• คนงานเหมืองทองชิลี 33 ชีวิต ต้องประสบชีวิตดั่งตกอยู่ในขุมนรกนานถึง 69 วัน เมื่อ 10 ปีก่อน กับการต้องอยู่ใต้ดินลึกเกือบ 700 เมตร
  • แผน B ประสบความสำเร็จในการขุดเจาะและขยายโพรง กว้าง 70 เซนติเมตร และทำให้คนงานเหมืองทองสามารถกลับขึ้นสู่พื้นโลกได้อีกครั้ง
  • การพา 33 ชีวิตคนงานเหมืองทองขึ้นสู่พื้นโลก ใช้ระยะเวลาประมาณ 22 ชั่วโมงครึ่ง ท่ามกลางเสียงตะโกนร้อง "Viva Chile!"

วันหนึ่งเมื่อ "คุณ" ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่า ตัวเองอยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปเกือบ 700 เมตร ความพยายามหาทางดิ้นรนเอาชีวิตรอด "แทบเป็นไปไม่ได้" อาหารและน้ำกำลังจะหมดลงในไม่ช้า ความหวาดกลัวถูกฝังอยู่ทั่วทุกเซลล์ในร่างกาย นั่นเป็นเพราะการมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ร้อนระอุ หิวกระหาย คับแคบ ออกซิเจนเบาบาง และแทบไม่เหลือแสงสว่าง แต่นั่นมันยังไม่ทุกข์ทรมาน เท่ากับทุกๆ วินาทีที่ผ่านไป จิตใจของ "คุณ" มันถูกห่อหุ้มไปด้วยคำว่า "สิ้นหวัง"

เอาละ...อ่านมาถึงบรรทัดนี้ "คุณ" อาจโล่งใจและสามารถสูดหายใจได้เต็มปอด เพราะบรรทัดด้านบนนั้น อาจเป็นเพียง "ฝันร้าย" ที่อีกเพียงไม่กี่นาทีต่อมา "คุณ" ก็คงจะลืมมันไปในไม่ช้า...

หากแต่คนงานเหมืองทองชาวชิลี รวม 33 ชีวิต มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะ...ตามบรรทัดแรกสุดนั้น มันเป็นเพียงหนึ่งในเศษเสี้ยวของสิ่งที่ "พวกเขา" เคยต้องประสบพบเจอในขุมนรกเนิ่นนานถึง 69 วัน เมื่อ 10 ปีก่อนเท่านั้น!

เวลา 13.40 น. วันที่ 5 สิงหาคม 2010
เมืองซานโฮเซ ประเทศชิลี

ขณะที่ คนงานเหมืองกำลังกลับไปเริ่มทำงานกันตามปกติ หลังพักทานมื้อเที่ยงได้ไม่นาน จู่ๆ ได้เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นอีกเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ได้เกิดการระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทั่วทั้งเหมืองเต็มไปด้วยควันและฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ

...

ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ค่อยๆ สงบลง พร้อมๆ กับฝุ่นควันที่ค่อยๆ จางหายไป นั่นแหละ...ฝันร้ายของใครบางคนจึงเริ่มต้น...

ความพยายามกู้ภัยและค้นหาผู้รอดชีวิตในโลกใต้พื้นดิน เริ่มต้นขึ้นแทบจะในทันที หลังได้รับการยืนยันว่า ณ ขณะเกิดเหตุ มีคนงานทำงานอยู่ในเหมือง หากแต่ปฏิบัติการกู้ภัยใต้พิภพนี้ นอกจากจะเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า คนงานทั้งหมดทำงานอยู่ในจุดใดกันบ้างแล้ว ความยากลำบากในการค่อยๆ ขุดเจาะลงไปเพื่อค้นหา "ผู้รอดชีวิต" ยังต้องเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ "ถล่มซ้ำ" ท่ามกลางความหวังที่...ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงทุกขณะ

โดยเฉพาะเมื่อการถล่มครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นหลังการถล่มครั้งแรกเพียง 2 วัน ได้ปิดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถเข้าถึง "ปล่องระบายอากาศ" ซึ่งมีบันไดติดตั้งเอาไว้สำหรับเป็นทางออกฉุกเฉิน ตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัย จนกระทั่งทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแผนไปเป็นการขุดเจาะหลุมพร้อมกับส่งอุปกรณ์ต่างๆ ไปสำรวจเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตแทน

แต่แล้ว...ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นราวกับพล็อตในภาพยนตร์

ความพยายามดิ้นรนค้นผู้รอดชีวิตที่ดูราวกับงมเข็มในมหาสมุทรแอตแลนติกมาตลอด 17 วัน ก็บังเกิดประกายแสงแห่งความหวังขึ้น! เมื่อทีมกู้ภัยพบกระดาษที่ถูกเขียนข้อความภาษาท้องถิ่นด้วยหมึกสีแดง ที่ระบุว่า...

"Estamos bien en el refugio los 33"
"พวกเราทั้ง 33 คน ยังสบายดี อยู่ด้านล่างนี้"

เรื่องที่แทบไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว กลับกลายเป็นจริงได้อย่างเหลือเชื่อ!

17 วัน ที่ทั้ง 33 คน ติดอยู่ในหลุมลึกใต้โลกนี้ "พวกเขา" รอดชีวิตอยู่ได้อย่างไร? และเหตุใด "พวกเขา" จึงไม่สามารถขึ้นมาจากใต้ดินได้?

"ผมมองไม่เห็น แม้แต่มือที่อยู่ตรงหน้า"

ย้อนกลับไปวันที่ 5 สิงหาคม (อีกครั้ง) หลังเศษฝุ่นและควันในเหมืองเริ่มจืดจางลง 2 คนงานที่เพิ่งขับรถกระบะเข้าไปในเหมืองก่อนเกิดเหตุเพียงไม่นาน ก็ได้พบเห็นอะไรบางอย่าง?

ก้อนหินขนาดมหึมาสีดำขนาดยักษ์ สูงประมาณตึก 45 ชั้น น้ำหนักราว 770,000 ตัน หรือน้ำหนักมากเป็น 2 เท่าของตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State) ที่ร่วงลงมาตั้งตระหง่านขวางเส้นทางเข้าและออกเหมืองเอาไว้ โดยเขาเรียกอุปสรรคที่ขวางกั้นเส้นทางขึ้นสู่เบื้องบน ตรงหน้าว่า...

"มันดูราวกับเป็นแท่นหินปิดหลุมพระศพพระเยซู"

จากนั้นทั้ง 2 คนตัดสินใจขับรถคู่ใจมุ่งหน้าไปตามเส้นทางในอุโมงค์ที่กว้างเพียงประมาณ 12 ฟุต (3.6 เมตร) ที่ลึกลงไปในเหมือง และเพียงไม่นานทั้งสองคนก็ได้พบเข้ากับคนงานรวม 31 คน ที่กำลังรวมตัวกันอยู่ใน "ห้องเก็บอุปกรณ์ทำงาน"

เหมือนจะโชคดีที่พวกเขาทั้ง 33 คน รอดชีวิตจากเหตุเหมืองถล่มมาได้ แต่ในความเป็นจริงคือ...

พวกเขาทั้ง 33 คน ถูกขังอยู่ในเหมืองใต้ดินที่อยู่ลึกลงไปถึง 700 เมตร ด้วยก้อนหินขนาดมหึมา

พวกเขาทั้ง 33 คน เหลืออาหารในห้องเก็บอุปกรณ์ ที่เพียงพอสำหรับ คน 2 คนกินได้ 10 วัน

และที่สำคัญที่สุดคือ...ณ วันที่ 5 สิงหาคม ไม่มีใครเลยสักคนเหนือพื้นดินที่รู้ว่าพวกเขาทั้ง 33 คนยังรอดชีวิต รวมถึงพวกเขาอยู่ ณ จุดใดในเหมืองใต้ดินอันลึกลับซับซ้อนแห่งนี้!

...

วิธียืดชีวิต...เพื่อรอคอยความช่วยเหลือ

จำนวนอาหารที่ 31 คน จะกินประทังชีวิตได้เพียง 2 วัน ถูกนำมาจัดสรรในรูปแบบใหม่

ภายใต้อุณหภูมิที่ร้อนถึง 35 องศาเซลเซียส ทุกๆ 48 ชั่วโมง แครกเกอร์ราดปลาทูน่ากระป๋อง พร้อมนมและลูกพีชในปริมาณเท่าๆ กัน จะถูกแจกจ่ายให้แต่ละคนเพื่อเอาไว้กินแก้หิว ส่วนน้ำดื่ม นอกจากการปันส่วนอาหารแล้ว พวกเขาใช้วิธีค้นหาเอาตาม "ตาน้ำ" ตามธรรมชาติด้วย แต่แน่นอน...ว่ามันไม่มีทางช่วยให้อิ่มท้องหรือไม่เกิดความทุกข์ทรมานจากความกระหายได้ แต่อย่างน้อยทุกคนก็ยังมีอาหารและน้ำดื่ม เพื่อยืดชีวิตออกไปให้ยาวนานที่สุด

แต่นั่นไม่ใช่ความทุกข์ทรมานเพียงประการเดียวที่ทุกคนต้องเผชิญ ความชื้นภายในเหมืองที่ถูกปิดตาย ทำให้คนงานบางคนประสบปัญหาเชื้อราในร่มผ้าให้รำคาญใจ แล้วอะไรอีกล่ะ...ความมืดของสถานที่ก็ยังทำให้บางคนมีปัญหาเรื่องการมองเห็น ซ้ำเข้าไปอีก!

ทั้งหมดตามบรรทัดด้านบน คือ ความทุกข์ทรมานทางกายที่ต้องใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่จิตใจของแต่ละคนเริ่มเหนื่อยล้า ท้อแท้ รวมถึงเริ่มจะหมดหวัง

...

22 สิงหาคม 2010

จู่ๆ หัวสว่านขุดเจาะดินที่ทีมกู้ภัยใช้ค้นหาผู้รอดชีวิต ซึ่งทำงานอย่างไร้ความหวังมาหลายวันหลายคืนติดต่อกัน ก็พุ่งทะลุเข้ามายังเพดานห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินถึง 2,260 ฟุต (688 เมตร) ประกายแสงแรกแห่งความหวังถูกจุดขึ้นอย่างแทบไม่น่าเชื่อ!

"พวกเราแทบจะกระโดดกอดหัวสว่าน" หนึ่งในคนงานบอกเล่า

จากนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ได้ยินเสียงที่แสดงถึงการ "มีชีวิต" ครั้งแรก เมื่อเหล่าคนงานเหมืองพร้อมใจกันระดมเคาะไปที่หัวสว่านที่ทะลุเข้ามายังห้องเก็บอุปกรณ์ เพื่อพยายามบอกกับชาวโลกว่า พวกเขายังไม่ตาย ก่อนที่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชาวชิลีและชาวโลกที่กำลังลุ้นระทึกว่า "เสียง" ที่พวกเขาได้ยิน มันคือ สิ่งที่คนชิลีและชาวโลกกำลังปรารถนาหรือไม่? ก็ได้รับ "คำตอบ" ที่ชัดเจนที่สุด

"Estamos bien en el refugio los 33"
"พวกเราทั้ง 33 คน ยังสบายดี อยู่ด้านล่างนี้"

กระดาษข้อความที่ถูกผูกติดกับหัวสว่านขุดเจาะถูกนำขึ้นมาจากใต้พื้นโลก จากนั้นภาพวิดีโอแรกของคนเหมืองแห่งปาฏิหาริย์ก็ถูกนำเสนอผ่านทุกสำนักข่าวบนโลกใบนี้

...

นั่นแหละ...อีกหนึ่งปฏิบัติการกู้ภัยอันแสนสลับซับซ้อนและยุ่งยากมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จึงเริ่มต้นขึ้น และแน่นอน การนำทั้ง 33 ขึ้นมาจากใต้ดินลึกเกือบ 700 เมตร ย่อมไม่อาจทำได้ภายในระยะเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ!

"เนื่องจากสถานการณ์ภายในเหมืองยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อีกทั้งต้องมีการเจาะหลุมใหม่ ซึ่งจะต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 2 ฟุต เพื่อนำทั้ง 33 คนขึ้นมา มันอาจต้องใช้เวลานาน 3-4 เดือน" เจ้าหน้าที่กู้ภัยชิลี กล่าวยอมรับ

เมื่อต้องใช้เวลาเนิ่นนานขนาดนั้น สิ่งแรกที่ทีมกู้ภัยต้องทำในอีกหนึ่งวันต่อมา คือ การระดมส่งน้ำและอาหารลงไปให้กับคนงานที่กำลังอดอยาก รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ที่จะทำให้คนที่อยู่เบื้องล่าง สามารถติดต่อกับผู้เป็นที่รักผ่านท่อส่งของขนาดกว้างประมาณ 5 นิ้ว ที่มีระยะทางยาวเกือบ 700 เมตร

เทคโนโลยีและจิตใจอันเข้มแข็ง 2 กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ปฏิบัติการกู้ชีวิตจากใต้โลก

"พวกเรากำลังจะได้ออกไปจากที่นี่ ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า"

"มาริโอ โกเมซ" (Mario Gomez) ผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการพยุงให้อีก 32 คนงานยังมีชีวิตรอด ส่งข้อความที่ 2 จากโลกใต้ดินให้กับภรรยาสาว "ไลลา" (Lila) ที่รอคอยอยู่เบื้องบน

แผนปฏิบัติการ "ขุดกู้ชีวิต" จึงถูกร่างขึ้นถึง 3 แผน เพื่อรองรับปฏิบัติการที่เป็นไปได้ยากนี้ โดยสาเหตุที่ต้องดำเนินการแผนขุดกู้ชีวิตถึง 3 แผน ก็เพราะหากแผนใดแผนหนึ่งพบกับอุปสรรค การกู้ชีพ 33 ชีวิต ก็ยังคงเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง

แผน A ขุดลงไปที่ความลึกประมาณ 680 เมตร (เริ่มต้นขุด 30 สิงหาคม)

เป้าหมาย : บริเวณเหนือที่หลบภัยที่ทั้ง 33 คน ร่วมกันใช้ชีวิตอยู่

แผน B ขุดลงไปที่ความลึกประมาณ 620 เมตร (เริ่มต้นขุด 17 กันยายน)

เป้าหมาย : จุดที่ห่างจากจุดที่คนงานใช้หลบภัยประมาณ 100 เมตร

แผน C ขุดลงไปที่ความลึกประมาณ 600 เมตร (เริ่มต้นขุด 20 กันยายน)

เป้าหมาย : ห่างจากเป้าหมายตามแผน B ออกไปอีกเล็กน้อย

ซึ่งการขุดทั้ง 3 แผนนี้ จะมีการขยายขนาดความกว้างของโพรงให้ได้อย่างน้อย 65-70 เซนติเมตรเพื่อปฏิบัติการในลำดับถัดไปด้วย

โดยในระหว่างที่รอปฏิบัติการขุดกู้ชีวิตทั้ง 3 แผน สิ่งที่ทีมกู้ภัยจะต้องทำควบคู่ไปด้วยก็คือ "การบำรุงสภาพจิตใจ" ของคนงานทั้ง 33 คน

ไม่ว่าจะเป็นการให้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การบริการการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ นาซา (NASA) และผู้เชี่ยวชาญด้านเรือดำน้ำ ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในแง่การต้องดำรงชีวิตในพื้นที่คับแคบและไร้แสงสว่างเป็นเวลานานมาให้คำแนะนำและฟื้นฟูสภาพจิตใจแล้ว ในแง่ของสุขภาพกายยังมีการจัดทำตารางการออกกำลังกายมาให้กับคนงานเหมืองด้วย เพราะนอกจากจะทำให้พวกเขามีสภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว มันยังช่วยในแง่ที่ทำไม่ให้พวกเขามีเวลาว่างมากเกินไป จนเกิดความฟุ้งซ่านด้วย เพราะไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง จากทั้ง 3 แผน มันก็ต้องใช้ความ "อดทนรอคอย" อีกนานหลายเดือนเลยทีเดียว

อ่อ...เกือบลืมบอกไป สิ่งที่คนงานเหมืองทั้ง 33 คน ต้องทำคือ การเริ่มต้นควบคุมหรือลดน้ำหนักตัวอย่างจริงจัง โดยให้เน้นไปที่การรับประทานอาหารเสริม เช่น โยเกิร์ต, ซีเรียล, แซนด์วิช และกีวี

และอีกนิดนึง...พวกเขาทุกคนจะได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับคนในครอบครัวของตัวเองวันละ 20 วินาที เพื่อให้พวกเขาเกิดความสบายใจว่า คนข้างหลังยังคงรอคอยและเป็นห่วงพวกเขาอยู่เสมอ

นอกจากนี้ ทั้ง 31 คน ยังมีสิ่งที่ต้องปฏิบัติเหมือนๆ กัน คือ ทุกคนได้รับคำสั่งให้สวมถุงเท้ายางยืดชนิดพิเศษ ที่จะช่วยเรื่องระบบหัวใจและหลอดเลือดในระหว่างที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเหมืองใต้ดิน

ฟังดูแล้วไม่น่ามีปัญหาใช่ไหม? แค่สวมถุงเท้าแค่นี้ แต่คนงานเหมืองบางคนมีปัญหา เพราะถุงเท้าเจ้ากรรมดันเป็นสีชมพู แถมเมื่อร้องถามว่า มีสีอื่นไหม? คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ สวมมันซะ!

ได้เวลากลับสู่โลกเบื้องบน

"Nadie se queda abajo"
"ไม่มี ยังอยู่ข้างล่าง"

13 ตุลาคม 2010

ปฏิบัติการนำทั้ง 33 คนงานเหมืองที่ติดอยู่ใต้ดินลึก 700 เมตร รวมระยะเวลา 69 วัน สมบูรณ์พร้อมทุกขั้นตอนแล้ว

     1. แผน B ประสบความสำเร็จในการขุดเจาะและขยายโพรงให้มีขนาดกว้างประมาณ 70 เซนติเมตร ซึ่งมันกว้างมากพอที่จะนำแคปซูลฟีนิกซ์ (Phoenix) ยานลำเลียง น้ำหนัก 419 กิโลกรัม กว้าง 53 เซนติเมตร สูง 4 เมตร สอดเข้าไปได้

     2. คนงานเหมืองทั้ง 33 คน ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ จากนั้นจึงได้มีการจัดเรียงลำดับการขึ้นสู่พื้นโลกทีละคน

     3. การออกกำลังกายและการควบคุมน้ำหนักประสบความสำเร็จ คนงานทุกคนมีน้ำหนักและรูปร่างไม่เกินขนาดและน้ำหนักที่แคปซูลฟีนิกซ์จะรองรับได้

     4. การทดสอบ การขึ้นและลงในขั้นตอนสุดท้าย ของแคปซูลฟีนิกซ์ ไร้ปัญหา

00.11 น. ฟลอเรนซิโอ อาวาลอส (Florencio Avalos) อายุ 31 ปี กลายเป็นคนงานเหมืองคนแรกที่ได้รับความช่วยเหลือ โดยใช้เวลาขึ้นจากใต้เหมืองประมาณ 15 นาที

จากนั้นก็คนต่อไปและต่อไป จนกระทั่งครบทั้ง 33 คน และ "ไม่มีใครยังอยู่ข้างล่าง" อีกต่อไปแล้ว รวมระยะเวลาในการพาทั้งหมดขึ้นสู่พื้นโลกประมาณ 22 ชั่วโมงครึ่ง ท่ามกลางการตะโกนกู่ร้องก้องประเทศว่า "Viva Chile!"

ไม่มี ยังอยู่ข้างล่าง (Nadie se queda abajo) คือ คำมั่นสัญญาที่เขียนลงบนหมวกของ นายแพทย์ จีน โรมัญโญลี (Jean Romagnoli) ผู้ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของคนงานเหมืองทั้ง 33 คนอย่างใกล้ชิดในระหว่างที่ติดอยู่ในนรกใต้ดิน

โดยเมื่อทั้งหมดรอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ คุณหมอได้นำหมวกใบดังกล่าวไปให้ฮีโร่ของประเทศชิลีเซ็นเพื่อเป็นที่ระลึกด้วย.

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: