การคืนบัลลังก์ ของ ตำนานเจ้าอสูร Diablo ซีรีส์เกมแนว Action-RPG พร้อม 5 เทคนิค ที่จะทำให้การเล่นของ "คุณ" สนุกมากขึ้น... 

Intro : 

หนึ่งในเกมฟอร์มยักษ์ที่มีการวางจำหน่ายในช่วงที่ผ่านมา ก็คือ "Diablo" ซีรีส์เกมแนว Action-RPG มุมมอง Isometric ที่ยืนหนึ่งในบรรดาเกมลักษณะเดียวกันมาตั้งแต่ปี 1997 ซึ่งเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ตัวเกมภาคที่ 4 ก็ได้วางจำหน่ายท่ามกลางการรอคอยของแฟนๆ ทั่วโลก เพราะว่าทิ้งช่วงจากภาค 3 ซึ่งเป็นภาคหลักก่อนหน้าถึง 11 ปีด้วยกัน แน่นอนว่าคงจะมีผู้เล่นจำนวนมากที่อยากจะโดดเข้ามาเล่นเกมภาคใหม่เลย ทั้งที่ยังอาจจะไม่ทราบถึงเรื่องราวความเป็นมาภายในจักรวาลของเกมนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้ผมจะมาเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นของตำนานเจ้าอสูรเพื่อเตรียมความพร้อมให้ทุกคนออกผจญภัยครั้งใหม่ เชิญรับชมกันได้เลยครับ

จุดเริ่มต้นของจักรวาล : 

สำหรับใครที่ไม่เคยรู้จักหรือว่าสนใจในตัวเกมหรือจักรวาลของ Diablo มาก่อนเลยนั้น ก็ต้องบอกว่าเรื่องราวของมันมีเสน่ห์ และน่าสนใจมากทีเดียวครับ มันคือการต่อสู้กันระหว่างนรกและสวรรค์ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง โดยตำนานของเกมนี้ได้แรงบันดาลใจอย่างมากจากพระคัมภีร์ไบเบิล และยังแฝงไปด้วยความมืดหม่นสิ้นหวัง ทำให้ตัวเกมมีกลิ่นอายที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังน่าติดตามอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรามาสรุปเรื่องราวของซีรีส์ให้ทุกคนได้อ่านกันก่อนดีกว่า

...

เมื่อแรกเริ่มแต่เดิมนั้น มีสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียว ดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งและการกำเนิดของจักรวาล นั่นคือ Anu (อนุ) มหาเทพร่างเพชร อันเป็นต้นกำเนิดของความดีงามและชั่วร้ายทุกอย่าง อันเป็นองค์ประกอบที่หลอมรวมอยู่ในกายเขา อยู่มาวันหนึ่ง "อนุ" ได้ตัดสินใจว่าเขาจะขับเอาความชั่วร้ายทั้งหมดที่มีภายในตัวออกมา เพื่อให้เขาเป็นสิ่งดีงามบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ แต่ความชั่วร้ายที่ออกมาจากตัวของอนุนั้น ได้หล่อหลอมรวมตัวกัน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่ชื่อ Tathamet (ทาธาแมท) อสูรมังกร 7 หัวผู้ชั่วร้าย

"อนุ และ ทาธาแมท" โรมรันรบพุ่งกันอยู่ชั่วกัปกัลป์ และทั้งคู่ก็สิ้นใจในการศึกครั้งสุดท้าย ที่สร้างแรงระเบิดขนาดมหึมาและกลายเป็นจุดกำเนิดของจักรวาล ร่างกายของทั้ง อนุ และ ทาธาแมท นั้นแตกสลายจากแรงระเบิดนั้น แต่ชิ้นส่วนที่หลงเหลือของทั้งสองได้กระจัดกระจายไปไกล และกลายเป็นสรรพสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น กระดูกสันหลังของอนุ ก็กลายเป็น High Heaven หรือสรวงสวรรค์ อันเป็นบ่อเกิดของเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้เป็นตัวแทนของแสงสว่างและความสงบเรียบร้อย ส่วนด้าน ทาธาแมท นั้น ร่างกายของมันได้กลายเป็น Burning Hell หรือ ขุมนรก อันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเหล่าอสูร และเป็นสัญลักษณ์ของความมืดและความโกลาหลวุ่นวาย หัวทั้ง 7 ของ ทาธาแมต ได้กลายเป็นเจ้าอสูรถึง 7 ตน โดย 3 หัวที่ทรงอำนาจที่สุด ได้กลายเป็น Prime Evil สามเจ้าอสูร ได้แก่ Mephisto (เมฟิสโต), Diablo (เดียโบล) และ Baal (เบลล์) และหัวขนาดรองลงมาก็ได้ให้กำเนิดอสูรอีก 4 ตน คือ Andariel อันดาเรียล, Duriel ดูริอัล, Azmodan อาซโมดาน และ Belial เบไลอา

หลังจากการกำเนิดของนรกและสวรรค์ เทพและอสูร ก็ยังคงฆ่าฟัน ทำสงครามกันเหมือนดั่งครั้งสมัยอนุและทาธาแมทเรื่อยมาชั่วอสงไขย ฝ่ายเทพนั้นนำโดยเหล่า Archangel หรือเหล่าเทวทูตที่เรืองฤทธิ์ที่สุด 5 องค์ รวมตัวกันเป็น Angiris Council ซึ่งเป็นทั้งผู้ปกครองบนสรวงสวรรค์ และเป็นแม่ทัพในการต่อสู้กับฝ่ายนรกด้วย ในทางกลับกัน นรกนั้นเต็มไปด้วยการแก่งแย่งวุ่นวายไร้ผู้นำที่เด็ดขาดชัดเจน เจ้าอสูรทุกตนต่างชิงชังและช่วงชิงความเป็นใหญ่ระหว่างกันอยู่เสมอ สิ่งเดียวที่ทำให้พวกมันร่วมมือกันได้ ก็คือการได้รบพุ่งกับกองทัพเทพเท่านั้นเอง

สงครามระหว่างนรกและสวรรค์ หรือที่รู้จักกันในนาม Eternal Conflict นั้น ดำเนินอยู่เรื่อยไปอย่างไร้จุดจบ โดยเป้าหมายของสงครามนี้ของทั้งสองทัพ คือการเข้าควบคุมและมีอำนาจเหนือผลึก World Stone เศษซากจากชิ้นส่วนดวงตาของ อนุ ที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิดในการต่อสู้กับ ทาธาแมต ครั้งสุดท้าย โดยใครก็ตามที่ได้ครอบครอง World Stone ก็จะสามารถสร้าง “โลก” หรือกำหนดมิติการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งได้ ระหว่างสงคราม World Stone ได้สลับสับเปลี่ยนผลัดมือกันระหว่างนรกและสวรรค์อยู่บ่อยครั้ง แต่ทว่าโลกต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ว่าจะด้วยน้ำมือของเทพหรืออสูรสุดท้ายก็ถูกทำลายไปหมดสิ้น เนื่องจากผลพวงของสงคราม 

ที่สุดแล้ว สงครามนั้นก็ได้สร้างความเหนื่อยหน่ายให้กับเทวทูตนามว่า Inarius อินาเรียส เขาเป็นหนึ่งในขุนพลของเหล่าเทพ ที่แม้จะมีความคับข้องใจไม่อยากทำสงครามที่ไร้จุดหมายนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังทำตามหน้าที่นำทัพออกรบกับเหล่าอสูร ครั้งหนึ่งเขาพลาดท่าถูกจับเป็นเชลยโดยฝีมือของอสูรนางหนึ่งซึ่งมีนามว่า Lilith ลิลิธ ผู้เป็นถึงบุตรีของเจ้าอสูร เมฟิสโต หลังจากถูกจับเป็นเชลยอยู่นาน ทั้งสองก็ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดความเชื่อ เกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ จนเกิดความเห็นด้วยคล้อยตามกัน กลายเป็นความผูกพันและหลงรักกันในที่สุด 

...

ทั้ง อินาเรียส และ ลิลิธ ได้เริ่มวางแผนที่จะก่อการเพื่อหลีกหนีจากสงครามครั้งนี้ โดยการรวบรวมไพร่พลทั้งเทพและอสูรที่เห็นด้วยกับแนวคิดของพวกเขา เพื่อเข้าชิงเอาผลึก World Stone และหลบหนีไปด้วยกันได้เป็นผลสำเร็จ โดยไม่มีเทพหรืออสูรตนใดเลย ที่จะทราบตำแหน่งที่อยู่ของเหล่าเทพและอสูรแหกคอกกลุ่มนี้ได้ เนื่องจาก อินาเรียส และ ลิลิธ ได้ใช้ผลึก World Stone ในการสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา และซ่อนตัวกบดานอยู่ ณ ที่นั้น ซึ่งมันมีชื่อว่า Sanctuary

กำเนิด Sanctuary : 

Sanctuary กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับ อินาเรียส, ลิลิธ และกองทัพเทพอสูรที่ติดตามทั้งสองมา ทั้งคู่ได้ปกครองที่นี่อย่างร่มเย็น ไร้สงครามและการฆ่าฟันที่ไร้จุดหมาย เทพหนุ่มและนางมารสาวได้ครองรักกันจนให้กำเนิดทายาทลูกผสมระหว่างเทพและอสูร เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า Nephalem เนฟีเลม โดยบุตรของทั้งสองมีนามว่า Linarian ลินาเรียน หรือผู้ที่จะเป็นที่รู้จักกันภายหลังในชื่อ Rathma แรธมา แต่นานวันเข้าเหล่า เนฟีเลม ก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น และเดินทางออกสำรวจไปตามถิ่นแคว้นแดนต่างๆ ก่อกำเนิดเป็นแหล่งอารยธรรมจำนวนมากใน Sanctuary 

...

ในช่วงนี้เองที่เหล่าเทพและอสูรได้พบกับความจริงที่น่ากระอักกระอ่วนใจข้อหนึ่ง นั่นก็คือสายเลือดของพวกเขาอย่าง เนฟีเลม กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งเก่งกล้า เกินกว่าที่เหล่าเทพและอสูรจะต่อกรได้ สร้างความหวั่นใจให้กับเหล่าบริวารของ อินาเรียส และลิลิธ จนต้องนำเรื่องนี้เข้าปรึกษากับสองผู้นำของพวกเขา 

ประเด็นในเรื่องนี้สร้างความขัดแย้งให้กับทั้งคู่เป็นอย่างมาก เนื่องจาก อินาเรียสและลิลิธมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับเหล่า "เนฟีเลม" 

ด้านหนึ่งก็มีแนวคิดที่ว่า เทพและอสูรควรร่วมมือกันทำลายเผ่าพันธุ์ เนฟีเลม ให้หมดสิ้นไปเสีย เพราะหากปล่อยไว้ ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าพลังของพวกเขาจะก่อตัวทวีความรุนแรงไปถึงขั้นไหน และเมื่อถึงตอนนั้นทั้งนรกและสวรรค์ก็อาจจะค้นพบโลก Sanctuary ได้ในที่สุด ซึ่งตัว "อินาเรียส" เอง ก็มีความคิดเอนเอียงไปในทิศทางนี้ แต่ก็ยังไม่ลงมือทันที เพียงแค่ขอเวลาคิดให้รอบคอบเสียก่อนตัดสินใจ

ส่วนฝ่ายลิลิธ นั้น ต่อต้านความคิดนี้อย่างรุนแรง เพราะนอกจากสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ที่ทำใจยากหากจะต้องสังหารลูกหลานของตัวเอง เธอยังมีความคิดว่าหากเหล่า เนฟีเลม นั้นทรงพลังอำนาจขนาดนี้ เธอก็อาจจะเกณฑ์ไพร่พลแล้วกรีธาทัพ เนฟีเลม เข้าบดขยี้ทั้งนรกและสวรรค์ให้สิ้นซากไปเสีย และยุติความขัดแย้งอันแสนยาวนานลงได้ในที่สุด

...

ด้วยเหตุนี้ "ลิลิธ" จึงเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน เธอได้เข้าจู่โจมและสังหารทั้งเทพและอสูรที่อยู่ใน Sanctuary ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ใครลงมือต่อ เนฟีเลม ได้ทัน เหตุการณ์นี้สร้างความโกรธแค้นให้กับ อินาเรียส อย่างใหญ่หลวง แต่เขาก็ไม่อาจทำใจสังหารคนรักของตัวเองให้สมความผิดที่เธอกระทำได้ เขาจึงได้ตัดสินใจลงโทษเธอโดยการเนรเทศไปอยู่ในมิติอื่นที่มีชื่อว่า The Void 

ในที่สุด "อินาเรียส" ที่โดดเดี่ยวไม่เหลือผู้ใดข้างกาย ก็ได้ดำเนินการสะกดพลังของ World Stone และทำให้เหล่า เนฟีเลม ค่อยๆ อ่อนกำลังลงอย่างช้าๆ ในทุกชั่วอายุคน จนท้ายที่สุด พลังแห่งสายเลือด เนฟีเลม ที่ทรงอำนาจก็ค่อยๆ เจือจางลงไปจนพวกเขากลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา 

แต่สุดท้ายไม่ว่า อินาเรียส จะพยายามซ่อน Sanctuary สักเท่าไร ทั้งนรกและสวรรค์ก็ค้นพบโลกใบใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นนี้ในที่สุด จนเกิดเป็นมหาสงครามครั้งแรกของ Sanctuary ในชื่อ Sin War ซึ่งเป็นการรบกันสามฝ่าย ระหว่าง 2 ศาสนา คือ Temple of the Triune ศาสนาที่บูชาเจ้าอสูร เมฟิสโต ดิอาโบล และเบลล์ และ Cathedral of Light ศาสนาที่บูชา อินาเรียส กับกองทัพมนุษย์ซึ่งปลุกพลังของ เนฟีเลม ในตัวขึ้นมา และได้ทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด นั่นคือมนุษย์สามารถที่จะกำราบทั้งสองศาสนาและกองทัพนรกสวรรค์ลงได้อย่างราบคาบ 

ผลของสงครามนี้ทำให้ "อินาเรียส" ถูกส่งตัวไปเป็นเชลยศึกภายใต้การจองจำของ "เมฟิสโต" ให้ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์ ส่วนทั้งนรกและสวรรค์ก็ต้องหย่าศึกกันอย่างไม่มีกำหนด และปลดปล่อย Sanctuary ให้เป็นอิสระจากการรุกรานของทั้งสองฝ่าย และมนุษย์นั้นก็ถูกลบความทรงจำของตนว่าเคยมีพลังแฝงอเนกอนันต์ขนาดทำลายล้างได้ทุกสรรพสิ่งจนหมดสิ้นไป เพื่อไม่ให้พลังนั้นสร้างความเสียหายให้แก่ใครอีก

โหมโรงสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ : 

หลังจากนั้นประวัติศาสตร์ของ Sanctuary ก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกยาวนาน ผ่านเหตุการณ์น้อยใหญ่มากมาย จนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหม่ในนรก ซึ่งเป็นต้นเหตุต่อเนื่องของเกม Diablo 3 ภาคแรก นั่นก็คือ The Dark Exile ซึ่งก็คือเหตุการณ์การก่อกบฏยึดอำนาจของ Lesser Evil 4 ตน นำโดย อาซโมดาน, เบไลอา, อันดาเรียล, และดูริอัล ที่ทำสงครามเอาชนะ 3 Prime Evil อย่าง เมฟิสโต, ดิอาโบล และ เบลล์ จนขึ้นเถลิงอำนาจเป็นเจ้าแห่งขุมนรก และเนรเทศอสูรทั้ง 3 มายัง Sanctuary ได้สำเร็จ

หลังจากการพ่ายสงครามและถูกเนรเทศให้ซมซานมาอยู่ในโลกมนุษย์นานพอสมควร เหล่าเจ้าอสูรทั้งสามก็ค่อยๆ รวบรวมพลังอย่างช้าๆ และแทรกซึมเข้าครอบงำความคิดความเชื่อของมนุษย์ให้คล้อยตามตน จนกระทั่ง Tyrael ทีเรียล หนึ่งในทูตสวรรค์องค์สำคัญ เล็งเห็นถึงภัยคุกคามที่กำลังก่อตัวขึ้นนี้ เขาจึงมอบหมายภารกิจในการไล่ล่าและกำจัด 3 เจ้าอสูรให้กับกลุ่มนักเวทผู้เก่งกาจที่เรียกตัวเองว่า Haradrim ฮาราดริม พร้อมมอบวัตถุวิเศษ Soulstone ผลึกแก้วขนาดเล็กที่ถูกสร้างขึ้นจาก World Stone ซึ่งจะทำหน้าที่ในการสะกดวิญญาณของเจ้าอสูรทั้งสามไว้ภายในให้ 

"กลุ่มฮาราดริม" ทำภารกิจนี้ได้ลุล่วง พวกเขาสะกดอสูรทั้งสามตัวใน Soulstone ได้สำเร็จ และนำเอาผลึกทั้งหมดไปเก็บรักษาเอาไว้ตามสถานที่ต่างๆ โดยหารู้ไม่ว่า สามเจ้าอสูรสามารถควบคุมพลังของ Soulstone ได้ และค่อยๆ แผ่ขยายอิทธิพลจูงใจและอำนาจเหนือมนุษย์ ที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลความเป็นไปของผลึกแต่ละชิ้น จนท้ายที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงพอ และทุกคนลืมเลือนถึงการมีอยู่ของสามเจ้าอสูร พวกมันก็รวบรวมพลังสร้างกายเนื้อและนำกองทัพนรกบุกมาทำลายล้างโลกมนุษย์ จนเป็นเหตุให้ผู้กล้ามากหน้าต้องรวมตัวกันต่อต้าน 3 จอมปิศาจ ซึ่งไม่ว่าพวกมันถูกปราบไปกี่ครั้ง ก็จะมีความพยายามรวบรวมพลังกลับมารบกันใหม่ และทุกครั้งก็สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับทั้ง สวรรค์ และโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียผู้กล้าไปหลายคน, ผลึก World Stone วัตถุที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลต้องถูกทำลาย, กองทัพนรกยกพลบุกย่ำ Silver City เมืองหลวงของเหล่าเทพบนสรวงสวรรค์จนย่อยยับ, แม้แต่ทูตสวรรค์องค์สำคัญก็ยังพ่ายแพ้ต่ออำนาจอันชั่วร้ายและแปรพักตร์ไปจนต้องถูกกำจัด แต่อย่างไรก็ตามเจ้าอสูรทั้งสามก็ถูกปราบลงได้ อย่างน้อยก็เป็นการชั่วคราว

เวลาผ่านไป 50 ปี หลังจากเหตุการณ์ใน Diablo III ลิลิธมารดาผู้สร้างโลก ถูกอัญเชิญกลับมาที่ Sanctuary อีกครั้งด้วยฝีมือของมนุษย์ผู้บูชาเธอดั่งพระเจ้า พร้อมกันนั้น อินาเรียส ก็สามารถหลบหนีจากการถูกจองจำในขุมนรกอันแสนยาวนานมาได้ ทั้งสองได้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง และเป็นชนวนเริ่มต้นความขัดแย้งครั้งใหม่ ที่ได้ปะทุขึ้นใน Diablo IV นี้เอง

กุมภฤทธิ์ พุฒิภิญโญ หรือ พี่กู้ ครีเอเตอร์สายเกมไทยรัฐออนไลน์
กุมภฤทธิ์ พุฒิภิญโญ หรือ พี่กู้ ครีเอเตอร์สายเกมไทยรัฐออนไลน์

เทคนิคในการเล่น Diablo IV :

และนั่นก็คือเรื่องราวโดยย่อของเหตุการณ์ในจักรวาล Diablo จนถึงปัจจุบันนะครับ ซึ่งจริงๆ ก็ต้องบอกว่ามีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายเหลือเกิน เพราะเนื้อหาแต่ละช่วงถูกเขียนขึ้นมาอย่างละเอียดและมีตัวละครที่เกี่ยวข้องมากมาย ถ้าอยากจะเสพอรรถรสของเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างหนำใจ วิดีโอนี้อาจจะต้องยาวหลายชั่วโมง ผมก็เลยอยากจะเว้นช่องว่างให้ทุกคนไปเติมเต็มจินตนาการ โดยการเล่นเกม Diablo ทั้งเก่าใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งก็น่าจะทำให้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าประทับใจนี้ได้เต็มที่มากกว่า 

แต่ก่อนจะจากกันไป ผมอยากจะฝากทริกเล็กๆ น้อยๆ สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มต้นออกผจญภัยใน Diablo IV เผื่อว่าคุณจะเล่นเกมนี้ได้สนุกยิ่งขึ้นครับ

1. การสู้กับมอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่าเรา 3 เลเวล จะทำให้ผู้เล่นได้ค่าประสบการณ์สูงกว่าปกติถึง 25% ดังนั้นอย่าลืมมองหาจุดฟาร์มที่มีเลเวลเหนือว่าเรา 3 ขั้น เพราะถ้าสูงกว่านั้นมันก็จะยากเกินความจำเป็น แต่ถ้าน้อยกว่านั้นเราก็จะได้ค่าประสบการณ์ต่ำเกินไป

2. ในร้านค้าประจำเมือง จะมีพ่อค้าอยู่หนึ่งคนที่เป็นตัวละคร ซึ่งแสดงภาพเป็นสัญลักษณ์ถุงเงินที่มีเครื่องหมายคำถาม “?” บนแผนที่ โดยพวกเขาจะเป็นร้านค้าที่ใช้เงินสกุลพิเศษภายในเกมเพื่อแลกอุปกรณ์สวมใส่แบบสุ่ม ซึ่งดีกว่าการใช้เงินสดในเกมไปซื้อที่ร้านค้าอื่นๆ เพราะเงินในเกมนี้มีความสำคัญในการทำกิจกรรมต่างๆ มากกว่าแถมใช้เป็นจำนวนมากด้วย เพื่อเป็นการประหยัดเงิน หากคิดจะซื้ออาวุธให้ซื้อจากร้านค้านี้จะดีกว่า

3. "อุปกรณ์สวมใส่" ที่ไม่ใช้ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือชุดป้องกัน ให้นำไปทุบทิ้งดีกว่าขายครับ เพราะการทุบอุปกรณ์ที่เราไม่ใช้แล้วจะทำให้เราได้ทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อใช้ในการอัปเกรดอุปกรณ์ชิ้นต่างๆ ยิ่งช่วงท้ายเกม เราต้องใช้วัตถุดิบเหล่านั้นจำนวนมากเลยทีเดียว

4. สำหรับเกมในภาคนี้ หลายๆ ดันเจียนจะมี "ไอเทมพิเศษ" ชื่อ "Codex of Power" ที่เป็นสกิลพิเศษซึ่งสามารถฝังลงไปในอุปกรณ์สวมใส่ตัวละครของเราได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมตะลุยดันเจียนทุกแห่งที่มีของรางวัลนี้ให้ครบกันด้วย

5. และทิ้งท้ายกันไปด้วย "แผนที่รูปปั้นของลิลิธ" ซึ่งถูกซ่อนกระจัดกระจายอยู่ในแผนที่โลก ซึ่งทุกครั้งที่เราค้นพบมัน เราจะได้รับค่าพลังที่เพิ่มขึ้นเป็นการถาวรจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ตัวละครในไอดีทั้งหมดของเราแข็งแกร่งขึ้น ผมมีตำแหน่งที่ตั้งของรูปปั้นทั้งหมดมาฝากตามนี้เลยครับ! 

อ่านบทความและรับชมคลิปรายการ "รู้รอบเกม" จาก "กุมภฤทธิ์ พุฒิภิญโญ" เพิ่มเติม: