8,167 ศพ จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ 10.3 ล้านคน ในจำนวนนั้น เกือบ 1,800 ศพ เป็นการเสียชีวิตนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน และมากกว่า 500 ศพ เพิ่งเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (13-19 ธ.ค.) ในขณะที่ จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 389,439 คน (ตัวเลข ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2020)

โดยทั้งหมดนั้นเกิดจากสาเหตุเพียงประการเดียว คือ โรค Covid-19!

ณ ที่นั้น มีแต่เสรีภาพ ไม่มีการ Lockdown การสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นเรื่องไร้ความจำเป็น โดยมีเพียงคำแนะนำให้ปฏิบัติ คือ สำนึกรับผิดชอบส่วนตัวที่พลเมืองควรอยู่ห่างกันตามที่ตัวเองเห็นถึงความเหมาะสม รวมถึงอ้อนวอนให้ผู้คนจำกัดการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม รวมถึงคนในครอบครัวเท่าที่มีความจำเป็น อ๋อ...และหากใครไม่ปฏิบัติตามคำขอร้องนี้ ไม่ต้องวิตก เพราะจะไม่มีบทลงโทษใดๆ!

ณ ที่นั้น คือ ประเทศสวีเดน หนึ่งในประเทศที่แหวกธรรมเนียมปฏิบัติระบบสาธารณสุขโลก เรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด Covid-19 โดยลูกหลานเทพเจ้าธอร์เรียกธรรมเนียมปฏิบัติทางสาธารณสุขเฉพาะตัวนี้ว่า "การผสมผสานระหว่างมาตรการทางกฎหมายและความสมัครใจ" ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างอื้ออึงจากทั่วโลก

อะไรคือ กลยุทธ์ของสวีเดน?

"This is not a sprint, it's a marathon."

"นี่ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น มันคือการวิ่งมาราธอน"

บรรทัดด้านบน คือ วรรคทองที่รัฐบาลสวีเดนมักหยิบจับขึ้นมาใช้ตอบโต้ประเทศอื่นๆ แบบวนลูป เมื่อถูกตั้งคำถามที่ว่า เหตุใดจึงไม่เพิ่มมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาด ทั้งๆ ที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวันสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบสแกนดิเนเวียและอยู่ในลำดับต้นๆ ของทวีปยุโรป โดย แอน ลินด์ (Ann Linde) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสวีเดน ตอบโต้ประชาคมโลกที่เปิดปากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสวีเดนอย่างเผ็ดร้อน เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า...

...

"ยุทธศาสตร์ของสวีเดนไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวัดอัตราการเสียชีวิตแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ เพราะยุทธศาสตร์ของสวีเดนมุ่งไปที่ผลในระยะยาว ในประเด็นเรื่องวิธีการที่จะสามารถรักษาชีวิตผู้คน และปกป้องระบบสาธารณสุขของประเทศ รวมถึงทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่า สังคมและชาวสวีดิชจะไม่ได้รับอันตรายให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของ Covid-19 ในสวีเดนได้เริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงแล้ว เช่นเดียวกับจำนวนผู้ป่วยหนักก็กำลังลดลงอย่างมากเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น แต่มันคือการวิ่งมาราธอน"

ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ โจฮันส์ คาร์ลสัน (Johan Carlson) ผู้อำนวยการหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสวีเดน ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หลายชาติในยุโรปที่นำมาตรการ Lock Down มาใช้ในประเทศของตัวเองว่า...

"มาตรการ Lock Down ไม่ใช่หนทางเพื่อวันข้างหน้า และปรัชญาของสวีเดน คือ การสร้างสถานการณ์ที่ผู้คนสามารถใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ ภายใต้ความคาดหวังและข้อจำกัดที่มีอยู่"

แต่ข้อเท็จจริง มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลสวีเดนพยายามยืนยันมาโดยตลอดว่า "ตัวเองเดินมาถูกทางแล้ว" โดยเฉพาะเมื่อฤดูหนาวเหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนของชาวไวกิ้ง

นับตั้งแต่พบการแพร่ระบาดในประเทศครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม จำนวนผู้ติดเชื้อในสวีเดนเริ่มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยวันที่ 24 มิถุนายน ถือเป็นการพบผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดในช่วงการระบาดรอบแรกอยู่ที่ 1,698 คน แต่พอเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในเดือนตุลาคม ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มทะยานสูงขึ้นแตะหลัก 1,000 คนต่อวัน และล่าสุด วันที่ 17 ธันวาคมเพียงวันเดียว มีผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดถึง 9,647 คน!

สถานการณ์ล่าสุดในประเทศสวีเดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของประเทศ เริ่มเลวร้ายลงทุกขณะเมื่อลมหนาวเริ่มพัดผ่านเข้าประเทศ โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพียงวันเดียวสูงถึง 2,406 คน ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขสูงสุด 2,412 คน ในการระบาดระลอกแรก เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมาแล้ว ตามรายงานของคณะกรรมการด้านสุขภาพและสวัสดิการแห่งชาติของสวีเดน

นอกจากนี้ ตามรายงานอย่างเป็นทางการยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยว่า "การผสมผสานระหว่างมาตรการทางกฎหมายและความสมัครใจ" ที่ รัฐบาลสวีเดนเลือกใช้นั้น ล้มเหลวอย่างชัดเจนในการปกป้องกลุ่มผู้สูงอายุ โดยผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 ในสวีเดนนั้น มากถึง 90% เป็นผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตที่ว่านั้นเป็นผู้ที่อยู่ในบ้านพักคนชราของรัฐบาลเสียด้วย

หนำซ้ำเมื่อเมียงมองไปยังประเทศที่อยู่ภายใต้บริบทที่แทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งเลือกที่จะใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดกว่า มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สวีเดนกำลังเลือกวิธีการที่ผิดพลาดในการรับมือกับ Covid-19

สถิติผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจาก Covid-19 เมื่อเทียบต่อประชากร 1 ล้านคนในกลุ่มประเทศนอร์ดิก (Nordic)

อย่างไรก็ดี ภายใต้คำโต้ตอบที่พูดซ้ำไปวนมาที่ว่า "นี่ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น มันคือ การวิ่งมาราธอน เพราะเราหวังผลในระยะยาว" นั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เหตุผลที่รัฐบาลสวีเดนให้น้ำหนักสำหรับแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ Covid-19 คือ ปากท้องของผู้คนมากกว่าจำนวนคนเจ็บป่วย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลสวีเดนจะพยายามออกมาปฏิเสธในประเด็นนี้ก็ตาม พร้อมกับยกข้อมูลของหลายประเทศในยุโรปที่เลือกใช้มาตรการ Lockdown แต่ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ในขณะที่ วิธีการของสวีเดนจะสามารถจำกัดการสูญเสียงานและผลกระทบต่อภาคธุรกิจได้ดีกว่า

...

"สวีเดนก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มนอร์ดิก (Nordic) คือ เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็ก ซึ่งต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก ดังนั้น หากเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ เศรษฐกิจของสวีเดนก็ย่อมมีแนวโน้มที่จะย่ำแย่ตามเช่นกัน และถึงแม้บริษัทห้างร้านต่างๆ จะยังคงสามารถเปิดทำการตามปกติ แต่ทั้งหมดที่กล่าวไปก็ล้วนแล้วแต่จะต้องดิ้นรนอย่างหนักในการหาลูกค้า" คาโรลินา แอคอห์ม (Karolina Ekholm) อดีตรองผู้ว่าการธนาคารกลางสวีเดน วิเคราะห์แนวทางของรัฐบาลสวีเดนเอาไว้ก่อนหน้านี้

ขณะที่ รายงานวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลของประเทศที่ตัดสินใจใช้มาตรการ Lockdown เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของ Covid-19 แม้จะประสบความสำเร็จเรื่องลดการติดเชื้อของคนในประเทศได้จริง แต่ราคาแสนแพงที่ต้องแลกมา นั่นก็คือ ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ รวมถึงยังเป็นส่วนหนึ่งที่ฉุดให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ สวีเดนจึงเลือกที่จะแตกต่างจากประเทศอื่นๆ

แต่คำถามที่ตามมาดังๆ คือ เมื่อต้องตัดสินใจเลือก "ปากท้อง" แล้วพยายามมองข้าม "Covid-19" ไป ผลลัพธ์ที่ได้มามันคุ้มค่ากับสิ่งที่แลกไปหรือไม่?

การเปิดกว้างให้ชาวสวีดิชเสี่ยงมากขึ้นในการรับเชื้อ Covid-19 เพื่อให้เศรษฐกิจยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้ ไม่ว่าจะเป็น การยังคงอนุญาตให้เปิดโรงเรียน มหาวิทยาลัย ผับ บาร์ ห้างสรรพสินค้า บริการขนส่งสาธารณะ ร้านอาหาร และสำคัญที่ต้องไม่ลืม คือ ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย โดยมีหลายฝ่ายพยายามอธิบายว่า เหตุผลที่รัฐบาลสวีเดนตัดสินใจทำลงไปเช่นนั้น ก็เพื่อเปิดทางไปสู่แนวโน้มที่จะทำให้เกิด "การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่" (Herd immunity) หรือการให้ประชากรส่วนใหญ่สัมผัสกับไวรัสเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาด้วยตัวเอง ซึ่งว่ากันว่าน่าจะเป็นวิธีการที่ยั่งยืนในการสกัดกั้นการแพร่ระบาด

...

อืม...ฟังดูตามทฤษฎีแล้วเหมือนจะดูดีกว่า มาตรการ Lockdown อย่างเห็นได้ชัดใช่ไหม?

หากแต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คือ รายงานการวิจัยของสำนักด้านสาธารณสุขของสวีเดนระบุว่า ในช่วงระยะ 5 เดือนของการแพร่ระบาด Covid-19 ในยุโรป มีเพียง 6% ของจำนวนประชากรเท่านั้นที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรค (Antibody) ขึ้นมาได้

นอกจากนี้ เมื่อสถาบันแคโรลินสกา (Karolinska) สถาบันด้านการแพทย์อันเก่าแก่และมีชื่อเสียงของสวีเดน อ้างรายงานผลการทดสอบ ที่ระบุว่า พบภูมิคุ้มกันโรคในประชาชนที่ไม่เคยติดเชื้อ Covid-19 มาก่อน แต่นักระบาดวิทยาจากหลายประเทศ หรือแม้แต่ในสวีเดนเอง ก็ยังมีข้อโต้แย้งรายงานทางวิชาการดังกล่าว และย้ำว่ายังไม่ควรเชื่อมั่นในผลสรุปนี้มากเกินไปว่าจะมีผลต่อตัวเลขผู้ติดเชื้อในสวีเดน โดยเฉพาะเมื่อประเทศเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว

และแล้วเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็น "ความจริง" ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ "ผลลัพธ์" สำหรับสิ่งที่เลือกตัดสินใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจาก Covid-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แต่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ ไร้ซึ่งวี่แววว่าจะเกิดปรากฏการณ์ "การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่" เพื่อทำให้การระบาดระลอกที่ 2 ในช่วงฤดูหนาวไม่หนักหนาอย่างที่ "คาดหวัง" ไว้....มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง!

ตัวเลขผู้เสียชีวิตและการรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยจำนวนมหาศาล จนกระทั่งมีบางคนต้องเสียสละเพื่อให้อีกคนอยู่ต่อ คือ ต้นทุนมนุษย์ ที่มีค่ามหาศาลมากมายยิ่งกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจใดๆ มิใช่หรือ?

มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ศาสตราจารย์ มาร์ก ลิปซิตซ์ (Marc Lipsitch) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จะเรียกทางเลือกนี้ว่า "นอกจากมันจะไม่ใช่วิธีการในการแก้ไขปัญหาแล้ว มันยังเป็นการยอมจำนนต่อไวรัสที่สามารถป้องกันได้ด้วย"

...

เราสามารถปกป้องเศรษฐกิจจากยุทธศาสตร์สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้จริงหรือ?

ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของสวีเดน หดตัวลงถึง 8.6% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ในขณะที่ ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างนอร์เวย์หดตัว 6.3% ฟินแลนด์หดตัวลง 3.2% และเดนมาร์กหดตัวลง 7.4% ในขณะที่ ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ สวีเดนเติบโต 4.3% นอร์เวย์เติบโต 5.2% ฟินแลนด์เติบโต 3.3% และเดนมาร์กเติบโต 4.9%

ในขณะที่ อัตราการว่างงานรายเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 - ตุลาคม 2020

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏดั่งที่ไล่เรียงไปที่สุดแล้ว ผู้นำสวีเดนจึงออกมายอมรับเสียงอ่อนๆ ต่อสาธารณชนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า...

ก่อนจะหลุดคำเตือนอย่างหนักแน่น กำชับไปถึงชาวสวีดิชทั้งผองอีกว่า...

"Don’t go to the gym, don’t go to the library, don’t have dinner out, don’t have parties — cancel!"

"เลิกไปยิมฯ เลิกไปห้องสมุด เลิกออกไปดินเนอร์ เลิกปาร์ตี้ ยกเลิกให้หมด!"

ด้วยเหตุนี้ล่าสุด รัฐบาลสวีเดนจึงต้องกลั้นใจออก 7 มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด Covid-19 ที่มีความเข้มงวดขึ้นกว่ามาตรการเดิมที่ใช้อยู่ ซึ่งเริ่มใกล้เคียงกับที่หลายๆ ชาติในโลกบังคับใช้กับประชาชนในที่สุด

     1. ห้ามผับ บาร์ และร้านอาหาร เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังเวลา 20.00 น. มีผลในวันที่ 24 ธันวาคมเป็นต้นไป (จากเดิม 22.00 น.)

     2. ห้ามร้านอาหารจัดโต๊ะอาหารเกิน 4 คน (จากเดิมสูงสุด 8 คน)

     3. ศูนย์การค้า ร้านค้า และสถานที่ออกกำลังกายในร่ม ต้องมีการจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการในแต่ละช่วงเวลา และไม่ควรมีการจัดการส่งเสริมการขายหลังเทศกาลคริสต์มาส เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนรวมตัวกันมากจนเกินไป (จากเดิมอนุญาต)

     4. ให้โรงเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมปลายขึ้นไปขยายระยะเวลาการเรียนออนไลน์ ออกไปจนถึงวันที่ 24 มกราคม 2021

     5. สั่งปิดให้บริการสถานที่สาธารณะของทางราชการ เช่น สระว่ายน้ำ ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์ จนถึงวันที่ 24 มกราคม (จากเดิมอนุญาต)

     6. ให้ประชาชนสวมหน้ากากเวลาใช้บริการขนส่งสาธารณะ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มกราคมเป็นต้นไป (จากเดิมไม่ต้องสวม)

     7. ให้ประชาชนเน้นการ Work from home เป็นหลัก ยกเว้นบางตำแหน่งงานที่มีความจำเป็นต้องเข้าไปทำงานที่สถานประกอบการ

ซึ่งทั้ง 7 มาตรการตามบรรทัดด้านบน คงไม่อาจตีความได้เป็นอย่างอื่น นอกจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็น "ข้อเท็จจริง" ที่ไม่อาจใช้ "โวหาร" โต้แย้งได้อีกต่อไป และการทดลองของรัฐบาลสวีเดนได้ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดลงเสียที

เศรษฐกิจของสวีเดนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับการค้าโลก ด้วยเหตุนี้จึงย่อมต้องได้รับผลกระทบไม่ต่างจากชาติอื่นๆ ในทวีปยุโรป ถึงแม้ว่า รัฐบาลสวีเดนจะพยายามทลายข้อจำกัดใดๆ ในระหว่างการแพร่ระบาดโรค Covid-19 ก็ตาม หากแต่...การดำเนินนโยบายเช่นนั้น นอกจากจะทำให้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากขึ้นแล้ว มันยังไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจของสวีเดนดีขึ้นแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะวิถีในแบบของสวีเดนนั้น ให้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยท่ามกลางความตายและความทุกข์ยาก เคลลี บิจอกลุนด์ (Kelly Bjorklund) นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และศาสตราจารย์ แอนดรู อีวิงซ์ (Andrew Ewing) แห่งมหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์กและสมาชิกของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสวีเดน ให้คำจำกัดความ นโยบายอันผิดพลาดของรัฐบาลสวีเดน ในการทำสงครามกับ Covid-19!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: