เพื่อน(ไม่)สนิท ตลาดที่เด็กลงของ GDH และหนัง coming-of-age ที่มีสาระและชีวิตแบบ "หมูกระทะ"... 

ถ้าผมจำ "เวลานาที" ไม่ผิด มาเรียน เครน (เจเน็ต ลีห์) อยู่ในหนัง psycho (1960) แค่ 20 นาทีเศษ แล้วถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม - ตัวละครที่คนดูกำลังจะรักและผูกพัน จู่ๆ ตายตั้งแต่ต้นเรื่อง ผู้ชมในโรงก็เคว้ง... จะยึดใคร ต่อดี?

แต่ "อัตตา เหมวดี" ไม่ได้เล่นมุกแบบ "อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก" เพราะแม้เขาจะให้ตัวละครอย่าง โจ (พิสิฐพล เอกพงษ์พิสิฐ) ตายตั้งแต่ต้นเรื่อง ทว่า ไม่ใช่การกลั่นแกล้งคนดู เพราะ "โจ" ก็กลับมาในหนังตลอดเวลา ผ่านการพูดถึงบ้าง อะไรบ้าง 

ก่อนจะดู "เพื่อน(ไม่)สนิท" ผมคาดเดาว่า พล็อตเรื่องและวิธีเล่า น่าจะไม่โดดไปจากขนบทางของ GDH มากนัก พวกเขาแถลงข่าวที่สยามสแควร์ เป็นการปักป้ายไว้แล้วว่า ทาร์เก็ตของหนังคือใคร

...

และเพราะกลุ่มคนดูหลัก เป็นตลาดวัยรุ่นมัธยมนี่เอง สิ่งที่พูด และ วิธีการ แม้จะดิ้นไปมาอยู่บ้าง ก็ยังออกไปจากทิศทางเดิมๆ ไม่ได้มากนัก อันนี้ ต้องเห็นใจ GDH อยู่เหมือนกัน

สัก 20 ปีก่อน เราจะได้ยินคนพูดกันว่า ทางของหนังไทยนั้น มักจะมีแนวหลักๆ อยู่ 3-4 แนว นั่นคือ ตลก, แอ็กชัน, หนังผี และ feel good 

ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ - ผมว่า ลักษณะทางเนื้อหา (ไม่ใช่เทคนิคสไตล์) ก็มักจะขายได้ง่ายอยู่ 3-4 แนว นั่นคือ underdog, road movie odd couple, nostalgia และ coming-of-age  ซึ่งแนวหลังสุด GDH เก่งมาก (เมื่อต้นปี ก็มี เธอกับฉันกับฉัน ที่ดีมาก แต่หนังอาจจะไม่เหมาะกับคนดูบ้านเรา ซึ่งคุ้นชินอะไรแบบ พรหมลิขิต)

ความตาย และแผลเก่า ดูจะเป็นโจทย์หนักหนามากเหลือเกินสำหรับ coming-of-age แบบ GDH ที่ต้องผ่านไปให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องทำให้คนดู ในวัยเดียวกับตัวละคร เป็นฝ่ายดู 

ขณะที่ coming-of-age ดีๆ ในอดีต อย่าง stand by me ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ หรือ the man in the moon คนดูคือ คนที่โตแล้ว (และรับรู้มาก่อนจากวรรณกรรม)

รอบที่ผมไปดู คือ 16.40 วันแรกที่ฉายในพารากอน เมเจอร์ฯ โรงที่ 9 คนดูเต็ม 90% ซึ่งถือว่า สตาร์ทดี

เพราะ "ธี่หยด" ก็แรงขึ้นมาด้วยหน้าหนังที่ชัดกว่า ...แถมแรงกระเพื่อมอันรุนแรงของ "สัปเหร่อ" ก็ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนลง

จึงน่าสนใจว่า เดือนตุลาคมนี้ เราอาจจะได้เห็นปรากฏการณ์หนังไทย 3 เรื่อง ทำรายได้ที่ "น่าพอใจ" ทั้งหมด (ซึ่งผมหวังให้เป็นเช่นนั้น แม้ว่าผมจะเลือกดู "เพื่อน(ไม่)สนิท แทนที่จะดู "ธี่หยด")

...

เป้ (อันโทนี บุยเซอเรท์) อยากทำหนังสั้นเพื่อเป็นทางลัดเข้ามหาวิทยาลัย แต่เขาไม่มีไอเดีย พอไปเจอเรื่องสั้นที่เขียนไว้ของเพื่อนอย่าง โจ จึงอยากฉกมาทำเป็นหนัง ก่อนจะไปพบ "ความลับ" ที่สติแตก

ภารกิจของก๊วน "ห่วยขั้นเทพ" ที่นำพาไปอย่าง "ฉลาดแกมโกง" ดูจะไม่ใช่เรื่องเพียงแค่ "เธอกับฉันกับฉัน" (อันหมายถึง เป้ - โจ - โบเก้) แต่ยังมี "เขา" ที่ชื่อโอม โผล่มาให้ปวดหัวเข้าไปอีก 

มีภาษาหนังง่ายๆ ฉากหนึ่ง (จริงๆ คือทั้งซีเควนซ์) ที่ผมชอบ ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน หนังใช้สวนสยาม เป็นฉากหลัง นอกจากได้การตลาดแล้ว หนังยังใช้ฉากหลังเครื่องเล่นให้เป็นประโยชน์ ตอนที่ เป้ ทะเลาะกับ โบเก้ แล้วหาทางออกไม่ได้ มันมีรถไฟเหาะม้วนตัวรางเลขแปด ผ่านไปมา...สะท้อนถึง "จิตใจ" ตัวละครได้เป็นอย่างดี

ภารกิจของ GDH ก็คล้ายๆ mission impossible ของพวกเป้ คือจะปั้นหนัง ผลักเรื่องราว ของ "เพื่อน(ไม่)สนิท" ออกไปสู่คนดูอย่างไร ท่ามกลาง "ธี่หยด" และ "สัปเหร่อ" 

...

หนังเรื่องนี้ ดูสนุกนะครับ สิ่งที่ขำคือ มันสะท้อนชีวิตของวัยรุ่นมัธยมยุคนี้ ได้ถึงแก่น ทั้งมีสาระและชีวิตแบบ "หมูกระทะ" 

ด้วยเงื่อนไขมากมายของบริบทที่เปลี่ยนไป ตลาดหนัง อายุของตัวละครในภาพยนตร์ ของ GDH ที่ "เด็กลง" เรื่อยๆ 

มีนักแสดงคนหนึ่ง เล่นหนัง GDH เยอะสุด เรื่องนี้ก็เล่น แสดงน้อย แต่ less is more เขาเป็นผู้ชายนิสัยดี จิตใจดี น่ารักกว่า โจ - ฉลาดกว่า เป้ เยอะ....เขาชื่อ "จิระ มะลิกุล"

อ่านบทความ "นันทขว้าง สิรสุนทร" เพิ่มเติม :

...