การมาถึงของ Fast & Furious 10 แฟรนไชส์หนัง สะท้อนอะไร?
ถ้า Transformer เคยทำให้ฮอลลีวูด และญี่ปุ่น พยายามจะทำหนัง "เกี่ยวกับหุ่นยนต์" (Robot movie) ในช่วงเวลานั้น...ผมไม่แน่ใจว่า ความสำเร็จทางการตลาด ของ "วัฒนธรรม Fast" ทำให้สตูดิโออื่นๆ อยากทำภาพยนตร์ "เกี่ยวกับรถแข่ง" บ้างหรือไม่ พอย้อนกลับไปดูหนัง ที่ชูเรื่องรถ มีรถเป็นตัวละครสำคัญ ก็พบว่า มีจำนวนอยู่ไม่น้อยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา หรือนัยหนึ่ง - ทุกๆ ปี ต้องมีการทำหนังเกี่ยวข้องกับรถและความเร็ว (เช่นนี้ รถใน Drive my car กับรถในหนังอิหร่านทุกเรื่อง จึงไม่นับ)
หลังวันเลือกตั้ง ไม่ว่าไทยจะได้รัฐบาลชุดไหน Fast ภาค 10 น่าจะเป็นความบันเทิงที่ดึงเหล่า Moviegoer กลับเข้าโรง และโรงกับค่าย สามารถจะคาดหวังรายได้ในระดับ 300-500 ล้านบาท แบบสบายๆ...
ก่อนจะไปสตาร์รถ เชนเกียร์ เหยียบซิ่งเหาะ กับ Fast 10 ผมมีแง่มุมบางอย่าง ที่อยากพูดถึง...เราคุยกันมาบ้างแล้วในคอลัมน์นี้ว่า แนวทาง ตระกูลต่างๆ ของหนัง ที่เรียกว่า Genre นั้น ก็จะเป็นแนวต่างๆ เช่น หนังคาวบอยหรือ Western movies, หนังฟิล์มนัวร์ (Film noir) หรือหนังเพลง Musical ผมยังยืนยันว่า Genre จะยอมรับได้ ต้องมีบทบาทกับสังคมและการมีอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาหนึ่ง ที่กินเวลานาน ไม่ใช่จู่ๆ มีแนวหนังประหลาดสองเรื่อง แล้วหายไป แบบนี้ไม่อาจนับเป็น "ตระกูลหนัง"
...
แต่คล้ายๆ Subset ทางคณิตศาสตร์ หนังก็มี Sub-genre หรือ ยิบย่อยลงไปของแนวทางนั้นๆ เช่น ตระกูล Comedy Sub-genre คือ Romantic-comedy, Slapstick comedy หรือ หนังตระกูล Horror ถ้าเป็น Sub-genre ก็เล่น Gothic-horror
ต้นไม้คือ Gente ...ผล กิ่ง ก้าน คือ Sub-genre นั่นเอง ถ้าเอาแบบเบ้าดังกล่าว เป็นตัวอย่าง เราน่าจะบอกได้หรือยังว่า พวก Car-movies หนังเกี่ยวกับรถ ความเร็ว อะไรนั้น เป็น Sub-genre ของ หนังแอ็กชั่น-แอดเวนเจอร์ ?
ถ้านับว่าใช่หรือได้ - แสดงว่า วัฒนธรรม Fast & Furious ที่มีมายาวนานถึง 22 ปี (2001-2023) มากถึง 10 ภาค! คือบทบาทสำคัญของหนังกลุ่ม Car-movies เพราะถ้าให้คนดูหนัง นึกถึงหนังเกี่ยวกับรถ ความเร็ว Fast น่าจะเป็นชื่อแรกๆ เลย ที่คนอ้างถึง เช่นนี้แล้ว ถ้า Action-adventure คือตระกูลหนัง Car movies ก็น่าจะเป็น กิ่งก้านสาขา ดอกผล ของแนวนี้อย่างหนึ่ง ได้แล้ว
แล้วอะไรคือ ภาพสะท้อนของ Fast & Furious มา 10 ภาค ซึ่งมีทั้งดีและแย่ ผสมปนเปกันไป ถ้ามองไม่เห็นสองสิ่งนี้ แสดงว่า คุณถูก "เสียงเครื่องยนต์" และ "ความเมามัน" กลบเกลื่อน บดบังไปในระหว่างนั่งดู
ในยุคแรกๆ ของหนัง Fast เรื่องราวของ Buddy คู่หูของตัวละคร เป็นส่วนสำคัญ ที่นำไปจัดการ แก้ไข ช่วยเหลือ ภารกิจสำคัญๆ พอเข้าช่วงกลางภาคสี่ - Fast เคลื่อนตัว จากเพื่อน ไปสู่ธีมครอบครัว ยิ่งในเวลาต่อมา มีการเสียชีวิตของนักแสดง และการเพิ่มตัวละครเข้ามา ธีม Family โดดเด่น จนชัดเจน เพราะไม่ว่า หนังจะจบอย่างไร ภาพครอบครัว การพูดถึงความสัมพันธ์ จะมีเสมอ (จนบางที ก็โดดๆ ไปบ้าง)
...
พ้นจากมุมนี้ไป, หลังภาคสี่นี่ หนังปรับตัวเอง มีสเกลที่ใหญ่ขึ้น เล่นท่ายาก และวางเรื่องราว "สอดคล้อง" ไปกับ "อารมณ์ทางสังคม" เช่น ผู้ก่อการร้าย, การล่มสลายของครอบครัวยุคใหม่ บางทีก็ แทรกแบบกระด้างๆ เข้ามา แต่หนังทุกภาค จะทดแทนจุดอ่อนนี้ ด้วยความสนุกในฉากแอ็กชั่น จนมองไม่เห็น จุดอ่อนของบทหนัง
สังเกตมั้ยว่า ทุกๆ สองภาค ของ Fast มักจะมีอะไร ผลักหนัง ให้ถูกพูดถึง ทั้งโดยเจตนาและไม่ตั้งใจ จาก Buddy สู่ Family, หนังเสียงดังมาก, นักแสดงตาย แฟนอาลัย, ดราม่า โทนี่ จา, ภาพยนตร์ทำหนังสูงสุดแห่งปี, การเพิ่มตัวละครดัง และภาคสุดท้าย นี่คือ องค์ประกอบสำคัญ ในการทำแฟรนไชส์หนัง ไม่อยู่นิ่งๆ มี Movement และสร้างประเด็น
Fast 10 ฉายหลังวันเลือกตั้ง 3 วัน หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ ไม่ว่าเป็นใคร ขอให้เป็น "รถที่ดี" ไม่เครื่องดับง่าย.. ยางแตกบ่อย..ความร้อนขึ้น...และแหกไฟแดง
...
อ่านบทความ นันทขว้าง สิรสุนทร เพิ่มเติม :