ในหลายปีที่ผ่านมา เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญหลากหลายรูปแบบ ซึ่งวิธีการซ่อนเร้นอำพรางศพก็มีหลายวิธี ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุก็มีหลากหลายรูปแบบ บางคนดูบุคลิกภายนอก ดูเป็นคนสุขุม สุภาพ พูดจาดี แต่ก็หาใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป

3 นาทีคดีดัง โดย ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาทุกท่านไปย้อนรอยคดีฆาตกรรมโหด 2 ศพ แม่ลูก ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2552

เช้าวันที่ 12 ตุลาคม 2552 ชายเก็บของเก่าคนหนึ่งได้นำอาหารมาให้สุนัข บริเวณกองขยะภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ถนนราชพฤกษ์ ซอยอินทาวาส ย่านตลิ่งชัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เขามักแบ่งอาหารให้กับสุนัขจรจัดบริเวณนั้น แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากทุกครั้งคือ เขาพบถุงขยะปริศนา 4 ถุงวางเรียงรายอยู่

ด้วยที่ทำอาชีพเก็บของเก่า เขาจึงพยายามเปิดถุงดำ 1 ใน 4 ใบนั้น ที่ถูดมัดอย่างแน่นหนา เมื่อแกะได้ จึงเทออกมาทั้งถุง พบศีรษะเด็กตกออกมา ภาพตรงหน้าทำให้เขาถึงกับผงะและรีบแจ้งความทันที จากการตรวจหลักฐานพบว่า ถุงอื่นๆ ก็คือชิ้นส่วนของเด็กที่ถูกหั่น แต่ไม่พบมือ ส่วนในร่างกายพบร่องรอยกระสุนปืน อีก 3 จุด

...

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ขณะนั้น) เผยว่า เด็กที่เสียชีวิตเป็นเด็กชาย อายุ 4-6 ขวบ คาดว่า เสียชีวิตไม่เกิน 4 ชั่วโมง เพราะเนื้อตัวยังนิ่ม เบื้องต้น ตำรวจยังไม่รู้ว่าเด็กเป็นใคร แต่เชื่อว่าฆาตกรต้องการทรมานเด็ก หรือใครสักคน เพราะร่างกายเด็กคล้ายถูกทารุณกรรมก่อนเสียชีวิต โดยอาจจะเชื่อมโยงอีกคดี คือ คดีฆาตกรรมหญิงสาวรายหนึ่ง ที่ถูกพบศพก่อนหน้านี้ 1 วัน บริเวณริมถนนวงแหวนรอบนอก ย่านลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี โดยหญิงรายนี้ ผิวพรรณดี หน้าตาดี ถูกจ่อยิงเสียชีวิต เช่นเดียวกัน

จากนั้น เพียงวันเดียว ฆาตกรตัวจริงก็โผล่ โดยเขาได้ติดต่อขอมอบตัวผ่าน สำนักข่าวไทย ชายใจทมิฬผู้นี้ คือ นายใหญ่ (นามสมมติ) โชเฟอร์ขับรถแท็กซี่ เขาอ้างว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ นางเอ (นามสมมติ) หญิงสาวที่กลายเป็นศพถูกทิ้งที่ข้างถนน ย่านลาดหลุมแก้ว

วันเกิดเหตุ นายใหญ่ได้ไปรับนางเอ จากสนามบิน โดยมีลูกติด 2 คน คือ น้องบี (นามสมมติ) ลูกติดสามีคนแรก อายุ 13 ปี และ น้องซี (นามสมมติ) วัย 5 ขวบ ลูกติดกับสามีคนที่ 2 ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น นั่งในรถด้วย โดยแม่ลูกทั้ง 3 คนนั่งอยู่ท้ายรถ โดยมีไอ้ใหญ่ เป็นคนขับ

ระหว่างทาง ไอ้ใหญ่อ้างว่า นางเอ ได้พูดจาดูถูก ด่าว่าไม่มีน้ำยา สั่งให้เขาไปลงมือฆ่าสามีชาวญี่ปุ่น แต่เขาไม่ยอม จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น จากนั้นได้คว้าปืนที่เตรียมมา หันกลับไปสาดยิงจนหมดแม็กจากนั้นก็ใส่ลูกกระสุน ยิงซ้ำอีกครั้ง

นางเอ กับ น้องซี เสียชีวิต ส่วนน้องบี บาดเจ็บแกล้งตาย แต่ถูกจับได้จึงร้องขอชีวิต ไอ้ใหญ่เลยพาตัวมาด้วย ระหว่างทาง เมื่อสบโอกาส จึงโยนร่าง นางเอ ทิ้งออกไปข้างถนน จากนั้นได้นำร่างน้องซีมาทำความสะอาด ก่อนหั่นศพใส่ถุงดำอำพรางนำไปทิ้ง

ท่าทีไอ้ใหญ่ ดูเป็นคนสุภาพ ดูภายนอกแทบไม่รู้ว่าเขาจะโหดถึงเพียงนี้ ไอ้ใหญ่ อ้างกับตำรวจว่า “ผมรักน้องซีมาก หลายเดือนที่ผ่านมา ก็ป้อนข้าว อาบน้ำ ผมไม่ได้เป็นโรคจิต หรือฆาตกร หลังน้องซีเสียชีวิต ยังนำศพมาอาบน้ำล้างตัว ตอนนั้นทำไปร้องไห้ไป ด้วยความเสียใจ แต่ที่หั่นศพเพราะตอนนั้นสับสน คิดว่าใส่ถุงขยะไปทิ้ง คงไม่มีใครสังเกตเห็น"

หลังมอบตัว ตำรวจส่งตัว น้องบี ไปรักษาที่โรงพยาบาล พร้อมเข้าสอบปากคำ แต่คำให้การของน้องบี กลับแตกต่างจากไอ้ใหญ่สิ้นเชิง

...

"เขาต้องการฆ่าอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีความขัดแย้งอะไร คุยกันปกติ แต่จู่ๆ ก็หยิบปืนมากราดยิง ตอนนั้น น้องซี ยังไม่ตาย ร้องไห้บอกเจ็บๆ เขาก็ยิงซ้ำ จนแน่นิ่ง จากนั้นเขาก็ได้บีบแขนน้องบี แม้จะเจ็บแต่ก็พยายามอดทน จากนั้นก็เขย่าตัว เจ็บจนทนไม่ไหว จึงได้ร้องขอชีวิต" เด็กสาววัย 13 ปี พยานคนสำคัญที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าให้ตำรวจฟัง

เหตุจูงใจในคดีนี้ ตำรวจเชื่อว่าเขาต้องการชิงทรัพย์ ซึ่งผู้ตายได้กลับมาจากต่างประเทศ และมีทรัพย์สินติดตัวอยู่มาก ซึ่งต่อมาก็ได้พบนาฬิกาหรู และแหวนเพชร ที่คนร้ายขโมยไป

คดีนี้ที่สุดแล้ว ตำรวจตั้งข้อหาหนักหลายข้อหา อาทิ ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามฆ่าผู้อื่น พ.ร.บ.อาวุธปืน ซ่อนเร้นทำลายศพ กักขัง และลักทรัพย์ คดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษา ประหารชีวิต ในความผิดหลายข้อหา ถึงแม้จำเลยจะสารภาพ แต่ลดโทษแล้วก็ยังไม่พ้นโทษประหารอยู่ดี

ต่อมาในปี 2554 ศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วย ให้ประหารชีวิตไอ้ใหญ่สถานเดียว ซึ่งไอ้ใหญ่ก็น้อมรับคำพิพากษาและบอกว่าจะไม่ต่อสู้คดีอีก

...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

3 นาทีคดีดังที่น่าสนใจ