• Red Velvet เป็นหนึ่งในคณะนักร้อง K-Pop ที่ไปเยือน "เกาหลีเหนือ" ครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2548
  • สื่อความบันเทิงเกาหลีใต้ในปัจจุบันถูกลักลอบนำเข้าผ่าน "แฟลชไดร์ฟ" จากจีน
  • ข้อความในเอกสารระบุ "บทลงโทษ" ผู้ฝ่าฝืนอย่างรุนแรง ด้วยการจับไปกักตัว 15 ปี ใน "แคมป์แรงงาน" ที่ต้องทำงานหนักเสมือนกับ "คุกนักโทษ"

ขณะที่ทั่วทั้งโลกพร้อมใจกันเพลิดเพลินกับท่วงทำนองเพลงและวัฒนธรรมสไตล์ K-Pop แต่ภายใน "ดินแดน" ที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้นกลับมองภาพไม่เหมือนเยี่ยงที่คนอื่นมอง และตราหน้าว่า "แก๊ง K-Pop" เหล่านี้เป็นดั่ง "มะเร็งร้าย" ที่ต้องถูกหยุดยั้งไม่ให้ลุกลามต่อไปได้อีก

ดินแดนที่กำลังเอ่ยถึงนั้น... ย่อมหมายถึง "เกาหลีเหนือ" อย่างไม่ต้องสงสัย!

"เกาหลีเหนือ" ที่ใครๆ ก็เปรียบเป็นดั่ง "เมืองลับแล" ที่น้อยนักจะมีโอกาสเข้าไปเหยียบแผ่นดินเพื่อสัมผัสประสบการณ์ชีวิต หรือท่องเที่ยวตามใจหวัง

ความฮือฮาที่เกิดขึ้นกับประชากรโลกต่อเกาหลีเหนือในครั้งนี้ มี "ต้นตอ" มาจาก "เอกสารภายใน" ที่อ้างว่าเป็น "คำสั่งของรัฐบาลเกาหลีเหนือ" ซึ่งถูกลักลอบนำออกมาเผยแพร่โดยเว็บไซต์ Daily NK ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงโซล (เกาหลีใต้)

ถ้อยความ "เอกสารภายใน" ฉบับดังกล่าว ชี้ชวนให้หลายคนตั้งข้อสงสัยต่อ "ความกังวล" ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของ "รัฐบาลเกาหลีเหนือ"

ถ้อยความมีอะไรบ้าง?

www.dailynk.com/단독-南영상물-대량-유입·유포-시-사형-대남-적개/
www.dailynk.com/단독-南영상물-대량-유입·유포-시-사형-대남-적개/

...

เปิด "เอกสารภายใน" ที่ลักลอบนำออกจาก "เกาหลีเหนือ"

เอกสารภายในที่ถูกตีตราว่าเป็น "คำสั่ง" ของรัฐบาลเกาหลีเหนือ อ้างว่า ท่านผู้นำสูงสุด "คิม จอง อึน" นั้น เรียกขาน K-Pop (เคป๊อป) ว่าเป็น "มะเร็งร้าย" ที่กำลังชักจูงให้ "คนรุ่นใหม่" ในเกาหลีเหนือ เดินไปสู่วิถีทางแห่งความเสื่อมโทรม นับตั้งแต่เครื่องแต่งกาย, ทรงผม, การพูดการจา ไปจนถึงพฤติกรรมต่างๆ

ซึ่งส่วนที่เป็นกังวล... เกรงว่าถ้อยคำดังกล่าวจะนำไปสู่การออกกฎหมายใหม่ที่มุ่งไปยังประเด็นนี้โดยเฉพาะ นั่นคือ พลเมืองคนใดที่ถูกพบว่ารับชม หรือครอบครองสื่อความบันเทิงเกาหลีใต้ จะต้องประสบกับ "คำสั่งกักตัว 15 ปี" ภายใน "แคมป์แรงงาน" ที่กล่าวขานกันว่า คนที่เข้าไปอยู่ในนั้นต้องทำงานหนักเยี่ยงอยู่ใน "คุกนักโทษ" ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นบทลงโทษสูงสุดกรณีอาชญากรรมอยู่ที่เพียง 5 ปีเท่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น สื่อกระบอกเสียงของ "ท่านผู้นำคิม" ในเกาหลีเหนือเองก็ออกมาเตือนถึงการกระทำของ "คนรุ่นใหม่" ในประเทศที่กำลังลุ่มหลง K-Pop อยู่ในขณะนี้ว่า หากปล่อย K-Pop ให้ไหลเวียนภายในจิตใจของชาวเกาหลีเหนือรุ่นใหม่ต่อไปแบบไร้การตรวจสอบ ก็น่าประหวั่นว่า เกาหลีเหนือจะพังทลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยคล้ายกับ "อวัยวะที่ไร้ชีวิต"

สำหรับสถานการณ์ในเกาหลีเหนือเวลานี้เชื่อกันว่า อิทธิพลทางวัฒนธรรมของ K-Pop กำลังเติบโตภายในดินแดนลับแลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่ใช่การเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นแบบฉับพลัน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์, ซีรีส์ และวิดีโอศิลปิน K-Pop จนถูกมองว่านี่เป็นความพยายามอ้างสิทธิ์ของ "เกาหลีใต้" ดังนั้นท่านผู้นำคิมจึงมีคำสั่งให้รัฐบาลเกาหลีเหนือ "หยุดยั้ง" การรุกล้ำทางวัฒนธรรมนี้เสียให้ไว

ว่าแต่ K-Pop รุกล้ำเข้าสู่ดินแดน "เกาหลีเหนือ" จนกลายเป็นปัญหาขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปิดกั้นชายแดนเข้มงวดขนาดนี้ แม้แต่สินค้าที่มาจาก "เกาหลีใต้" ก็ห้ามนำเข้ามาจำหน่าย?

"คนรุ่นใหม่" ในเกาหลีเหนือได้สื่อบันเทิงเกาหลีใต้มาจากไหน?

ย้อนกลับไปช่วง "ภาวะข้าวยากหมากแพง" ในปลายทศวรรษ 1990 (ปี 2533-2542) รัฐบาลเกาหลีเหนือไม่สามารถจัดสรรปันส่วนสิ่งของที่จำเป็นให้แก่พลเมืองภายในประเทศได้อย่างทั่วถึง จนส่งผลให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนพลเมืองที่รอดชีวิตมาได้ก็ล้วนหาซื้ออาหารจากตลาดนอกระบบทางการมากักตุน บ้างก็ซื้อสินค้าที่ลักลอบนำเข้ามาจากจีน และนั่นรวมถึงสื่อบันเทิงผิดกฎหมายจาก "เกาหลีใต้" ด้วย

...

นำไปสู่การเริ่มต้น...เปลี่ยนแปลงทางความคิด

ก่อนหน้านั้น เกาหลีเหนือ เคยมี "โฆษณาชวนเชื่อ" ร่ายบรรยายภาพใน "เกาหลีใต้" ไว้ว่า การใช้ชีวิตของพลเมืองในดินแดนทางตอนใต้นั้น เหมือนกับตกอยู่ใน "ขุมนรก" ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความน่าขยะแขยงของบรรดาขอทาน

จนกระทั่งการมาถึงของ "ซีรีส์เกาหลีใต้" ที่ถูกลักลอบนำเข้าครั้งแรกในรูปแบบ "ม้วนเทปวิดีโอ" และ "แผ่นซีดี" ที่สร้างภาวะช็อกในจิตใจของ "คนรุ่นใหม่" เกาหลีเหนืออย่างรุนแรง เมื่อพวกเขารับรู้ว่า ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นสวนทางกับคำร่ายยาวที่ได้ยินมาตลอดชีวิต พลเมืองที่ต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างยากลำบากกลับไม่ใช่ "พลเมืองเกาหลีใต้" แต่นั่นคือ ตัวพวกเขาเอง

นับจากห้วงเวลานั้น "สื่อบันเทิงเกาหลีใต้" ก็ค่อยๆ คืบคลานรุกล้ำเข้าสู่ "เกาหลีเหนือ" เรื่อยๆ โดยขณะนี้ พวกมันถูกลักลอบนำเข้าผ่านอุปกรณ์เช่น "แฟลชไดร์ฟ" จาก "จีน" และกำลังเบ่งบ่านในจิตใจของ "คนรุ่นใหม่" ในเกาหลีเหนือที่กำลังรับชมอยู่เบื้องหลังบานประตูที่ปิดสนิทและหน้าต่างที่มีม่านบดบัง

คุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์รู้ไหมว่า ในห้วงเวลานี้ที่เกาหลีเหนือดุดันขึงขัง ตราหน้า K-Pop เป็น "มะเร็งร้าย" ครั้งหนึ่ง "ท่านผู้นำคิม" เคยเปิดบ้านต้อนรับศิลปิน K-Pop มาแล้ว!

คำถาม คือ ทำไมตอนนั้น "ท่านผู้นำคิม" ถึงยอม?

...

ย้อนกลับไปปี 2561 หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว...

หากยังจำกันได้... ครั้งนั้นเกิดภาพปรากฏต่อสาธารณชนทั่วโลก เมื่อ "ท่านผู้นำคิม" เปิดบ้านต้อนรับ "เกิร์ลกรุ๊ป" จากดินแดนทางใต้อย่างชื่นบาน

เกิร์ลกรุ๊ป K-Pop ที่ว่านั้นก็คือ "เรดเวลเวท" (Red Velvet) แห่งค่าย SM Entertainment ที่กำลังมีเพลงฮิตมากมายที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดี อาทิ Red Flavor, Bad Boy พร้อมด้วยศิลปินอื่นๆ อีกนับสิบ ซึ่งการไปเยือน "เปียงยาง" ครั้งนั้น นับเป็นการแสดงของนักร้อง K-Pop ครั้งแรกในรอบมากกว่า 1 ทศวรรษ หรือนับตั้งแต่ปี 2548 โดยไปในฐานะ "ทูตทางวัฒนธรรม"

หากมองภาพแบบผ่านๆ หลายคนอาจจะคิดว่า ท่านผู้นำคิม "เปิดใจ" และเปิดรับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 เกาหลีแล้ว อนาคตน่าจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่ไฉน...ผ่านมา 3 ปี จนมาถึงปี 2564 ถึงเกิด "เอกสารภายใน" แพร่สะพัดไปทั่วโลก ถึงการสั่งตัดเนื้อร้าย K-Pop นี้ทิ้งจากประเทศได้

ซึ่งใน 3 ปีที่แล้ว ก็เกิดความสงสัยไม่ต่างเช่นในปีนี้ (2564) แต่กลับเป็นคนละทิศทาง นั่นคือ น่าแปลก... ท่านผู้นำคิมที่พยายามกีดกันพลเมืองออกจาก "ระบบทุนนิยมอันเสื่อมทราม" อีกด้านกลับคลี่พรมแดงต้อนรับศิลปิน K-Pop เข้าสู่บ้านตัวเอง

...

เหตุผลที่แท้จริงของการกระทำ "ท่านผู้นำคิม" คืออะไร?

หากจะบอกว่า การเปิดบ้านต้อนรับศิลปิน K-Pop ของ "ท่านผู้นำคิม" มาจากแนวคิดที่อยากเชื่อมวัฒนธรรมระหว่างพลเมือง 2 เกาหลี หรือเปิดรับสไตล์ K-Pop อย่างเสรี เห็นทีอาจไม่ใช่... เพราะคอนเสิร์ตที่ศิลปิน K-Pop ไปแสดงนั้น ผู้เข้าชมส่วนใหญ่ล้วนเป็น "ชนชั้นสูง" และ "ฝ่ายบริหารที่จงรักภักดี" ที่ขึ้นชื่อว่า มักจะมีใบหน้าไร้ความรู้สึก แม้ศิลปิน K-Pop จะแสดงสนุกสนานแค่ไหนก็ตาม ซึ่งยากเหลือเกินที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาภายใต้อิทธิพล K-Pop ได้

เบื้องต้น จากการแถลงข่าวของ "โซล" ก่อนทัพศิลปิน K-Pop จะไปเยือนดินแดนเหนือ คือนี่เป็น "การเยี่ยมเยือนต่างตอบแทน" หลังก่อนหน้านั้น เกาหลีเหนือได้นำคณะผู้แสดงมาร่วมงานโอลิมปิกฤดูหนาวพยองชาง

แต่ในมุมมอง "ท่านผู้นำคิม" อาจไม่ได้จบเพียงเท่านั้น...

3 ปีก่อน เจ้าหน้าที่สงครามทางจิตวิทยาวัยเกษียณของกองทัพเกาหลีใต้ วิเคราะห์การกระทำของ ท่านผู้นำคิม ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับการมุ่งหมาย "โฆษณาชวนเชื่อ" ภายในประเทศ ซึ่งขณะนั้นเกาหลีเหนือกำลังโปรโมตโครงการนิวเคลียร์ เช่น โฆษณาชวนเชื่อที่จะร่ายว่า การที่ศิลปิน K-Pop มาเยี่ยมเยือนประเทศของเรา นั่นก็เพราะต้องการมาเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จที่พวกเราสามารถพัฒนานิวเคลียร์ได้

ฉะนั้น จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า K-Pop คือ สัญลักษณ์นิยม ที่ 2 เกาหลีมักใช้ในการแสดงปฏิกิริยาต่อต้านซึ่งกันและกัน หรือแม้แต่ใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศของตน ไม่ว่า "เหนือ" หรือ "ใต้"

นอกเหนือจากที่ว่านั้น ก็อย่างเช่น กองทัพเกาหลีใต้มักจะใช้เพลง K-Pop ในการทำสงครามทางจิตวิทยา ด้วยการระเบิดเสียงจากเครื่องกระจายเสียงในเขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone: DMZ) หรือที่ได้ยินกันบ่อยๆ ผ่านคำอ้างของ ผู้แปรพักตร์เกาหลีเหนือ ที่เอ่ยว่า K-Pop เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของการหลบหนีเข้าสู่เกาหลีใต้

ปัจจุบัน วัฒนธรรม K-Pop รุกล้ำเกาหลีเหนือมากแค่ไหน?

จาก "เอกสารภายใน" ที่อ้างว่าเป็นของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกลักลอบนำออกมาเผยแพร่นั้น เขียนกำกับไว้ว่า คำสั่งห้ามครอบคลุมการค้นหาคอนเทนต์และสำเนียงเกาหลีใต้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ คอมพิวเตอร์, ข้อความตัวอักษร, เครื่องเล่นเพลง, และแล็ปท็อป

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ จากที่เคยเรียกคู่เดตว่า "สหาย" ก็จะแทนที่ด้วยการเรียกว่า "โอปป้า" หรือ "ที่รัก" เหมือนเช่นผู้หญิงในซีรีส์เกาหลีใต้ ซึ่งเอกสารอ้างว่า ท่านผู้นำคิมชี้ว่าเป็น "ภาษาที่ไม่เหมาะสม!"

ในการสำรวจของสถาบัน Institute for Peace and Unification Studies ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ที่เก็บรวบรวมประชากร 116 รายที่หนีจากเกาหลีเหนือในปี 2561 หรือ 2562 เกือบครึ่งบอกว่า พวกเขารับชมความบันเทิงเกาหลีใต้ "เป็นประจำ" ขณะอยู่ในเกาหลีเหนือ และซีรีส์ยอดนิยม คือ "สหายผู้กอง" (Crash Landing on You) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับทายาทสาวผู้ร่ำรวยชาวเกาหลีใต้ ซึ่งกำลังเล่นร่มร่อนและถูกพัดข้ามเขตแดน ก่อนตกหลุมรักกับทหารเกาหลีเหนือในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ "เกาหลีเหนือ" ออกคำสั่งหวดอย่างแรงเพื่อต่อต้านการรุกล้ำทางวัฒนธรรม อันเป็นรากฐานทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

ที่ผ่านมา สถานีวิทยุทุกคลื่น และสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง จะถูกตั้งเวลาไว้ล่วงหน้าเพื่อรับชมการถ่ายทอดสดจากรัฐบาลเกาหลีเหนือเพียงอย่างเดียว การห้ามใช้อินเทอร์เน็ต ให้ใช้แค่อินทราเน็ตเท่านั้น การควบคุมการแต่งกายและทรงผม โดยจากข้อมูลที่เคยระบุไว้ในเพจสถานทูตรัสเซียประจำเปียงยาง เขียนไว้ว่า ห้ามผู้ชายไว้ผมยาว, ผู้หญิงก็ห้ามสวมกระโปรงที่สั้นเกินไป หรือกางเกงขายาวที่แน่นเกินไป และสีผมก็ทำได้แค่สีดำ

การออกเอกสารคำสั่งดังกล่าวที่กักตัวอย่างเข้มงวดถึง 15 ปี ต่อผู้ฝ่าฝืนของรัฐบาลเกาหลีเหนือ จึงบอกเป็นนัยได้ว่า วัฒนธรรม K-Pop เป็น "อาวุธ" ทางวัฒนธรรมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยา และนำไปสู่ "การตั้งคำถาม" ของพลเมืองคนรุ่นใหม่ในประเทศ ซึ่งอาจสร้าง "ผลลัพธ์" ที่น่าหวาดวิตกแก่ "ท่านผู้นำสูงสุด" ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้.

ผู้เขียน: เหมือนพระอาทิตย์

กราฟิก: Varanya Phae-araya

ข่าวน่าสนใจ: