• ถ้อยคำของ "โจ ไบเดน" ที่ขอร้องชาวอเมริกันยุติขัดแย้ง และปรองดองกัน มีความคล้ายคลึงกับสุนทรพจน์อดีตประธานาธิบดี "อับราฮัม ลินคอล์น" ผู้รวมสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งเดียวเมื่อกว่า 150 ปีก่อน

  • "โจ ไบเดน" เซ็นคำสั่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาแล้วกว่า 17 คำสั่ง หลังเข้าทำงานได้เพียง 2 วัน

  • อดีตประธานาธิบดี "โรนัลด์ เรแกน" คือ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ลงนามคำสั่งประธานาธิบดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ภายใน 8 ปี รวม 381 ฉบับ

20 มกราคม 2021 ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังก้าวย่างสู่การเริ่มต้นยุคใหม่ ภายใต้การนำของชายวัย 78 ปี ที่มีชื่อว่า "โจ ไบเดน"

หากแต่ฉากหลังท่ามกลางการเฉลิมฉลองแสดงความยินดีปรีดานั้น มันกลับถูกแฝงเร้นไปด้วยซากศพของชาวอเมริกันนับแสนที่เสียชีวิตจาก Covid-19 รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายในที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ บนดินแดนที่ถูกเรียกขานว่า "เสรีภาพ" แห่งนี้

ม็อบสนับสนุนอดีตประธานาธิบดี
ม็อบสนับสนุนอดีตประธานาธิบดี "ทรัมป์" บุกจู่โจมอาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 / Photo: REUTERS

...

โดยหลักฐานที่เป็นประจักษ์ถึงความขัดแย้งภายในที่ว่านั้น คือ ปรากฏการณ์อดีตประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ไม่ยินยอมไปปรากฏตัวในพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนใหม่

หนำซ้ำ ยังไม่...แม้แต่จะเอ่ยชื่อของผู้ที่จะเข้ามาแทนที่ตัวเองในทำเนียบขาวแม้แต่คำเดียว แม้ในฉากสุดท้ายของหัวโขนในฐานะผู้นำที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

อดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ แถลงอำลาตำแหน่งที่ฐานทัพอากาศ จอยท์ เบส แอนดรูวส์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 / Photo: REUTERS
อดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ แถลงอำลาตำแหน่งที่ฐานทัพอากาศ จอยท์ เบส แอนดรูวส์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 / Photo: REUTERS

"Come together and end the uncivil war"

"มาร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และยุติสงครามกลางเมือง"

คำร้องขออย่างสุภาพ และเป็นไปด้วยความจับใจที่ถือเป็นใจความสำคัญที่สุดในสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้มีบุคลิกสุภาพ อ่อนโยน จนดูราวกับเป็นคุณลุงผู้ใจดี ซึ่งเป็นภาพที่ตัดกับอดีตประธานาธิบดีคนที่แล้วอย่างสิ้นเชิง

"เราต้องยุติสงครามกลางเมืองระหว่างสีแดง (เดโมแครต) และสีน้ำเงิน (รีพับลิกัน), คนชนบทและคนเมือง, อนุรักษนิยม และเสรีนิยม

เราสามารถทำมันได้! หากเราเปิดจิตวิญญาณของเราแทนที่หัวใจอันหยาบกร้าน หรือหากเราแสดงออกซึ่งความอดทน อ่อนน้อม และเอาใจเขามาใส่ใจเรา"

"โจ ไบเดน" ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ในระหว่างพิธีสาบานตน ณ อาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 / Photo: AFP

...

ถ้อยคำร้องขอยุติความขัดแย้ง ความปรองดอง และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาติ ณ ปี 2021 นี้ แทบจะไม่แตกต่างไปจากสุนทรพจน์ของ อดีตประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ผู้รวมประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งเดียวเมื่อกว่า 150 ปีก่อน

"พวกเราหาใช่ศัตรูของกันและกัน แต่เป็นสหายกัน และถึงแม้ความเชื่ออาจทำให้เราบาดหมางกัน แต่มันจะไม่สามารถตัดขาดความรัก และสายสัมพันธ์ของเราไปได้"

อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว "คุณ" คิดเหมือนกันไหมว่า บางทีประเทศๆ หนึ่งแถวๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ปัจจุบันอุดมไปด้วยความปริแยก และลุกลามแทรกซึมไปทั่วถึงทุกอณูของสังคม แม้แต่สถาบันที่เล็กที่สุดในสังคมอย่าง "ครอบครัว" ก็ควรจะนำสุนทรพจน์แบบเดียวกันนี้มาบอกเล่าให้กับคนในประเทศนั้นได้รับฟังกันบ้างนะ!

เอาล่ะ...เราไปกลับไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกากันต่อดีกว่า!

อะไรคือ "ความเปลี่ยนแปลง" หลัง "ยุคใหม่" ของสหรัฐฯ

มันเริ่มต้นทันที หลังประธานาธิบดีคนที่ 46 ก้าวเท้าเข้าสู่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว 17 คำสั่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถูกเซ็นเพียงใน 2 วันแรกของการทำงาน

...

9 คำสั่ง ถูกเซ็นในวันที่ 20 มกราคม หลังพิธีสาบานตน
8 คำสั่ง ถูกเซ็นในวันที่ 21 มกราคม

ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ น้อยคนมากที่ฟิตจัดถึงขั้นไฟลุกได้ขนาดนี้

ประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี "โจ ไบเดน" ลงนามคำสั่งคณะบริหาร ณ ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2021 / Photo: AFP

โดยหากไม่นับมิสเตอร์ "โจ ไบเดน" แล้ว อดีตผู้นำสหรัฐฯ ที่ลงนามคำสั่งประธานาธิบดีตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน คือ อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ในปี 1993 หรือเมื่อ 28 ปีก่อน และคำสั่งประธานาธิบดีที่ว่านั้น ยังเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างระเบียบด้านจริยธรรมของผู้ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้นเสียด้วย!

...

ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ นั้น กว่าที่จะลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีฉบับแรกก็ปาไปโน่นเลย 2-3 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ!

นอกจากนี้ 17 คำสั่งของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพียงใน 2 วันแรกของการทำงานนั้น มันยังเกือบเท่ากับจำนวน 1 ใน 3 ของคำสั่งประธานาธิบดีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในช่วงปีแรกของการทำงานด้วย (ปี 2017 อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีไปทั้งสิ้น 55 ฉบับ)

ด้วยเหตุนี้...นอกเสียจากท่านประธานาธิบดีคนใหม่ วัย 78 ปี จะเป็นผู้ที่ทำให้ "โดนัลด์ ทรัมป์" ต้องระเห็จออกจากทำเนียบขาวแล้ว

อดีตประธานาธิบดี
อดีตประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" อำลาทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 / Photo: REUTERS

บางที...สถิติเดิมที่ท่านผู้นำทรัมป์ทำไว้ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ที่ออกคำสั่งประธานาธิบดีมากที่สุดในช่วง 4 ปีแรกของการงาน (รวม 212 ฉบับภายใน 4 ปี) ก็อาจจะถูกทำลายลงได้เช่นกัน

ส่วนอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ออกคำสั่งมากที่สุดเป็นลำดับที่ 2 ในช่วง 4 ปีแรกของการทำงาน คือ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช โดยทำสถิติไว้รวมทั้งสิ้น 166 ฉบับ ในระหว่างการดำรงตำแหน่งเมื่อปี 1989-1993 โดยในปีแรกของการทำงานออกคำสั่งไปทั้งสิ้น 31 ฉบับ

สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ...

1. อดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน (381 ฉบับ ภายในเวลา 8 ปี)
2. อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน (364 ฉบับ ภายในเวลา 8 ปี)
3. อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช (291 ฉบับ ภายในเวลา 8 ปี)

▸ 9 คำสั่ง หักหน้า "โดนัลด์ ทรัมป์"

ในจำนวนคำสั่งประธานาธิบดี 17 ฉบับ ของผู้นำคนใหม่นั้น มีถึง 9 ฉบับที่เป็นการยกเลิกคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีที่เพิ่งข่มใจเก็บของออกจากทำเนียบเสียด้วย

อะไรคือ การยกเลิก 9 คำสั่งของอดีตท่านผู้นำทรัมป์ที่ว่านั้นบ้าง?

     1. ยกเลิกการถอนตัวจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO

     2. ยกเลิกการถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Climate Accord) เพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อน

     3. ยกเลิกโครงการ Keystone XL ท่อส่งน้ำมันยักษ์ข้ามพรมแดนจากแคนาดาสู่โรงกลั่นในสหรัฐฯ รวมถึงตรวจสอบคำสั่งประธานาธิบดี ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ย้อนหลังอีกกว่า 100 คำสั่ง

     4. ยกเลิกคำสั่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา (1776 Commission) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ให้ผลักดันการศึกษาว่าด้วยความรักชาติ หลังถูกกล่าวหาว่าจัดทำรายงานที่ส่งผลให้เกิดความอคติทางเชื้อชาติ

     5. ยกเลิกคำสั่งห้ามบุคคลผู้ไร้สัญชาติเข้าไปรวมอยู่ในการสำรวจสำมะโนประชากรสำหรับผู้แทนรัฐสภา

     6. ยกเลิกคำสั่งห้ามชาวมุสลิมที่ถือหนังสือเดินทางจาก 7 ประเทศ เดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา

     7. ยกเลิกคำสั่งขยายขอบเขตการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสกัดกั้นผู้ลักลอบเข้าเมือง

     8. ยกเลิกคำสั่งประกาศภาวะฉุกเฉินที่นำไปสู่การระดมทุนสร้างกำแพงตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก เพื่อสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมือง

     9. ออกคำสั่งให้สำนักงานการบริหาร และงบประมาณของทำเนียบขาวแห่งสหรัฐฯ (Office of Management and Budget หรือ OMB ปรับปรุงหลักเกณฑ์และข้อบังคับ รวมถึงยกเลิกบางหลักเกณฑ์ที่อดีตประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" อนุมัติไปก่อนหน้านี้ด้วย

ประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี "โจ ไบเดน" ลงนามคำสั่งคณะบริหาร ณ ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2021 / Photo: AFP

ส่วนคำสั่งประธานาธิบดีอีก 8 ฉบับ ประกอบด้วย

     10. ขอให้ชาวอเมริกันร่วมมือร่วมใจกันสวมหน้ากากอนามัยเป็นระยะเวลา 100 วัน (100 Days Masking Challenge) และในเวลาที่ต้องไปติดต่อสถานที่ราชการจะต้องปฏิบัติตามมาตรการ "เว้นระยะห่างทางสังคม" และสวมหน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด

     11. แต่งตั้งผู้ประสานงานกลางในการต่อสู้กับการแพร่ระบาด Covid-19 ซึ่งจะทำหน้าที่ขึ้นตรงกับประธานาธิบดี

     12. ขยายระยะเวลาพักการชำระหนี้ทั่วไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม

     13. ขยายระยะเวลา หรือหยุดพักการชำระหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน

     14. ป้องกันการแบ่งแยกเพศ และเพศสภาพในสถานที่ทำงาน

     15. สนับสนุนโครงการคุ้มครองทางกฎหมายแก่คนหนุ่มสาวผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายพร้อมครอบครัวเมื่อยังวัยเยาว์ (Deferred Action for Childhood) หรือ DACA

     16. ขยายระยะเวลาการเนรเทศ และการอนุญาตทำงาน สำหรับผู้อพยพชาวไลบีเรีย ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน

     17. ให้ผู้บริหารที่ได้รับการแต่งตั้งลงนามในข้อกำหนดการปฏิบัติตนตามมาตรฐานทางจริยธรรม

เหตุใดจึงต้องเร่งร้อนรัวเซ็นคำสั่งประธานาธิบดีถึง 17 ฉบับ หลังก้าวเท้าเข้าทำเนียบขาว?

นักวิเคราะห์การเมืองมองตรงกันว่า แอ็กชั่นเล่นใหญ่ของไบเดนในครั้งนี้ เป็นความต้องการสื่อสารกับชาวอเมริกันอย่างตรงไปตรงมาว่า "วันใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว" โดยเฉพาะ 2 ประเด็นหลักที่ชาวอเมริกันทั้งชาติฝากความหวังไว้

ม็อบสนับสนุนอดีตประธานาธิบดี
ม็อบสนับสนุนอดีตประธานาธิบดี "ทรัมป์" บุกจู่โจมอาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 / Photo: REUTERS

1. การแก้ไขปัญหา Covid-19

การเผชิญหน้ากับผลกระทบในวงกว้างทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม จากภาวะการแพร่ระบาดโรค Covid-19 คือ แรงกดดันที่ผู้นำสหรัฐฯ ต้องเผชิญอย่าชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่จะทำให้ชาวอเมริกันเชื่อได้สนิทใจว่า วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วจริง คือ การแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วและตรงจุด ซึ่งแทบไม่เคยพบเห็นจากผู้นำคนก่อน (มิสเตอร์ทรัมป์)

ด้วยเหตุนี้ ไบเดนจึงตัดสินใจเลือกทำเนียบขาวเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับรัฐต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการทำงาน รวมถึง จะทบทวนหรือยกเลิกข้อกำหนดด้านสาธารณสุขต่างๆ ที่เคยออกมาในสมัยทรัมป์ หากเห็นว่า ข้อกำหนดดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับภาวะแวดล้อม หรือระบบสาธารณสุขที่จะให้บริการแก่ประชาชนด้วย

2. การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในชาติ

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจในฐานะประธานาธิบดีเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองอย่างกว้างขวางในชนิดที่แทบไม่เคยปรากฏมาก่อน

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน และทีมที่ปรึกษา จึงอุทิศเวลา 3 เดือนก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เพื่อเร่งหาทางออกในประเด็นให้จงได้ เพราะเหตุผล ไม่ต่างจากข้อแรก ผู้นำคนใหม่มีเวลาน้อยมากๆ อีกเช่นกันในการแสดงฝีมือให้ชาวอเมริกันเชื่อว่า "วันใหม่ได้มาถึงแล้ว"

ด้วยเหตุนี้ การพุ่งชนไปที่ "เป้าหมายแรกๆ" อันเกิดจากโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองของมิสเตอร์ทรัมป์ จึงต้องเกิดขึ้นชนิดทันทีทันใด เพื่อให้ชาวอเมริกันได้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมอย่างชนิดที่เรียกว่า Full HD เต็มๆ สองตา

ไม่ว่าจะเป็นการจัดลำดับความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ หรือทบทวนนโยบายที่เป็นการส่งเสริมการเหยียดเชื้อชาติอย่างเป็นระบบ ซึ่งเกิดขึ้นจากน้ำมือของท่านผู้นำทรัมป์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา.

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: