การเผชิญหน้าแบบตรงไปตรงมาระหว่าง "อาณาจักรเวสเทอรอส" (Westerros) และ มัชฌิมโลก (Middle Earth) 2 มหาอาณาจักรแห่งโลกแฟนตาซีจากแฟรนไชส์ที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่าง "Game of Thrones" และ "The Lord of the Rings" กำลังทำให้สงครามสตรีมมิง ที่ในเวลานี้ดูราวกับกำลังใกล้จะมอดดับลง ได้คุโชนขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน บรรดาวิเคราะห์ต่างมีทัศนะตรงกันว่า ตลาดสตรีมมิงกำลังเข้าสู่ช่วงอัสดง จากปัจจัยเรื่องยอดผู้ติดตามที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังผู้คนเริ่มออกจากบ้านไปใช้ชีวิตนอกบ้านตามปกติจากวิกฤติโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย หรือ ตลาดที่เริ่มอิ่มตัวหลังมีผู้เล่นเพิ่มมากขึ้นและต่างงัดกลยุทธ์ตัดราคากันเอง รวมไปจนกระทั่งถึง ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกทีๆ จากการผลิตออริจินอลคอนเทนต์ จนกระทั่งต้องจำใจยอมเปิดแพ็กเกจ “ราคาเบา” ที่มีโฆษณาคั่นกวนใจสมาชิกเพื่อหารายได้เพิ่มก็ตาม

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น วันนี้ “เรา” ไปร่วมกันวิเคราะห์การทะเลาะวิวาทระหว่าง “มังกร และ แหวน” ผ่าน House of the Dragon และ The Rings of Power ในครั้งนี้กันทีละประเด็น

...

HBO Max :

การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่หลังการควบรวมกิจการระหว่าง HBO Max และ Discovery+ เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นผลให้มีการเลิกจ้างพนักงาน 70 ตำแหน่ง หรือ คิดเป็นจำนวนพนักงานถึง 14% ขององค์กรแล้ว โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่พนักงานฝ่ายผลิตออริจินอลคอนเทนต์ และคัดเลือกนักแสดง ขณะเดียวยังสื่อต่างประเทศหลายสำนักยังรายงานตรงกันด้วยว่า กำลังจะมีการเลิกจ้างพนักงานอีกหลายระลอกตามมาหลังจากนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแผนรีดไขมันเพื่อลดต้นทุนขององค์กรให้ได้อย่างน้อย 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังการควบรวมกิจการ ทำให้มีคาดการณ์ว่า หลายซีรีส์ออริจินอลคอนเทนต์ที่มีแววว่าจะไม่รุ่ง หรือ ทำกำไรได้น้อยเกินไป “อาจไม่ได้ไปต่อ” หรือ “อย่างน้อยที่สุดต้องลดต้นทุนในการผลิตลง” เพื่อจัดสรรทรัพยากรไปทุ่มเทให้กับ “ออริจินอลคอนเทนต์ระดับบิ๊กเบิ้ม” ที่มีแววว่าจะสามารถต่อยอดในการสร้างจักรวาลทำเงินไม่รู้จบ เหมือนอย่างที่ Marvel Cinematic Universe สามารถทำได้!

ด้วยเหตุนี้ House of the Dragon ภาคแยกของ อภิมหาซีรีส์แห่งศตวรรษที่ช่วยให้ HBO กวาดมาหมดแล้วทั้งเงินทั้งกล่องอย่าง “มหาศึกชิงบัลลังก์” (Game of Thrones) จึงกลายเป็น “แสงแห่งความหวัง” ท่ามกลาง “Winter is coming” ของ HBO ไปโดยปริยาย!

Prime Video :

ปี 2017 ทุ่มเม็ดเงินสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเป็นเจ้าของสิทธิ์ในการผลิตซีรีส์นิยายแฟนตาซีชื่อก้องโลกอย่าง The Lord of the Rings ของ "เจ.อาร์.อาร์ โทลคีน" และจ่ายอีก 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเข้าซื้อสตูดิโอ MGM เพื่อเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ ดับเบิ้ลโอเซเว่น เจมส์ บอนด์ และยอดนักชกร็อกกี บัลบัว รวมทั้งยังทุ่มเงินก้อนโตให้กับออริจินอลซีรีส์ฟอร์มยักษ์ อย่าง แฟรนไชส์สายลับ CIA แจ๊ก ไรอัน ของ Tom Clancy และซีรีส์ที่ว่าด้วยด้านมืดของเหล่าฮีโร่ อย่าง The Boys ที่มีทั้งเครื่องในและเลือดสาดไปท่วมจอ

...

House of the Dragon :

สร้างจากนิยาย Fire&Blood ของคุณลุงคนเดิมอย่าง "จอร์จ อาร์.อาร์.มาร์ติน" ที่ยังไงๆ ก็ยังไม่ยอมเขียนซีรีส์หนังสือ Song of Ice and Fire (ซึ่งถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ Game of Thrones) ที่เหลืออีก 2 เล่มให้จบลงสักทีท่ามกลางการรอคอยของบรรดาสาวกอย่างใจจดใจจ่อด้วยกลัวว่าจะไม่ได้อ่าน “ตอนจบที่แท้จริง” ได้ทันในชาตินี้ โดย Fire&Blood เป็นการเล่าถึงการทำสงครามกลางเมืองของ "ตระกูลทาร์แกเรียน" (Targaryen) ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ในซีรีส์ Game of Thrones ประมาณ 200 ปี โดยเพิ่งออนแอร์ Episode 1 ไปเมื่อวันที่ 21 ส.ค.65 ที่ผ่านมา

The Rings of Power :

หลังขึ้นหิ้งเป็นอมตะนิยายที่ขายดีได้ทุกยุคทุกสมัยแม้จะเดินทางผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานร่วม 8 ทศวรรษ รวมไปจนกระทั่งถึงเคยถูก สุดยอดผู้กำกับอย่าง “ปีเตอร์ แจ๊กสัน” นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 6 ภาค และกวาดรายได้รวมทั่วโลกไปมากกว่า 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

มาคราวนี้ The Rings of Power จะเล่าถึงยุคที่ 2 “มัชฌิมโลก” ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขที่กำลังจะถูกคุกคามจาก ลอร์ดแห่งความมืดนามซารอน ซึ่งจะอิงตามองค์ประกอบที่อยู่ในหนังสือ “The Silmarillion” , “Unfinished Tales” และ “The History of Middle-earth” ซึ่งเป็นหนังสือภาคแยกของ The Lord of the Rings ที่ เจ.อาร์.อาร์ โทลคีน เขียนไว้ โดยจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า The Hobbit และ The Lord of the Rings ร่วม 1,000 ปี และมีกำหนดออนแอร์ตอนแรกในวันที่ 2 ก.ย.65

...

ทุนสร้าง :

House of the Dragon : ใช้ทุนสร้างในซีซันแรกอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเฉลี่ยตอนละประมาณ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (10 Episode)

The Rings of Power : ใช้ทุนสร้างในซีซันแรกอยู่ที่ประมาณ 465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเฉลี่ยตอนละประมาณ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (8 Episode)

Rating :

House of the Dragon : หลังออนแอร์ Episode 1 สิ่งที่ปรากฏบนจอแทบไม่ต่างจากซีรีส์ Game of Thrones ที่อุดมไปด้วยฉากโป๊ เปลือย และการสังหารแบบหฤโหดเลือดสาดท่วมจอ เรียกได้ว่าเป็นการเดินตามรอยกันมาแบบชนิดไม่ผิดเพี้ยน ด้วยเหตุนี้ มันจึงถูกจัดอยู่ในเรต TV-MA หรือ เหมาะสมสำหรับผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป

The Rings of Power : ถูกจัดเรตไว้ที่ระดับ PG-13 หรือเหมาะสมสำหรับทุกวัยแต่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี ต้องมีผู้ปกครองคอยแนะนำ ซึ่งเป็นเรตเดียวกับ ภาพยนตร์ชุด The Lord of the Rings และ The Hobbit ทั้ง 6 ภาค เคยได้ก่อนหน้านี้

...

อนาคต :

The Rings of Power : ได้รับการยืนยันแล้วว่าซีรีส์ชุดนี้จะมีอย่างน้อยที่สุด 5 ซีซัน และการถ่ายทำซีซัน 2 จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมปีนี้ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดที่ว่านี้ ไม่มีความจำเป็นต้องรอดูด้วยซ้ำไปว่า The Rings of Power ในซีซันแรกจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด

ซึ่งผิดกับกรณีของ House of the Dragon ที่จนถึงตอนนี้ HBO ยังคงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า การถ่ายทำในซีซันที่ 2 จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ รวมถึง ซีรีส์ชุดนี้จะมีทั้งหมดกี่ซีซันกันแน่ แม้ว่า "คุณลุงจอร์จ อาร์.อาร์.มาร์ติน" เจ้าของบทประพันธ์และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างซีรีส์เรื่องนี้ จะกล่าวกับ The Wall Street Journal ว่า อยากให้ซีรีส์นี้ยืนยาวถึงอย่างน้อย 10 ซีซัน หรือหากจะให้ดีควรจะมีสัก 12-13 ซีซัน เลยก็ตาม!

คำถาม คือ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

“คำตอบ” ของนักวิเคราะห์ต่างประเทศในเรื่องนี้ คือ “วัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจสตรีมมิงที่แตกต่างกัน” สำหรับ House of the Dragon มันคือความหวังอันเต็มเปี่ยมของ HBO ในการเรียกร้องความสนใจจากบรรดานักลงทุน หลังการควบรวมกิจการที่นำไปสู่การปรับโครงสร้างและการสร้างแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ ได้สร้างความคลุมเครือให้เกิดขึ้นในอาณาจักรแห่งนี้ ฉะนั้น หาก House of the Dragon ซีซันแรก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ใช้ทุนสร้างสูง “ไม่ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพึงพอใจได้” HBO ซึ่งกำลังอยู่ภายใต้สภาวะรัดเข็มขัด และกำจัดส่วนเกินเพื่อสร้างตัวเลขที่ทำให้นักลงทุนร้อง Wow ได้ดังๆ บางที House of the Dragon อาจถูกชะลอโปรเจกต์ หรือไม่ก็สุ่มเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้ไปต่อก็เป็นได้

ในทางตรงกันข้าม Prime Video ซึ่งประกาศชัดเจนล่วงหน้าเลยว่า พร้อมทุ่มเม็ดเงินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการสร้าง 5 ซีซัน (เป็นอย่างน้อย) ให้กับ The Rings of Power หนำซ้ำยังดำเนินกลยุทธ์ด้วยการให้ซีรีส์เข้าถึงผู้ชมในวงกว้างมากกว่าด้วยเรต PG-13 นั้น มักจะโฟกัสไปที่คอนเทนต์ที่สามารถสร้าง Passion ให้กับกลุ่มผู้ชมเพื่อหวังเพิ่มมูลค่าให้กับแพลตฟอร์ม นั่นเป็นเพราะธุรกิจหลักของ Amazon คือ E-commerce และ Cloud Computing ส่วนคอนเทนต์ต่างๆ เป็นเพียงส่วนเสริมให้กับธุรกิจหลักเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ Prime Video จึงแทบไม่เคยประกาศเรตติ้งความสำเร็จของซีรีส์ใดๆ ต่อสาธารณชนมากนัก รวมถึงไม่พยายามแปลความสำเร็จที่ได้จากออริจินอลคอนเทนต์ใดๆ ออกมาในเชิงตัวชี้วัดในเรื่องของการรายได้มากเท่าที่ควรด้วย

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก : Anon Chantanant

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :