"เซอร์เบีย" กลายเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศบนคาบสมุทรบอลข่านตะวันตก ซึ่งประกอบด้วย เซอร์เบีย, บอสเนีย, มาซิโดเนีย, มอนเตเนโกร และโคโซโว ที่ประสบความสำเร็จเรื่องอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ และค่าเฉลี่ยนี้ยังสูงเป็นลำดับต้นๆ ของทวีปยุโรปด้วย

อัตราการฉีดวัคซีนที่ว่านี้สูงขนาดไหน?

22% จากจำนวนประชากร 6.8 ล้านคนของเซอร์เบีย ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว ซึ่งถือเป็นค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าพลเมืองในสหภาพยุโรปถึง 9%!

และล่าสุด เพื่อให้เป้าหมายการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับประชาชนครบ 55% ของจำนวนประชากรภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้บรรลุผลสำเร็จ รัฐบาลเซอร์เบียจึงได้ประกาศอัดฉีดเงิน 25 ยูโร ให้กับพลเมืองอายุเกิน 16 ปีขึ้นไปที่มาฉีดวัคซีนเข็มแรก หรือเข็มที่สองภายในห้วงเวลาดังกล่าวด้วย ตามรายงานของสำนักข่าวยูโรนิวส์ (Euronews) เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา

หากแต่ที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับชาวโลกมากที่สุด คือ การที่เซอร์เบียได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขามีปริมาณวัคซีนมากพอถึงขนาดสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านได้อีกต่างหาก!

อะไรที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของรัฐบาลเซอร์เบียในการจัดหาวัคซีน?

...

ก่อนหน้านี้ "รัฐบาลเซอร์เบีย" พยายามดิ้นรนหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดในเดือนมีนาคม 2020 แล้ว โดยมีการร้องขอความช่วยเหลือไปยังรัฐบาลจีนทันที

หลังพบปัญหาทั้งจากการที่สหภาพยุโรป หรือ "อียู" เริ่มจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ทางการแพทย์ และความหวังจากโครงการ Covax ซึ่งเป็นโครงการในการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งในรูปแบบให้ฟรีและราคามิตรภาพให้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเซอร์เบียและกลุ่มประเทศบนคาบสมุทรบอลข่านเข้าร่วมโครงการ ยังได้รับ "การปันส่วนวัคซีนที่ล่าช้ามากๆ" จนแทบจะทำให้เซอร์เบียและกลุ่มประเทศบอลข่านตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่มีท่าทีที่ชัดเจนมาโดยตลอดว่า ต้องการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอียู กลายเป็น "ผู้ถูกลืม"

ซึ่งพอมีการร้องขอความช่วยเหลือไปทางจีนอย่างชัดเจนในเดือนมกราคม 2021 เซอร์เบียจึงกลายเป็นประเทศแรกในยุโรปที่มี "วัคซีนซิโนฟาร์ม" (Sinopharm) จากประเทศจีนมาฉีดให้กับพลเมืองของตัวเอง รวมถึงยังสามารถสั่งซื้อวัคซีนจากแดนมังกรเข้ามาในประเทศได้มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ

แค่นั้นยังไม่พอ รัฐบาลเซอร์เบียยังได้ติดต่อขอซื้อ "วัคซีนสปุตนิก วี" (Sputnik) อีกหลายล้านโดส จากรัฐบาลรัสเซียในเวลาที่ไล่เลี่ยกันเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าวัคซีนจาก 2 บริษัทนี้ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicines Agency) หรือ EMA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลและควบคุมทางการแพทย์ของอียูก็ตาม

เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่ามกลางประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่ล้วนแล้วแต่ขาดแคลนวัคซีน รวมถึงเกิดความวุ่นวายภายใน "อียู" ที่ต่างสาละวนอยู่แต่กับการหาวัคซีนมาฉีดให้กับคนในประเทศของตัวเอง "เซอร์เบีย" จึงมีจำนวนวัคซีนอยู่ในมือจำนวนมากพอ สำหรับการกระจายฉีดให้กับพลเมืองของตัวเอง

และความสำเร็จในระดับที่สามารถจับต้องได้ของเซอร์เบียนี้เอง ทำให้รัฐบาลของบอสเนีย, มาซิโดเนีย, มอนเตเนโกร และโคโซโว จึงหันไปเดินตามรอยรัฐบาลเซอร์เบีย ด้วยการเปิดรับความช่วยเหลือด้านวัคซีนจากจีนและรัสเซีย รวมถึงพยายามดิ้นรนเพื่อติดต่อขอซื้อวัคซีนจากบริษัทต่างๆ โดยตรงอย่างเร่งด่วน แทนที่จะเฝ้ารอคอย "ความหวัง" ที่ดูจะห่างไกลออกไปทุกทีจากโครงการ Covax โดยเฉพาะเมื่อเกิดการระบาดอย่างรุนแรงในประเทศอินเดีย ฐานการผลิตวัคซีนสำคัญแห่งหนึ่งของโลก

สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศเซอร์เบีย ณ ปัจจุบัน?

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศเซอร์เบีย อ้างอิงตามข้อมูลของสถาบันเพื่อการสาธารณสุขแห่งเซอร์เบีย (Institute for Public Health) สิ้นสุดวันที่ 6 พ.ค.2021

...

เซอร์เบียมีผู้ติดเชื้อสะสมรวมอยู่ที่ 697,241 คน ขณะที่ จำนวนเสียชีวิตสะสมรวมอยู่ที่ 6,499 ศพ

ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันในรอบสัปดาห์ล่าสุด (สิ้นสุดวันที่ 6 พ.ค.2021)

วันที่ 30 เมษายน มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,613 คน เสียชีวิต 25 ศพ
วันที่ 1 พฤษภาคม มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,374 คน คน เสียชีวิต 24 ศพ
วันที่ 2 พฤษภาคม มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 989 คน เสียชีวิต 23 ศพ
วันที่ 3 พฤษภาคม มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,249 คน คน เสียชีวิต 23 ศพ
วันที่ 4 พฤษภาคม มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,304 คน คน เสียชีวิต 24 ศพ
วันที่ 5 พฤษภาคม มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,402 คน คน เสียชีวิต 22 ศพ
วันที่ 6 พฤษภาคม มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,366 คน คน เสียชีวิต 21 ศพ

ปัจจุบัน เซอร์เบียมีวัคซีนในมือกี่บริษัท?

ปัจจุบัน สำนักงานยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์แห่งเซอร์เบีย (Serbia Medicines and Medical Devices Agency) อนุมัติให้วัคซีนจาก 4 บริษัท ประกอบด้วย ไฟเซอร์ (Pfizer), แอสตราเซเนกา (AstraZeneca), ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) และสปุตนิก วี (Sputnik V) สามารถฉีดให้กับชาวเซอร์เบียได้

...

เดี๋ยวก่อน... 4 บริษัท! ใช่แล้วนอกจากซิโนฟาร์ม และสปุตนิก วี แล้ว...พวกเขายังสั่งซื้อวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และบริษัทแอสตราเซเนกามาฉีดให้กับประชาชนด้วย และหากใครยังไม่รู้ เซอร์เบียเป็นชาติแรกในยุโรปที่ได้รับมอบวัคซีนของไฟเซอร์ด้วย โดยได้รับมอบลอตแรก 4,875 โดส เมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว (2020)

ส่วนวัคซีนของแอสตราเซเนกา เซอร์เบียได้รับลอตแรก 150,000 โดส ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และแน่นอนเป็นชาติแรกของยุโรปอีกเช่นเดิม!

เหตุใดการฉีดวัคซีนให้กับเพื่อนบ้านของเซอร์เบียถึงกลายเป็นการเมือง?

แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า การแสดงท่าทีโน้มเอียงไปทางจีนและรัสเซียในวิกฤติโควิด-19 ย่อมนำมาซึ่ง "ความขุ่นเคืองใจ" ให้กับบรรดาชาติตะวันตกเป็นอย่างยิ่งแล้ว หากแต่สิ่งที่น่าจะสร้างความไม่พอใจมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้น คือ การที่รัฐบาลเซอร์เบียนำวัคซีนที่มีส่วนหนึ่งไปฉีดให้กับพลเมืองของประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา!

โดยสำนักข่าวยูโรนิวส์รายงานว่า ประชาชนจากประเทศโครเอเชีย, มาซิโดเนีย, มอนเตเนโกร, อัลเบเนีย, บอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนาเกินกว่า 20,000 คน และนักธุรกิจชั้นนำในภูมิภาคอีกกว่า 8,000 คนที่ผ่านการลงทะเบียนระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามคำเชิญชวนของสภาหอการค้าแห่งเซอร์เบีย (Serbian Chamber of Commerce) ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของเซอร์เบีย

...

จากนั้นเป็นต้นมา บทวิเคราะห์การเมืองของสื่อตะวันตกต่างดาหน้ามุ่งเป้าโจมตีการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลเซอร์เบียอย่างรุนแรง โดยเรียกมันว่าทั้งหมดเป็นเพียง "เกมการเมืองวัคซีน" (Politics in Vaccination) ที่มีจีนและรัสเซียในฐานะผู้บริจาครายใหญ่อยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังโกยคะแนนนิยมจากประเทศในคาบสมุทรบอลข่าน

เป็นเหตุให้ "อานา เบอร์นาบิช" (Ana Brnabic) นายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ต้องออกโรงมาตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว โดยยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด คือ...

"ภาพอันแสนงดงามแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และทั้งหมดที่เกิดขึ้นปราศจากการเมืองเข้ามาแทรกแซง และพวกเขาทั้งหมดไว้วางใจเรา"

อย่างไรก็ดี หลังปล่อยให้จีนและรัสเซียเข้ามามีบทบาทในฐานะ "พระเอก" บนคาบสมุทรบอลข่านมาเนิ่นนานนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุด "อียู" ได้เริ่มขยับแล้ว โดยเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา อียูได้ประกาศว่าจะมีการส่งมอบวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์จำนวน 651,000 โดส กระจายไปให้กับเซอร์เบีย, บอสเนีย, มาซิโดเนีย, มอนเตเนโกร และโคโซโว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม พร้อมกับยืนยันด้วยว่า อียูยังคงให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้อยู่ต่อไป (ว่าแต่...มาช้าไปหน่อยนะ)

เซอร์เบียทำอย่างไรในการรักษาสมดุลการเมืองวัคซีน ระหว่างจีน, รัสเซีย, สหรัฐฯ และอียู?

นักวิเคราะห์ทางการเมืองมองตรงกันว่า ที่ผ่านมา "รัฐบาลเซอร์เบีย" ชาญฉลาดในการ Balance Power ปัญหายุ่งๆ เรื่องการเมืองวัคซีนกับเหล่าบรรดาชาติมหาอำนาจได้เป็นอย่างดี

เพราะนอกจากเอาใจจีน, รัสเซีย, อียู และสหรัฐฯ ได้อย่างครบถ้วน ด้วยสั่งซื้อวัคซีนจากทั้ง 4 บริษัทแล้ว

ตัวอย่างที่ลอยเด่นให้เห็นชัด คือ การโชว์ภาพนายกรัฐมนตรีของเซอร์เบียผู้ได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษจากสื่อตะวันตก ในฐานะผลผลิตการศึกษาจากสหรัฐฯ ถ่ายรูปฉีดวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์

ในขณะที่ เมื่อคราวได้รับมอบวัคซีนจากจีน ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ บูจิช (Aleksandar Vucic) ของเซอร์เบีย ที่เรียก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนว่า "พี่ชาย" ก็เป็นฝ่ายถ่ายรูปฉีดวัคซีนของซิโนฟาร์มบ้างทันที

ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ บูจิช (Aleksandar Vucic) ของเซอร์เบีย
ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ บูจิช (Aleksandar Vucic) ของเซอร์เบีย
"อานา เบอร์นาบิช" (Ana Brnabic) นายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย

นอกจากนี้ วาทะหลังการฉีดวัคซีนก็ถือวรรคทองที่น่าจดจำอยู่ไม่ใช่น้อย โดยนายกรัฐมนตรีเซอร์เบียที่กล่าวภายหลังจากได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ว่า

"ไม่ว่าวัคซีนจะมาจากจีน, สหรัฐฯ หรืออียู เราไม่แคร์ ตราบใดที่ชาวเซอร์เบียปลอดภัยและได้รับมันโดยเร็วที่สุด สำหรับเรา (เซอร์เบีย) วัคซีนไม่ใช่เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ แต่มันเป็นเรื่องของดูแลด้านสุขอนามัย"

กุญแจสำคัญของเรื่องนี้ เหตุใดเซอร์เบียจึงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลจีน?

การรุกเข้าสู่คาบสมุทรบอลข่านผ่านยุทธศาสตร์โครงการริเริ่ม 16+1 (16+1 initiative) ที่จีนจะเข้าไปผนึกกับ 11 ประเทศสมาชิกอียู และอีก 5 ประเทศยุโรปตะวันออกในคาบสมุทรบอลข่าน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น 17+1) ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2012 ทำให้จีนก้าวเข้าไปหว่านเม็ดเงินก้อนโตในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นที่ฐานต่างๆ มากมายในหลายประเทศบนคาบสมุทรบอลข่าน และแน่นอน เซอร์เบีย คือ เป้าหมายสำคัญของจีนในฐานะประเทศที่อุดมไปด้วยถ่านหินจำนวนมหาศาล และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตที่สุด โดยคิดเป็น 44% ของ GDP ในภูมิภาคนี้

พอมองออกกันแล้วใช่ไหม? ว่าเหตุใดจีนจึงได้เอาอกเอาใจ "เซอร์เบียเป็นพิเศษ" ในขณะที่ โลกตะวันตกเองก็ไม่ปรารถนาที่จะให้เซอร์เบียก้าวเข้าสู่อ้อมอกของ "คู่แข่ง" ที่ต้องเฝ้าจับทุกฝีก้าว ณ เวลานี้อย่างแน่นอน!

ว่าแต่...เมื่อ "คุณ" สู้อุตส่าห์กวาดสายตาอ่านมาถึงบรรทัดนี้ "คุณ" รู้สึกทึ่งกับการธำรงตนของ รัฐบาลเซอร์เบีย ท่ามกลางแรงผลักให้เลือกข้างผ่านวิกฤติโควิด-19 จากบรรดาชาติมหาอำนาจที่รายล้อม และหนำซ้ำยัง ได้รับประโยชน์จากทั้งสองฝ่าย โดยไม่ทำให้เกิดปัญหา "บัวช้ำน้ำขุ่น" กันบ้างหรือไหม?

End Credit

เซอร์เบียกับวัคซีนท่องเที่ยวมีจริงหรือไม่?

สำนักข่าวยูโรนิวส์รายงานเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า ตามที่เกิดข่าวลือในโลกโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการเปิดทัวร์ท่องเที่ยวฉีดวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวจากตุรกีที่จะเดินทางไปประเทศเซอร์เบียนั้น เบื้องต้น ทางสถานทูตตุรกี ประจำกรุงเบลเกรด และสถานทูตเซอร์เบีย ประจำกรุงอังการา ได้ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวแล้ว โดยชาวตุรกีที่จะได้รับสิทธิในการฉีดวัคซีนของเซอร์เบียมีเพียงเฉพาะชาวตุรกีที่มีถิ่นพำนักในประเทศเซอร์เบียเท่านั้น

นอกจากนี้ สำนักข่าวยูโรนิวส์ยังได้เตือนบรรดาผู้ที่ต้องการเปิดทัวร์ท่องเที่ยวฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 อีกด้วยว่า จนถึงปัจจุบันยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการจากประเทศใดว่า ได้มีการเตรียมการสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้ามาฉีดวัคซีน ฉะนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า นักท่องเที่ยวบางคนอาจเสียเงินฟรีและต้องผิดหวังกลับบ้านไป

ยกตัวอย่างเช่น บางประเทศที่ระบุชัดเจนว่า ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาฉีดวัคซีน อย่าง "สหราชอาณาจักร" ที่จะได้รับวัคซีนผ่านระบบบริการสาธารณสุข และจะต้องรอจนกว่า แพทย์จะเป็นผู้เสนอให้เท่านั้น และในการนัดหมายต้องมีการยืนยันรายละเอียดส่วนบุคคล เช่น ที่พำนัก ด้วย

ขณะเดียวกัน รายงานข่าวชิ้นนี้ยังได้ตั้งคำถามถึง "ทัวร์ฉีดวัคซีน" ด้วยว่า มีความถูกต้องชอบธรรมในประเด็นเรื่องจริยธรรมมากน้อยแค่ไหน?

เพราะแม้ว่า การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวสามารถนำไปสู่เป้าหมายร่วมกันของคนทั้งโลกในเรื่องการยุติการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้ก็จริง

แต่ในปัจจุบันยังมีผู้คนส่วนใหญ่ในโลกอีกมากมาย โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่ยังคงต้องรอคอยวัคซีนอย่างอดทนจากการที่บรรดาประเทศร่ำรวย พยายามผูกขาดการฉีดวัคซีนให้กับคนในประเทศของตัวเอง โดยการกักตุนวัคซีนเอาไว้ในปริมาณที่เกินพอดี!

ฉะนั้น การทัวร์วัคซีนจึงแทบไม่ต่างอะไรกับการลัดคิวให้กับผู้คนส่วนน้อยที่มีกำลังทรัพย์ และมันอาจนำมาซึ่งปัญหาที่ลุกลามบานปลายได้ในอนาคต

แล้ว "คุณ" ล่ะ เห็นอย่างไรกับประเด็นนี้?

ข่าวน่าสนใจ: