชีวิตอยู่ในห้องพักหมายเลข 2805
รวมถึง...คำถามที่ใหญ่กว่านั้น คือ "เธอ" เสียชีวิต เพราะ "ตัวเธอเอง" หรือ เพราะ "เธอ" ถูกฆาตกรรมกันแน่?
และ "คุณ" เชื่อหรือไม่? กาลเวลาพ้นผ่านมาถึง 25 ปี แล้ว คำถามดั่งที่ "คุณ" ได้อ่านไปทั้งหมดตามบรรทัดด้านบน ยังคงเป็นปริศนาที่ไร้ซึ่งคำตอบ!
ทำให้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ "เธอ" จึงยังถูกเรียกขานว่า "The Oslo Woman"
เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น "เรา" กลับไปที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดกันก่อน
...
หลังจากพบศพหญิงสาวปริศนาเกิดอะไรขึ้น?
คำถามที่ 1 เธอคือใคร?
คำตอบ หญิงสาวใช้ชื่อ เจนิเฟอร์ แฟร์เกต (Jennifer Fairgate) อายุ 21 ปี พร้อมกับระบุว่า ตัวเองอยู่ที่เมืองแวร์แลน (Verlaine) ในประเทศเบลเยียม และมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ในตอนที่กรอกข้อมูลเช็กอินเข้าโรงแรม
นอกจากนี้ เธอ ยังกรอกข้อมูลในนั้นอีกด้วยว่า เธอจะเข้ามาพักพร้อมกับชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า โลอิส แฟร์เกต (Lois Fairgate)
โดยตอนที่เธอเข้ามาที่โรงแรมนั้น เธอสวมชุด...ซึ่งสุดหรูหราและดูดี และถือกระเป๋าเดินทางล้อลาก ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่บรรดาพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินนิยมใช้
ตำรวจนอร์เวย์ระบุลักษณะทางกายภาพหลังการชันสูตรศพเพียงว่า เธอเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 23-25 ปี ดวงตาสีฟ้า ผิวเข้ม ผมสั้น สูงประมาณ 160 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 60-70 กิโลกรัม
พบฟันทองและฟันที่ถูกเคลือบด้วยวัสดุเซรามิก (Porcelain) ซึ่งมีราคาสูงมาก ภายในปาก ซึ่งเบื้องต้นน่าจะถูกทำในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี หรือสวิตเซอร์แลนด์
...
จากปากคำของเจ้าหน้าที่ในโรงแรม ยืนยันว่า เธอสามารถพูดภาษาอังกฤษและเยอรมันได้
คำถามที่ 2 ในที่เกิดเหตุพบอะไรบ้าง?
1. สภาพศพของหญิงสาวอยู่ในสภาพนอนหงายอยู่บนเตียง มือขวาที่บริเวณอกจับอาวุธปืนพก ขนาด 9 มม. บราวนิง (9 mm Browning pistol) ในลักษณะใช้นิ้วโป้งอยู่ที่ไกปืน มีบาดแผลที่บริเวณหน้าผากขนาด 7.5 เซนติเมตร และพบกระสุนปืนในศีรษะของผู้ตาย และกระสุนอีกนัดถูกพบฝังอยู่ที่พื้นคอนกรีต
2. ไม่ปรากฏหลักฐานการต่อสู้ หรือน่าจะมีบุคคลอื่นใดอยู่ในห้องพัก
3. คีย์การ์ดเปิดห้อง 2 ใบ ยังอยู่ภายในห้องพัก ประตูถูกล็อกจากด้านในถึง 2 ชั้น หน้าต่างเปิดแง้มไว้เล็กน้อย หากแต่การที่ห้องอยู่สูงถึงชั้น 28 จึงไม่มีทางที่จะมีใครเข้ามาหรือออกไปผ่านกระจกดังกล่าวได้อย่างแน่นอน
4. จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่พบรอยนิ้วมือของบุคคลอื่นใด นอกจาก รอยนิ้วมือของเธอ
อ่านมามาถึงบรรทัดนี้แล้ว คดีนี้น่าจะสรุปได้ไม่ยากใช่ไหม? "คุณ" คงคิดเช่นนั้น แต่ความแปลกประหลาดดังที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นอยู่ในบรรทัดนับจากนี้เป็นต้นไป
:: ปริศนาของคดี "The Oslo Woman"
1. ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ แม้แต่ชิ้นเดียว ที่จะนำไปสู่การระบุตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวรายนี้ได้?
จากการตรวจสอบชื่อ เจนิเฟอร์ แฟร์เกต (Jennifer Fairgate) ที่เธอกรอกไว้ในเอกสารการเช็กอิน ความจริงที่ปรากฏ คือ "เป็นชื่อปลอม" ไม่ต่างจากที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุว่าในเอกสารการเช็กอิน ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ "ปลอมขึ้นทั้งหมด" หนำซ้ำเมื่อตรวจสอบกับทางตำรวจเบลเยียม ได้รับคำยืนยันว่า ไม่พบ บุคคลที่ใช้ชื่อ "เจนิเฟอร์ แฟร์เกต" แต่อย่างใด
นอกจากนี้ อายุ 21 ปีที่ระบุเอาไว้ในเอกสารการเช็กอิน หลังการชันสูตรพลิกศพ พบความเป็นไปได้จากลักษณะทางกายภาพว่า เธอน่าจะมีอายุระหว่าง 30-35 ปี
...
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบอะไรที่จะนำไปสู่การระบุตัวตนที่แท้จริงของเธอได้แม้แต่ชิ้นเดียว ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน บัตรพนักงาน วีซ่า ใบขับขี่ หรือแม้กระทั่งกุญแจบ้านหรือกุญแจรถยนต์
นอกจากพบโคโลญจน์สำหรับผู้ชาย แบรนด์ Emanuel Ungaro รุ่น Ungaro Pour L'Homme 1 ภายในห้องพักแล้ว ไม่พบเครื่องใช้ส่วนตัวอื่นใด เช่น กระเป๋าถือ อุปกรณ์อาบน้ำ หรือแม้กระทั่งเครื่องสำอาง ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจสอบ DNA ของผู้ตายได้
*หมายเหตุ ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้น การตรวจหา DNA ในที่เกิดเหตุเพื่อหาตัวคนนร้ายยังไม่แพร่หลาย ด้วยเหตุนี้กองเลือดที่พบในที่เกิดเหตุ จึงไม่ได้ถูกนำไปตรวจ **
ซึ่งขัดแย้งกับการให้ปากคำของพนักงานโรงแรมที่ยืนยันว่า หญิงสาวปริศนาแต่งกายด้วยชุดหรูหราและดูดี ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงบุคลิกภาพที่กังวลต่อความสวยความงาม
นอกจากนี้ ป้ายโลโก้แบรนด์และป้ายกำกับต่างๆ ในเสื้อและกระโปรงที่ดูหรูหรา ซึ่งถูกพบในตู้เสื้อผ้า ถูกตัดทิ้งออกเกือบทั้งหมด จนกระทั่งไม่สามารถสืบค้นที่มาของเสื้อผ้าเหล่านี้ได้ว่ามันถูกผลิตมาจากที่ใด และถูกวางขาย ณ ช่วงเวลาใดหรือในประเทศใด ซึ่งอาจจะนำไปสู่การค้นหาความจริงที่ว่า เธอคนนี้คือใคร?
ยกเว้นป้ายแบรนด์ที่หลงเหลืออยู่เพียงป้ายเดียวในเสื้อเบลเซอร์ผู้หญิงสีเทาที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งมีชื่อว่า เรเน เลซาร์ด (René Lezard) ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากประเทศเยอรมนี โดยสาเหตุที่ป้ายของมันไม่ถูกตัดออก เนื่องจากการออกแบบเสื้อตัวนี้นั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดป้ายออกโดยไม่ต้องตัดผ้าซับด้านใน รวมถึงกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กสีเขียวแบรนด์ทราเวลลิท (Travelite) จากประเทศเยอรมนีเช่นกัน
ในขณะที่ รองเท้าส้นสูงสีดำที่พบในตู้เสื้อผ้า ชื่อแบรนด์หายไปอีกเช่นกัน เหลือเพียงคำว่า "Made in Italy" บริเวณด้านในพื้นรองเท้าเท่านั้น อย่างไรก็ดี เมื่อนำภาพของรองเท้าคู่ดังกล่าวไปให้พนักงานทำความสะอาดของโรงแรมที่เคยเข้าไปทำความสะอาดห้อง 2805 ก่อนที่หญิงสาวจะเสียชีวิต พนักงานคนนั้น ให้การว่า มันไม่น่าจะใช่คู่เดียวกับที่เธอเห็นในห้องตอนที่เข้าไปทำความสะอาด
และ...กระเป๋าเดินทางล้อลากที่พนักงานโรงแรมพบเห็นตอนที่เธอมาที่โรงแรมครั้งแรกไม่ได้อยู่ในห้อง 2805 อีกด้วย!
แต่ที่น่าประหลาดที่สุด คือ เมื่อตำรวจนอร์เวย์ค้นกระเป๋าขนาดเล็กสีดำแบรนด์บรานบัฟเฟล (Braun Büffel) แบรนด์สุด Luxury ของประเทศเยอรมนี ซึ่งออกวางขายในปี 1995 ภายในนั้นพบกระสุนปืนจำนวนมากถึง 34 นัด!
อึม...เดี๋ยวสิ เรามีรอยนิ้วมือของเธอในที่เกิดเหตุไม่ใช่หรือ?
คุณคงคิดเช่นนั้น...แต่คำตอบที่ตำรวจนอร์เวย์ได้ หลังจากนำรอยนิ้วมือของเธอไปตรวจสอบ คือ ไม่มี ไม่ปรากฏว่ามีรอยนิ้วมือนี้ อยู่ในบันทึกทะเบียนราษฏรของนอร์เวย์ และเมื่อนำไปตรวจสอบกับตำรวจเบลเยี่ยม และ ตำรวจสากล ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันว่า รอยนิ้วมือของเธอ ไม่มีปรากฏว่าตรงกับบุคคลใดเช่นกัน!
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ "คุณ" คงคิดในใจแล้วใช่ไหม แล้ว "ปืน" ที่พบในมือผู้ตายล่ะ มีอะไรผิดปกติหรือไม่?
คำตอบอยู่ในบรรทัดนี้ เมื่อตำรวจนอร์เวย์นำปืนไปตรวจสอบจึงพบความจริงอันน่าตกตะลึงว่า Serial Number ถูกลบด้วย "น้ำกรด" ซึ่งวิธีการนี้ ผู้เชี่ยวชาญประจำหน่วยสืบสวนอาชญากรรมของนอร์เวย์ยอมรับว่า "เป็นวิธีการในระดับมืออาชีพ" และแม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อค้นหา "Serial Number" ที่ถูกลบออกไป แต่ก็ยังได้ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์พอที่จะบ่งชี้ได้ว่า ปืนกระบอกนี้ใครเป็นเจ้าของ?
อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้น สามารถระบุที่มาของปืนกระบอกนี้ได้เพียงว่า มันถูกผลิตขึ้นในประเทศเบลเยียมระหว่างปี 1990-1991 เท่านั้น
นอกจากนี้ สภาพศพที่พบว่า นิ้วโป้งของเธออยู่ในไกปืน ถือว่าอยู่ในลักษณะที่ค่อนข้างผิดปกติ หากเป็นการเสียชีวิตด้วยการทำร้ายตัวเอง ขณะเดียวกัน อีกประเด็นที่ตำรวจนอร์เวย์ให้ความสนใจ คือ ไม่พบคราบเลือดที่มือข้างที่จับปืน หรือที่บริเวณปลายกระบอกปืน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ และไม่สัมพันธ์กับการยิงในระยะเผาขนเพื่อหวังจะทำร้ายตัวเอง และเหตุใดจึงปรากฏว่ามีกระสุนนัดที่ 2 ตกอยู่ในห้องที่เกิดเหตุ
รวมถึงเหตุใด ปืน จึงยังอยู่ในมือของเธอได้ ทั้งๆที่ แรงสะท้อนตอนยิงน่าจะทำให้ปืนกระเด็นออกจากมือแล้วร่วงลงสู่พื้นมากกว่า?
ในวันเกิดเหตุมีกี่คนอยู่ในห้อง 2805 กันแน่?
ย้อนกลับไปวันที่ 2 มิถุนายน
36 ชั่วโมงก่อนจะพบศพหญิงปริศนาแห่งออสโล พนักงานของโรงแรมคนหนึ่งเห็นเธอแขวนป้าย "ห้ามรบกวน" เอาไว้ที่หน้าห้อง 2805 ก่อนจะออกไป
ต่อมาในเวลา 11.03 น. จากบันทึกคีย์การ์ดพบว่า เธอหรืออาจจะเป็นใครอีกคนกลับเข้าไปในห้อง และจากนั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่ได้ออกมาจากห้องนั้นอีกเลย ยกเว้นแต่...เมื่อตอนที่เธอออกจากห้องไป มีใครบางคนอยู่ในห้องและเปิดประตูให้เมื่อเธอกลับเข้ามาที่ห้อง 2805 โดยไม่ใช้ "คีย์การ์ด"
20.06 น. เธอโทรศัพท์ลงไปสั่งอาหารจาก Room Service
20.23 น. อาหารถูกนำมาส่งให้เธอที่ห้อง 2805
พนักงานที่มาเสิร์ฟอาหารได้รับทิปจำนวนหนึ่งจากหญิงสาว ในเวลาต่อมา พนักงานคนนั้นให้ปากคำว่า สภาพภายในห้อง 2805 ณ เวลานั้น ไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างยังเรียบร้อยดี
เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งมองข้ามประเด็นนี้!
หากถามว่า ทำไมจึงไม่ควรมองข้าม...? นั่นก็เพราะผลการชันสูตรพลิกศพบ่งชี้ว่า เธอเสียชีวิตในคืนวันที่ 3 มิถุนายน
แต่สิ่งที่น่าแปลก คือ พบอาหารตกค้างอยู่ในกระเพาะของเธอจำนวนหนึ่ง แถมยังได้รับการย่อยน้อยมาก ทั้งๆ ที่หากอาหารที่ถูกสั่งไป ซึ่งในที่เกิดเหตุพบว่า ถูกกินเข้าไปเพียงครึ่งเดียวของจำนวนอาหารที่สั่งมานั้น หากเธอกินเข้าไปในคืนวันที่ 2 มิ.ย. จริงๆ มันควรจะถูกย่อยไปหมดแล้ว ก่อนที่จะมีการพบศพของเธอในคืนวันที่ 3 มิ.ย.
การยังคงพบอาหารในกระเพาะของเธอ แปลความได้ว่า เธอเพิ่งกินอาหารที่สั่งมาในวันเดียวกับที่เสียชีวิต มากกว่าที่จะกินเข้าไปในคืนที่สั่งอาหารมา
คำถาม คือ เธอสั่งอาหารมาในคืนก่อนเสียชีวิตเพราะอะไร?
นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน เธอยังขอใช้บริการ "เพย์ทีวี" กับทางโรงแรมด้วย แต่ที่น่าประหลาด คือ เมื่อตำรวจนอร์เวย์เข้าไปตรวจสอบ กลับไม่พบข้อมูลว่า มีการเปิดช่องโทรทัศน์เพื่อดูบริการ "เพย์ทีวี" หรือมีการ "เลือกภาษา" ในการรับชมใดๆ เลย
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ เมื่อตอนที่ "เธอ" ออกไปจากโรงแรมในช่วงบ่ายของวันที่ 31 พ.ค. เธอได้แจ้งกับทางโรงแรมว่า เธอจะกลับมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งในช่วงเย็นวันเดียวกันนั้น ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ของโรงแรมจึงได้รับคำสั่งให้นำผ้านวม หมอน สบู่ ผ้าขนหนู มาเพิ่มที่ห้อง 2805 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ "แขกพิเศษอีกคนหนึ่ง"
อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าของวันที่ 1 มิ.ย. เมื่อพนักงานเข้าไปทำความสะอาดห้อง 2805 แล้วพบว่า มีหมอนและผ้านวมถูกใช้เพียงชุดเดียว ผ้านวมและหมอนเสริมถูกพับและวางไว้ พนักงานทำความสะอาดจึงนำผ้านวมและหมอนเสริมไปเก็บไว้ที่ตู้เสื้อผ้าและจัดเตียงใหม่สำหรับรับ "แขกเพียงคนเดียว" อีกครั้ง
:: ทฤษฎีหญิงปริศนา คือ สายลับและถูกลอบสังหารด้วยสายลับอีกคน
และอาจจะด้วยเหตุที่ไม่สามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของ "เธอ" ได้ อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยคำถามจากปริศนาหลายชิ้น ภายใต้ฉากหลังที่ไม่ต่างจากคดีปริศนาฆาตกรรมในห้องปิดตาย
มันจึงเกิด ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ขึ้นมามากมาย โดยเหล่าผู้คิดทฤษฎีสมคบคิดมักจะเริ่มตั้งต้นมาจากความเป็นไปได้ในช่วงระยะเวลาประมาณ 15 นาทีปริศนา
อะไรคือ 15 นาทีปริศนาที่ว่านี้?
มันคือ ช่วงระยะเวลาที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนแรกวิ่งลงลิฟต์ไปแจ้ง หัวหน้า รปภ. หลังได้ยินเสียงปืนในห้อง 2805 ก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นลิฟต์กลับมาที่ห้องดังกล่าวอีกครั้ง
เนื่องจากเหล่าผู้คิดค้นทฤษฎีสมคบคิดต่างมีความเชื่อมั่นว่า หากมีใครอยู่ในห้อง 2805 อีกคน แล้วลงมือสังหาร "เธอ" จริง ใครคนนั้นก็น่าจะอาศัยช่วงเวลา 15 นาทีที่ว่านี้ หลบหนีออกมาจากห้องพร้อมกับจัดฉากสร้างฆาตกรรมในห้องปิดตาย ได้ก่อนที่ รปภ. ทั้งคู่จะกลับมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใครอีกคนที่ว่านี้ ไม่ใช่ "คนธรรมดาๆ" แต่เป็นสายลับที่ถูกฝึกการลอบสังหารมาเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ความพยายามในการทำลายหลักฐานที่จะนำไปสู่การระบุตัวตนของ "หญิงสาวแห่งออสโล" ได้ในบั้นปลาย ยิ่งทำให้ทฤษฎีที่ว่านี้ดูเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นว่า บางที "เธอ" อาจจะเป็นสายลับที่ทำหน้าที่จารกรรมข้อมูลให้กับประเทศใดประเทศหนึ่ง และงานบางอย่างที่มาทำในประเทศนอร์เวย์ ณ เวลานั้น อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ "เธอ" ถูกสังหาร
นอกจากนี้ การตายอันน่าชวนสงสัยยังนำไปสู่ความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า บางที "เธอ" อาจจะไม่ได้ทำร้ายตัวเองจนเสียชีวิต อย่างเช่นที่ตำรวจของนอร์เวย์สรุปคดี และนำศพของเธอไปฝังในสุสานแบบศพไร้ญาติ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 1996 หลังล้มเหลวในการระบุตัวตนที่แท้จริงของ "เธอ" รวมถึงไม่สามารถคลี่คลายข้อสงสัยต่างๆ ให้กระจ่างชัดกว่านี้ได้
"เธอ" ถูกฝังไปพร้อมๆ กับหลักฐานทั้งหมดในคดีนี้ที่ถูกทำลายหลังมีการประกาศปิดคดี
อย่างไรก็ดี แม้ในปี 2016 จะมีการขุดศพของ "เธอ" ขึ้นมา เพื่อพยายามค้นหาเบาะแสที่จะนำไปสู่ความจริงให้ได้อีกครั้ง หากแต่ผ่านมาเกือบ 4 ปีปริศนา ของคดีหญิงสาวลึกลับแห่งออสโล ก็ยังคงไม่ถูกคลี่คลายต่อไปเช่นเดิม...
ผู้เขียน : นายฮกหลง
กราฟิก : เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์
ข่าวน่าสนใจ: