นับเป็นอีกข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่ได้อ่านและรับรู้ เมื่อ เด็กหญิงวัย 14 (เวลาเกิดเหตุ) ให้การว่าถูกรุมโทรมหลายครั้ง โดยชายกว่า 40 คน โดยครั้งที่โดนมากที่สุด คือ 11 คน เรื่องราวน่าเศร้าสลดเกิดขึ้น เมื่อ เจ้าหน้าที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติสาขาภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ได้นำแม่และผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งวันนี้เธออายุ 15 ปี แล้ว เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ต่อ พ.ต.ท.กิตติภูม ถิ่นกลาง สารวัตร(สอบสวน) เพื่อหาตัวกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่ง ในอำเภอตะกั่วทุ่ง หลังจากมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแล้ว 3 คน (อ่านข่าว สุดช็อก! เด็ก 14 ถูกลวงข่มขืน อ้าง 40 ชายโฉด รุมโทรมนานนับปี )

เชื่อว่าใครที่ได้อ่านข่าวนี้ แทบทุกคนจะนึกถึงคดีอื้อฉาวในลักษณะคล้ายกัน นั่นก็คือ เหตุการณ์ที่ “พรหมพิราม”

...

จุดเริ่มต้นคดีสุดอื้อฉาว ตราบาปที่ทุกคนอยากลืม แต่กลับไม่เคยลืม

บางคนอาจจะเคยได้ดูหนัง “คืนบาปพรหมพิราม” แล้ว แต่เชื่อว่า แทบไม่มีใครได้เคยอ่านข่าวของจริง หรือ คนที่เคยอ่านอาจจะลืมเลือนไปแล้ว และวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอย้อนรอยคดีคาวที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง...

ย้อนกลับไปในวันที่ 18 สิงหาคม 2520 ชาวตลาด อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กว่า 20 คน ได้เข้าร้องเรียนกับ พ.ต.อ.สมชาย ไชยเวช ผกก. และผู้สื่อข่าว “ไทยรัฐ” ประจำจังหวัดพิษณุโลก ว่าได้มีวัยรุ่นราว 17 คน ได้ร่วมกันฉุดหญิงสาวคนหนึ่งไปข่มขืนจนถึงแก่ความตาย แล้วนำร่างไปให้รถไฟทับจนคอขาดกระเด็น เพื่ออำพรางคดี แต่...ตำรวจไม่กล้าจับกุมเพราะผู้ต้องหาล้วนเป็นลูกหลานตำรวจ และผู้ใหญ่บ้าน เป็นวิพากษ์วิจารณ์แก่ชาวบ้าน...

จุดเริ่มต้นแห่งคดี เป็นเรื่องราวสุดชั่วช้าที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นนานนับเดือน แต่สุดท้าย ชาวบ้านก็อดรนทนไม่ได้ ต้องการให้ตำรวจและสื่อเปิดเผยความจริงที่น่าอดสู

เมื่อเรื่องถึงมือสื่อ จึงต้องหาต้นตอแห่งความจริง และเรื่องราวของเหล่าทรชนก็พรั่งพรูไหลออกมาจากการสืบสวน

หญิงสาวคนหนึ่ง สวมเสื้อสีน้ำตาล กระโปรงสีขาวผ้าดิบ อายุราว 20 ปี ผิวดำแดง สูง 155 ซม. หน้ากลม ผมสั้น ถูกการ์ดรถไฟคนหนึ่งไล่ลงจากรถไฟ ขบวนรถเร็วที่ 37 เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ในเวลา 5 ทุ่ม วันที่ 27 ก.ค.20 เหตุเพราะไม่ได้ซื้อตั๋ว โดยเธอได้แอบขึ้นรถจากสถานีบ้านดารา อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

“พี่อย่าไล่หนูลงเลย ขอร้องเถอะ” หญิงสาวยกมือไหว้ พลางกับร้องขอ ใบหน้ามีน้ำตานอง

แต่สิ่งที่ได้รับคือ เธอถูกปฏิเสธ ซึ่งนี่คือคำบอกเล่าจากพยานคนหนึ่งที่อยู่เหตุการณ์ หลังจากที่ลงจากรถ ลงในสถานีเล็กๆ ที่ชื่อ “พรหมพิราม” เธอก็เดินโซเซด้วยความหิว เพราะไม่มีเงินติดตัว กระทั่งเจอชายวัยรุ่น 2 คน

“เดินไปอีก 300 เมตรสิ ข้างหน้ามีงานแต่งงาน เดี๋ยวจะพาไปกินข้าว”

หญิงสาวหลงเชื่อกอปรกับความหิวโหยจึงทำให้เดินตามชายแปลกหน้าไป เมื่อเดินไปสักพักเจอป่าที่เป็นข้าวโพด ชายวัยรุ่นแปลงกายเป็น ชายชั่วช้า และได้เรียกเพื่อนอีก 2 คนมา ช่วยกันลากหญิงต่างถิ่นเข้าป่าข้าวโพดและเข้าข่มขืนทีละคน...

...

เมื่อคนที่งานแต่งงาน ซึ่งห่างไปประมาณ 100 เมตร รู้เรื่อง ก็แห่กันมาจะข่มขืนอีก...

เธอโดนกระทำคนแล้วคนเล่า คนแล้วคนเล่า โดยมีพยานซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ใกล้เคียงมาซุ่มดู เธอพยายามร้องให้คนช่วย แต่เหมือนเสียงที่เธอร้องขอชีวิตนั้น ไม่ดังพอ ที่จะทำให้ใครเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือ

ร่างของเธอถูกลากลึกเข้าไป ลึกเข้าไป กระทั่ง 2 ชั่วโมงผ่านไป ก็เหลือกลุ่มชายหื่นกลุ่มสุดท้าย ราว 7 คน แม้จะข่มขืนไปแล้ว แต่ก็จะข่มขืนอีก

...

“ขอข้าวกินได้ไหม ฉันหิวข้าว”

สาวร้องขอ พร้อมกับเดินมาล้างสิ่งสกปรกที่แอ่งน้ำดิน จากนั้น กลุ่มชายโฉด ซึ่งหนึ่งในนั้นถูกขนานนามว่าเป็น "เจ้าพ่อ" จะข่มขืนเธออีก คนแรกผ่านไป คนที่สองเข้ามา

“พอแล้ว กลัวแล้ว และจะตายอยู่แล้ว” หญิงสาวพยายามร้องขอชีวิต แต่ชายหื่นหน้ามืดผู้นี้ก็ไม่หยุด แถมใช้มือบีบที่คอ เพราะไม่ให้เธอร้องตะโกน แต่เธอกลับแน่นิ่งไป แล้วเมื่อจับที่หัวใจ ปรากฏว่า เธอได้เสียชีวิตแล้ว..

...

“เขาฆ่าผู้หญิงคนนี้ ใช้มือบีบคอจนตาย เพราะกลัวชาวบ้านได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ” คำให้การตรงกันของ 2 ผู้ต้องหาที่รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่

จากนั้น เจ้าพ่อที่อยู่ในกลุ่มได้ไปข่มขู่พวกที่เหลือ ให้ช่วยกันแบกศพไปให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี

“หัวให้วางที่รางข้างหนึ่ง ท่อนขาตรงอวัยวะเพศให้วางตรงรถไฟอีกข้างหนึ่ง” เจ้าพ่อกำชับ เพื่อหวังว่าจะไม่เห็นร่องรอยการข่มขืน กระทั่งต่อมา เวลา 03.00 น. รถไฟขบวนเชียงใหม่-พิษณุโลก ก็วิ่งฝ่าความมืดมาทับหัวขาด กลุ่มชายชั่วได้หิ้วหัวผู้เคราะห์ร้ายไปวางทางทิศตะวันตก ห่างจากรางรถไฟ 20 เมตร โดยหันหน้าไปทางนั้น เพื่อทำพิธีไสยศาสตร์

“เรื่องนี้ส่วนใหญ่พวกที่ข่มขืนจะรู้ รวมไปถึง ข้าราชการของอำเภอหลายคนรู้เห็นแต่ไม่กล้าเปิดปากเรื่องนี้” หนึ่งในผู้ต้องหาให้การ

นอกจากนี้ จากการสอบสวน ยังทราบด้วยว่า ระหว่างที่เธอถูกข่มขืนนั้น เธอพยายามร้องขอความเมตตา แต่กลุ่มชายเหล่านี้กลับไม่ฟังคำอ้อนวอน ด้วยความโมโห เธอจึงคว้ามีดโกน ที่เหล่าบรรดาชายโฉดทำตกไว้ กรีดหน้าตัวเอง แต่ชายหื่นเหล่านั้นก็ไม่หยุด

โดยระหว่างสอบสวน ก็มีการเขียนจดหมายข่มขู่พยานอีกด้วย “ถ้าขืนปากมาก จะจับขึงพืดขวางทางรถไฟเช่นเดียวกับสาวเคราะห์ร้าย” พ.ต.อ.สมชาย ไชยเวช เปิดเผย

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ตามหาญาติผู้เคราะห์ร้ายจนพบในวันที่ 9 ก.ย.20 โดยมีพ่อแม่มาดูศพ พร้อมบอกว่า ลูกสาวสติไม่ดี ได้หายออกจากบ้านไป โดยก่อนหน้านี้เคยถูกข่มขืนมาแล้วจนตั้งท้อง เมื่อคลอดลูกก็ได้หายออกจากบ้านอีก โดยขึ้นรถไฟที่สถานีบ้านดารา เมื่อ 8 เดือนก่อน กระทั่งหายสาบสูญ

ส่วนคดีความนั้น ทางเจ้าหน้าที่สามารถตามจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 10 คน นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตำรวจเจ้าของคดี 2 คน ถูกลงโทษทางวินัย ฐานปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่พิมพ์ลายมือผู้ตายไว้ ส่งผลให้การสืบคดียากขึ้น

นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมได้ จากคดีประวัติศาสตร์ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเป็น “ตราบาป” ซ้ำรอย..