Avatar : The Way of Water การกลับมาในรอบ 13 ปี ของชาวนาวีและโลกแพนโดรา (Pandora) ภายใต้ความคาดหวังในระดับ “สูงลิบลิ่ว” ของ สตูดิโอดิสนีย์ หลังยอมทุ่มทุนก้อนมหาศาลที่ว่ากันว่า อาจจะสูงถึง 350-450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมต้นทุนการจัดจำหน่ายและการทำตลาด) ส่งมอบให้กับ “I’m The King of the World” และผู้กำกับที่ไม่ประนีประนอมเพื่อความสมบูรณ์แบบ (เท่านั้น) อย่าง “เจมส์ คาเมรอน” เพื่อนำมาสร้างภาพยนตร์ภาคต่อในตำนานเรื่องนี้

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

แล้ว...อะไรคือสิ่งที่สตูดิโอคาดหวัง รวมถึง อภิมหาภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ควรทำรายได้อย่างน้อยเท่าไหร่จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ “หนังคว่ำแห่งปี” ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงโปรเจกต์ภาคต่อ ที่ต้องการขยายให้ได้อย่างน้อย 4 ภาค วันนี้ “เรา” ค่อยๆ ไปไล่เรียงกันทีละประเด็น

...

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่ “เรา” จะไปกันต่อ :

ภาพยนตร์ Avatar ภาคแรก ซึ่งเป็นแชมป์ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล เปิดตัวในปี 2009 ใช้ทุนสร้างไปรวมกันประมาณ 237 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวในการฉายในโรงภาพยนตร์อยู่ที่ 2 ชั่วโมง 42 นาที

โดย Avatar เปิดตัวรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2009 โดยทำรายได้รวมทั่วโลกไปมหาศาลถึง 2,922 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้รวมในสหรัฐ 785 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26.9% ส่วนรายได้รวมนอกตลาดสหรัฐฯอยู่ที่ 2,137 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 73.1% ทั้งๆ ที่ รายได้เปิดตัวในสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่น่ากังวลเพียง 77,025,481 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น!

ส่วนรายได้รวมที่ ภาพยนตร์ Avatar ภาคแรก สามารถทำได้ในประเทศไทย หลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2009 อยู่ที่ประมาณ 9,220,251 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

แล้ว…Avatar : The Way of Water ในปี 2022 ใช้ทุนสร้างไปเท่าไร? :

“Very _uc_ing expensive”

แม้จะยังไม่มีรายงานยืนยันอย่างเป็นทางการว่า Avatar : The Way of Water ใช้ทุนสร้างไปมากน้อยแค่ไหน? แต่หากอ้างอิงจากรายงานของสื่อต่างประเทศส่วนใหญ่ ระบุว่า ทุนสร้างน่าจะอยู่ที่ประมาณ 350-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้กำกับอย่าง “เจมส์ คาเมรอน” ได้ให้ “คำตอบ” เมื่อถูกถามถึงทุนสร้างกับ GQ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเอาไว้เพียงว่า “มัน โ_ตรแพงบรรลัย” ในขณะที่ความยาวภาพยนตร์นั้นยังกินเวลามากถึง 3 ชั่วโมง 12 นาที หรือยาวกว่าภาคแรกถึง 30 นาที ด้วย

ในเมื่อลงทุนสูงมากมายขนาดนั้น Avatar : The Way of Water ต้องทำเงินเท่าไหร่ จึงจะคุ้มทุนสร้างและได้ไปต่อ? :

สำหรับคำถามนี้ มีคำตอบจาก “เจมส์ คาเมรอน” อีกเช่นกัน โดย ผู้กำกับพันล้านรายนี้ ให้ความเห็นเอาไว้ว่า ในเมื่อใช้ทุนสร้างมากขนาดนี้ อย่างน้อยที่สุด The Way of Water จะต้องทำรายได้เท่ากับอันดับที่ 3 หรือ 4 ของภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลาดกาล “หนังเรื่องนี้จึงจะเข้าจุดคุ้มทุน!”

...

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

แล้วอันดับแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในลำดับที่ 3 หรือ 4 ทำเงินเท่าไร?

คำตอบ ลำดับที่ 3 TITANIC ทำเงินรวมทั่วโลก 2,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอันดับที่ 4 คือ Star Wars : The Force Awakens ทำเงินไป 2,070 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฉะนั้น หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ Avatar : The Way of Water จะต้องทำเงินอย่างน้อย 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจึงจะคุ้มทุน ขณะที่ส่วนที่เกินจากนั้น คือ “กำไร”

แล้วโอกาสที่ Avatar : The Way of Water จะทำเงินถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีมากแค่ไหน? :

หนังทำเงินสูงสุดหลังยุคการแพร่ระบาดโควิด-19 คือ Spider Man : No Way Home โดยทำเงินไปรวม 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ Top Gun : Maverick ทำเงินรวม 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

...

แนวโน้มที่จะไปสู่จุดคุ้มทุน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ :

Avatar : The Way of Water ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา ทำรายได้เปิดตัวรวมทั่วโลกที่ 441,703,887 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ เป็นรายได้เปิดตัวรวมในสหรัฐ 134,100,226 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 30.4% ส่วนรายได้เปิดตัวรวมนอกสหรัฐฯ อยู่ที่ 307,603,661 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 69.6% ส่วนในประเทศไทยเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2022 โดยทำรายได้เปิดตัวรวมไป 5,219,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ Avatar ภาคแรก ทำเงินในสัปดาห์แรกของการเปิดตัวในสหรัฐฯที่ 77,025,481 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ The Way of Water ทำเงินในสัปดาห์แรกของการเปิดตัวในสหรัฐฯ ถึง 134,100,226 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ มากกว่ากันเกือบ 1 เท่าตัว อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่า “ต่ำกว่า” ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ว่าควรจะอยู่ที่ 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ ดิสนีย์สตูดิโอ คาดการณ์เอาไว้ว่าควรจะอยู่ที่ 135-150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

...

นอกจากนี้ รายรับรวมทั่วโลกในสัปดาห์แรกของการเปิดตัว The Way of Water “ยังต่ำกว่า” การเปิดตัวของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ซึ่งทำเงินไป 442 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สุดท้ายทำเงินรวมทั่วโลก 955 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ Spider Man : No Way Home ที่ทำเงินช่วงเปิดไป 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สุดท้ายทำเงินรวมทั่วโลก 1,916 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ทำสถิติเปิดตัวอย่างร้อนแรง แต่ในบั้นปลายทำเงินได้ไม่ถึงตัวเลข 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกด้วย!

การเปิดตัวสั่นคลอนเป้าหมาย 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมากน้อยแค่ไหน? :

แม้รายได้เปิดตัวจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย แต่ในอีกมุมหนึ่ง นักวิเคราะห์มองว่า อาจเป็นเพราะ “ฮอลลีวูด” คุ้นชินกับ การเปิดตัวด้วยรายได้ถล่มทลายของ “Marvel Cinematic Universe” ในระยะหลังๆนี้ มากเกินไป เพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืม คือ ภาพยนตร์ของ “เจมส์ คาเมรอน” มักจะ “แตกต่าง” จาก “บรรดาหนังซุปเปอร์ฮีโร่” ตรงที่ “ยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบเข้าโรงเพื่อหลบสปอยล์ให้เร็วที่สุด” ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ “Marvel Cinematic Universe” สามารถทำเงินได้อย่างถล่มทลายตั้งแต่สัปดาห์แรกของการเปิดตัวอยู่เสมอๆ จนอาจหลงลืมไปว่า “ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล” จากฝีมือของ “เจมส์ คาเมรอน” ไม่ว่าจะเป็น “TITANIC” (รายได้เปิดตัวในสหรัฐฯ 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 1997) หรือ “Avatar ภาคแรก” ล้วนแล้วแต่เปิดตัวในแบบไม่หวือหวาทั้งสิ้น แต่ในเวลามา “เสียงเล่าลือถึงความดีงามในแบบปากต่อปาก” ได้ค่อยๆ ฉุดให้คนเข้าไปดูภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องได้ในระยะยาว จนกลายเป็นหนังทำเงินระดับสร้างปรากฏการณ์ได้ในบั้นปลาย

และแนวโน้มที่ Avatar : The Way of Water มีแววว่าอาจจะทำได้เหมือนกับหนังทำเงินถล่มทลายของ “เจมส์ คาเมรอน” ในอดีตทั้งสองเรื่อง ก็คือ “เสียงวิจารณ์ในแง่บวก” พร้อมเสียงชื่นชมที่เชิญชวนให้ไปสัมผัสประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น หลังหนังเปิดตัวในสัปดาห์แรกไปเป็นที่เรียบร้อย

ขณะเดียวกัน การวางแผนที่กำหนดการเปิดตัวในช่วงปลายปี และมีระยะเวลายาวจนถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวและผู้คนมักเลือกที่จะเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ มากที่สุด อาจกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ The Way of Water สามารถกอบโกยเงินได้อย่างมหาศาลอีกด้วย

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

ปัจจัยแทรกซ้อนที่อาจมีผลต่อ การสร้างสถิติครั้งใหม่ ของ เจมส์ คาเมรอน :

ปัจจัยที่ทั้ง “TITANIC” และ “Avatar ภาคแรก” ไม่ได้พบเจอในระหว่างการยืนโรงฉายในระยะเวลาที่ยาวนานคือ “โควิด-19” และ “สตรีมมิง” โดย ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าไปหนังในโรงภาพยนตร์ ของ กลุ่มคนบางกลุ่มอยู่โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุอยู่ต่อไป ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับด้วยว่าการถือกำเนิดของผู้ให้บริการสตรีมมิง สามารถโน้มน้าวความสนใจของผู้คนในยุคปัจจุบันให้ห่างเหินไปจากโรงภาพยนตร์ได้มากพอสมควร

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

อนาคตภาคต่อของ “โลกแพนโดรา” :

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสตูดิโอภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน มีความกระหายที่ต้องการได้แฟรนไชส์หนังกินเงินในระยะยาวๆ ในรูปแบบเดียวกับ “Marvel Cinematic Universe” ด้วยเหตุนี้ การยอมทุ่มเงินก้อนโต เพื่อเปิดโลกแพนโดราอีกครั้ง ย่อมเต็มไปด้วย “ความคาดหวัง”

โดยตามแผนการเดิม Avatar ภาค 3 จะมีกำหนดฉายในปี 2024 ส่วน ภาค 4 จะมีกำหนดฉายในปี 2026 และ ภาคที่ 5 จะมีกำหนดฉายในปี 2028 ซึ่งทั้ง 3 ภาคหลังสุดนี้มีรายงานว่าอาจต้องใช้ทุนสร้างรวมกันมากถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่รวมต้นทุนการจัดจำหน่ายและการทำตลาด)

อย่างไรก็ดี “เจมส์ คาเมรอน” ยอมรับกับสื่อต่างประเทศว่า ถึงแม้โปรเจกต์ Avatar ภาค 3 กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน แต่หาก The Way of Water และ Avatar ภาค 3 ที่กำลังจะตามมามีแนวโน้มที่จะไม่สร้างผลกำไร โปรเจกต์ภาค 4 และ 5 จะยุติลงทันที และจบตำนานชาวนาวีเอาไว้ที่ ภาคที่ 3 เป็นภาคสุดท้าย

Avatar สถิติ อุปสรรค และ Mindset ที่นำไปสู่ชัยชนะ

Mindset ของ  “I’m The King of the World” : 

“ผมชื่นชอบอุปสรรค และผมมักถูกดึงดูดด้วยอุปสรรคอยู่เสมอๆ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผมเดินหน้าเข้าไปเผชิญกับอุปสรรค มันมักทำให้ผมย้อนกลับไปคิดได้ว่า มีคนทำหนังจำนวนมากที่ทั้งเก่งฉกาจและเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ แต่กลับไม่สามารถทำเรื่องยากๆได้ และนั่นจึงทำให้ผมได้เปรียบในแง่กลยุทธ์ การทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครเคยได้เห็นมาก่อน เพราะเหล่าคนทำหนังมากพรสวรรค์เหล่านั้นไม่ปรารถนาที่จะทำอะไรแบบนี้” เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับ Avatar : The Way of Water

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก : varanya.p

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง