ท่ามกลางการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่ผลักดันยอดผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นทุกขณะกระทั่งนำไปสู่การออกข้อจำกัดมากมาย จนกระทบกับธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอย่างหนักในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา
** หมายเหตุ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสัปดาห์ล่าสุดในประเทศสหรัฐอเมริกา **
14 ธ.ค.2021 ผู้ติดเชื้อ 122,296 คน เสียชีวิต 1,811 ศพ
15 ธ.ค.2021 ผู้ติดเชื้อ 138,976 คน เสียชีวิต 1,839 ศพ
16 ธ.ค.2021 ผู้ติดเชื้อ 155,795 คน เสียชีวิต 1,320 ศพ
17 ธ.ค.2021 ผู้ติดเชื้อ 163,707 คน เสียชีวิต 1,653 ศพ
18 ธ.ค.2021 ผู้ติดเชื้อ 88,682 คน เสียชีวิต 495 ศพ
จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 51,765,714 คน เสียชีวิตสะสม 827,323 ศพ
และล่าสุดผลวิจัยจาก “The Quorum” บริษัทวิจัยเกี่ยวกับภาพยนตร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังได้รายงานว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,528 คน ที่มีอายุระหว่าง 25-45 ปี ในสหรัฐอเมริกา พบว่า 59% ระบุว่า รู้สึกไม่ปลอดภัยกับการชมภาพยนตร์ในโรงหนัง และ 49% เลิกซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ 8% มีแนวโน้มว่า “จะไม่กลับไปซื้อตั๋วชมภาพยนตร์อีกตลอดกาล”
...
โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก “ความกังวลเรื่องความปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ในโรงภาพยนตร์”, “ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ (ค่าตั๋ว ค่าอาหารและเครื่องดื่ม)”, “การหันไปเลือกชมภาพยนตร์จากสตรีมมิง”, “การเลือกเสพความบันเทิงจากสมาร์ทโฟน” ซึ่งทั้งหมด คือ ภาพสะท้อนของธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่นับวันจะเสื่อมถอยลงทุกทีๆ และโควิด-19 อาจจะไม่ใช่เหตุผลสำคัญเพียงประการเดียวเสียด้วย
แต่ทั้งหมดที่ “ร่ายมาเสียยืดยาว” ในบรรทัดด้านบนโน่น กลับถูกทำลายล้างลงจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี หลังเสียงตะโกน “Hello New Yorkkkkk” ดังลั่นขึ้นอีกครั้ง!
เพราะจะแม้อยู่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนทั้งในสหรัฐอเมริกา และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่ “Spider-Man: No Way Home” หนังร่วมทุนระหว่างสตูดิโอมาร์เวล และ โซนี ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินในช่วงเปิดตัวสุดสัปดาห์สูงสุดของปี 2021 และยังเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวทำเงินสูงสุดตลอดกาล เป็นลำดับที่ 3 (เฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา) เป็นรองเพียง “Averngers : Endgame” และ “Averngers : Infinity War” ภาพยนตร์ร่วม “Marvel Cinematic Universe” (MCU) เท่านั้นอีกด้วย!
โดยทำรายได้เฉพาะในสหรัฐอเมริกาไปแล้ว 253 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในตลาดนอกสหรัฐฯ ที่มีการเปิดฉายใน 60 ประเทศ ทำเงินไปรวมแล้วถึงประมาณ 334.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้รวมรายได้ทั้งหมดในช่วงเปิดตัว ทะลุ 587.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว! (สถิติ ณ วันที่ 20 ธ.ค.)
** หมายเหตุ เฉพาะในตลาดสหรัฐฯ “Infinity War” ทำเงินในช่วงเปิดตัวปี 2018 ที่ 257.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน “Endgame” ทำเงินในช่วงเปิดตัวในปี 2019 ไป 357.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ **
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ “สไปดี” ภาคล่าสุด สามารถกวาดต้อนผู้คนเข้าชมภาพยนตร์ในโรงหนังได้อีกครั้ง?
กลุ่มผู้ชมอายุน้อย
การตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดของ MCU มาเนิ่นนานนับ 10 กว่าปี ทำให้กลุ่มผู้ชมอายุระหว่าง 18-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของแฟรนไชส์ ที่มีความกังวลเรื่องโรคระบาดน้อยกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ ยินดีที่จะเข้ารับไปชมภาพยนตร์ในโรงหนัง แม้จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดก็ตาม ซึ่งผิดกับฐานแฟนรุ่นเก๋าของสายลับดับเบิลโอเซเว่น ที่เข้ารับชม No Time To Die ในโรงภาพยนตร์ด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งทำเงินได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้พอสมควร
...
สาวกมาร์เวลวิ่งสุดชีวิต เพื่อหนีการถูกสปอยล์!
ภาวะซบเซาของธุรกิจโรงภาพยนตร์ อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ทำให้หลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป ต้องกลับไปใช้มาตรการ Lockdown รวมถึงการที่ก่อนนี้ยังไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดที่ออกฉายในช่วงโควิด-19 สามารถทำเงินในช่วงเปิดตัวในตลาดสหรัฐฯ ได้เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาก่อน
ทำให้บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอย่างดีที่สุด “ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ และผองเพื่อน” น่าจะสามารถทำเงินสูงสุดทั่วโลกในช่วงเปิดตัว ที่ประมาณ 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
หากแต่ความเย้ายวนใจในความพยายาม “โปรยเศษขนมปัง” เกี่ยวกับ “ความพิเศษอะไรบางอย่าง” ที่จะเกิดขึ้นใน “No Way Home” เพื่อล่อหลอกเหล่าสาวกมาร์เวล ด้วยวิธีการที่ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจของสตูดิโอและนักแสดงมาเป็นระยะๆ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ความหวาดกลัว” ว่า ตัวเองอาจถูกสปอยล์เนื้อหาของภาพยนตร์ จากบรรดาเพื่อนฝูงและที่สำคัญคือโลกโซเชียลมีเดีย ก่อนที่จะมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
...
ด้วยเหตุนี้...สารพัดปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยต่างๆ จึงไม่อาจสามารถต้านทาน “พลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมาพร้อมกับ ความอยากรู้อันใหญ่ยิ่ง” จนทำให้เกิดปรากฏการณ์โรงหนังแตกในที่สุด!
เพราะแม้ขนาดประเทศที่กำลังอ่วมอรทัยจาก “สายพันธุ์โอมิครอน” ไม่น้อยไปกว่าสหรัฐฯ อย่าง “สหราชอาณาจักร” ที่ต้องถึงขนาดงัด “Plan B” ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดต่างๆ มาใช้ “สไปดี” ก็ยังสามารถปล่อยใยแมงมุมมัดใจสาวก จนทำเงินในช่วงการเปิดตัวได้ถึง 41.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ! รองจากนั้นคือ เม็กซิโก ที่ทำเงินไป 32.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่แม้จะมีการประกาศเคอร์ฟิวในวันเสาร์ที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) ก็ยังสามารถทำเงินไปได้สูงถึง 23.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดินแดนบอลลีวูด ซึ่งแต่ไหนแต่ไรหนังฝรั่งมังค่ามักเจาะตลาดได้ยากแสนยาก แต่กลับมี “No Way Home” แล้ว สามารถทำเงินไปได้ถึง 18.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
** หมายเหตุ สำหรับประเทศไทย “Spider-Man: No Way Home” มีกำหนดฉายรอบปฐมทัศน์ในวันที่ 23 ธ.ค. และจากรายงานเบื้องต้น ตั๋วเข้าชมถูกจองเต็มเกือบทุกที่นั่งแล้ว **
...
และในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส และวันหยุดยาว กระแสของ “No Way Home” น่าจะยังคงผลักดันการผลิตเม็ดเงินในแบบก้าวกระโดดได้อยู่ต่อไป เพราะคู่ต่อกร อย่าง Sing 2, The King’s Man รวมถึงการคืนชีพของ The matrix resurrections ไม่น่าจะเพียงพอต่อการสกัดกั้น ปรากฏการณ์หลบสปอยล์ครั้งยิ่งใหญ่นี้ไปได้
อย่างไรก็ดี แม้ว่า...จะถือเป็นการเปิดที่สวยสดงดงาม แต่บรรดานักวิเคราะห์ที่หวังใจเสียเหลือเกินว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถจุดกระแสให้ธุรกิจโรงหนังและอุตสาหกรรมภาพยนตร์กลับมาคึกคัก และเรียกร้องความสนใจจากผู้คนได้อีกครั้ง ก็ยังเกิดความรู้สึกอดเป็นกังวลไม่ได้ว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลอย่างยิ่ง ต่อการที่จะทำให้รายได้จากสไปเดอร์แมนภาคสุดท้าย (มั้ง) ของ “ทอม ฮอลแลนด์” ตกอยู่ภายใต้ภาวะความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะในแต่ละสัปดาห์
โดยหากเกิดกรณีมีคำสั่ง Lockdown หรือ มาตรการจำกัดการรวมตัวของผู้คนต่างๆ จนกระทั่งอาจทำให้ ภาคที่ 3 ของฮีโรผู้น่าสงสาร ที่มีปัญหาเสียเหลือเกินกับ “การหาทางกลับบ้าน” ไม่สามารถทำสถิติเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกหลังยุคการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่สามารถทำเงินทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้สำเร็จ!
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ