"เราควบคุมมันได้ทั้งหมด และมันจะต้องดีขึ้น"
โดนัลด์ ทรัมป์ อายุ 74 ปี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ประกาศไว้ ณ วันที่ 22 มกราคม 2020
แต่ในความเป็นจริง...มันหาเป็นเช่นนั้นไม่!
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้นำของประเทศที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในโลก แต่เพราะไวรัสที่เล็กขนาดมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทำให้ชายที่ทรงพลังอำนาจคนนั้นต้องพ่ายแพ้และไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตนเองได้ รวมถึงล่าสุดคือ เก้าอี้ของตัวเอง
ข้อเท็จจริงที่ยืนยันในเรื่องนี้ คือ ตัวเลขล่าสุดของ Covid-19 ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้ว 283,658 ราย และติดเชื้อ 14,944,968 คน (ตัวเลขจากมหาวิทยาลัย John Hopkins ณ วันที่ 8 ธ.ค. 2020)
"มันจะหายไปในวันหนึ่ง มันเหมือนปาฏิหาริย์ แล้วมันจะหายไป" ประธานาธิบดีคนที่ 45 แห่งสหรัฐฯ กล่าวย้ำอีกครั้ง ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2020
แต่ในความเป็นจริง มันก็ยังคงอยู่บนดินแดนแห่งเสรีภาพ ภราดรภาพ และไม่ได้หายไปไหน? จนถึงตอนนี้!
...
ซึ่งประเด็นสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ...การกระหน่ำทวีตของท่านผู้นำทรัมป์สามารถสร้างความเข้าใจผิดในหลายๆ ประเด็นเกี่ยวกับ Covid-19 ทำให้ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งเกิดหลงเชื่อ และเกิดความสับสน จนทำให้ประเทศต้องพบกับความเลวร้ายด้านสาธารณสุขในรอบศตวรรษ
แล้วอะไรคือ การสร้างความเข้าใจผิดที่ว่านั้นบ้าง?
1. หลงเข้าใจว่า Covid-19 คือ ไข้หวัดใหญ่
"โรคไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลกำลังจะมาถึง ในทุกๆ ปีจะมีผู้ป่วยจำนวนมาก บางครั้งอาจมากถึง 100,000 คน และถึงแม้จะได้รับวัคซีนก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่นี้ เรากำลังจะต้องถึงขั้นปิดประเทศหรือไม่? ไม่! เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เหมือนกับที่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับ Covid-19 ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตน้อยมากหากเทียบกับสัดส่วนประชากรส่วนใหญ่" ทวิตเตอร์ โดนัลด์ ทรัมป์ (6 ตุลาคม 2020)
หลังการทวีตของท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในสหรัฐฯ ได้ออกมาโต้แย้งท่านผู้นำยกใหญ่ โดยยืนยันว่า ไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับ Covid-19 ได้ เพราะ Covid-19 มีระดับความรุนแรงและทำให้มีผู้เสียชีวิตได้มากกว่า เห็นได้จากล่าสุด ยอดสะสมของผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสูงถึง 283,658 รายแล้ว ในขณะที่ ตามสถิติของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ระบุว่า ในปี 2018-2019 มียอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ทั้งสิ้นประมาณ 34,157 ราย
2. การสวมหน้ากากอนามัยไม่มีความจำเป็น
"ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า หากทุกคนสวมหน้ากากอนามัย แล้วทุกอย่างจะหายไป" โดนัลด์ ทรัมป์ (19 กรกฎาคม 2020)
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันในช่วงแรกของการแพร่ระบาด Covid-19 ว่า ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกา ทำให้นอกจากจะไม่มีการเตือนหรือเน้นย้ำให้ประชาชนควรสวมหน้ากากอนามัยเวลาออกไปสถานที่สาธารณะแล้ว ตัวผู้นำสหรัฐฯ บรรดาผู้ใกล้ชิดและเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยังไม่ให้สวมหน้ากากอนามัย เพื่อยืนยันในความเห็นของมิสเตอร์ทรัมป์
3. เพิกเฉยต่อการใช้ระบบสาธารณสุขนำการเมือง
"ที่เรามีผู้ป่วยสูงกว่าประเทศอื่นๆ เพราะเราตรวจคนของเรามากกว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้น เราจึงควรตรวจให้น้อยลง" โดนัลด์ ทรัมป์ (21 มิถุนายน 2020)
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด โดนัลด์ ทรัมป์ จงใจมองข้าม Covid-19 และยอมให้รัฐต่างๆ ยกเลิกมาตราการ Lockdown เร็วเกินไป เพื่อเอาใจฐานเสียงของตัวเอง จนนำมาสู่สารพัดปัญหาที่ยากจะควบคุม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบโรคและการติดตามผู้ป่วย นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเพิกเฉยต่อคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่ให้ยกระดับระบบติดตามผู้ป่วยและการตรวจหาผู้ติดเชื้อให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เหมือนเช่นที่ เยอรมนี นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ นำมาใช้ จนประสบความสำเร็จด้วย
...
4. เข้าใจว่าการผลิตวัคซีนป้องกันโรค Covid-19 จะสามารถทำขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน
"ผมคิดว่า ชาวอเมริกันจะสามารถเข้าถึงวัคซีน Covid-19 ได้ในเร็วๆ นี้" โดนัลด์ ทรัมป์ (2 มีนาคม 2020)
ในระหว่างการประชุมกับเหล่าบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว ท่านประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความมั่นใจว่า วัคซีนป้องกันโรค Covid-19 น่าจะสามารถผลิตขึ้นได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งๆ ที่ นพ.แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผอ.สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ยืนยันในระหว่างการหารือแล้วว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 1 ปี หรือไม่ก็ 18 เดือน สำหรับการผลิตวัคซีนที่จะสามารถกำจัดโรคนี้ได้
และก็จริงดังว่า...ล่าสุดย่างเข้าสู่เดือนธันวาคม แม้จะเริ่มใกล้เคียงความจริงที่จะได้วัคซีนดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานที่เร็วเกินกว่าที่คาดหมายไปเยอะ แต่มันก็ยังอยู่ในขั้นทดลอง และได้รับการการันตีว่า ได้ผลยังไม่เต็ม 100% รวมทั้งกว่าที่ประชาชนทั่วๆ ไปจะได้รับวัคซีนชนิดที่ยังไม่เต็ม 100% นี้ก็อาจจะต้องล่วงเข้าถึงช่วงกลางปี 2021
...
ถึงเวลา 3 อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกหน้าทำเพื่อชาติ อาสาทดลองวัคซีน Covid-19
และอาจจะด้วยเหตุดังที่กล่าวไป อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา วัย 59 ปี (อดีตประธานาธิบดีคนที่ 44) จอร์ดับเบิลยู บุช วัย 74 ปี (อดีตประธานาธิบดีคนที่ 43) และบิล คลินตัน วัย 74 ปี (อดีตประธานาธิบดีคนที่ 42) จึงต้องออกมาประกาศพร้อมเป็นอาสาสมัครทดลองวัคซีน Covid-19 ต่อสาธารณชน เพื่อหวังสร้างความมั่นใจให้กับชาวอเมริกัน ทันทีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ อนุมัติให้สามารถนำไปทำการทดลองในมนุษย์ได้
"คนอย่าง นพ.แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผอ.สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ผมรู้จักเขาดี เพราะผมเคยทำงานร่วมกับเขามาก่อน ด้วยเหตุนี้ผมจึงเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยม เพราะฉะนั้น หากคุณหมอเฟาซีบอกว่า วัคซีนป้องกัน Covid-19 ปลอดภัย และสามารถใช้งานมันได้ นั่นก็แปลว่า มันสามารถป้องกันโรคนี้ได้แน่นอน และผมพร้อมที่จะไปฉีดวัคซีนนั้นทันที นอกจากนี้ ผมยังยินดีที่จะให้มีการเผยแพร่การเข้ารับการฉีดวัคซีนครั้งนี้ผ่านสื่อมวลชน เพื่อให้ชาวอเมริกันเกิดความมั่นใจด้วย" อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ให้สัมภาษณ์ยืนยันในรายการโทรทัศน์ชื่อดังของสหรัฐฯ
...
"เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ท่านอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ยินดีที่จะทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อกระตุ้นให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค Covid-19 และท่านอดีตประธานาธิบดียังพร้อมยินดีที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยมีสื่อมวลชนเป็นสักขีพยาน เพื่อให้ชาวอเมริกันทุกคนเกิดความมั่นใจด้วย" เฟรดดี้ ฟอร์ด (Freddy Ford) หัวหน้าทีมงานของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ยืนยันผ่านสื่อ
"อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า พร้อมเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค Covid-19 ทันทีที่กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ แจ้ง และยินดีที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนต่อสาธารณชน หากสามารถช่วยให้ชาวอเมริกันตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนีได้" แองเจล อูเรนา (Angel Urena) เลขาส่วนตัวของอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ยืนยันผ่านสื่อ
โดยปฏิกิริยาของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ทั้ง 3 คน มีขึ้นหลัง นพ.แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผอ.สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ และคณะทำงานเฉพาะกิจด้านการควบคุมไวรัสโควิด-19 ของทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook ว่า...
"ในเวลานี้ รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ทำสัญญากับบริษัทหลายแห่ง เพื่อผลิตวัคซีนประมาณ 600 ล้านโดส ซึ่งมากพอสำหรับชาวอเมริกันร่วม 300 ล้านคน โดยกลุ่มแรกที่ควรได้รับวัคซีนในระหว่างเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมีนาคมปี 2021 คือ เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข และบรรดาผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จากนั้นเมื่อเริ่มเข้าเดือนเมษายน-มิถุนายน ซึ่งการฉีดวัคซีนน่าจะคลอบคลุมบรรดากลุ่มเสี่ยงได้ทั้งหมดแล้ว ลำดับถัดไป จึงค่อยๆ ทยอยฉีดให้กับประชาชนทั่วไป ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ เช่น บรรดาคนในวัยหนุ่มสาว ที่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างคล่องตัว โดยเบื้องต้น เมื่อประชากร 75-80% ได้รับวัคซีนป้องกันเมื่อสิ้นสุดช่วงไตรมาสที่ 2 ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการป้องกันประเทศนี้ จากการแพร่ระบาดในระดับอันตรายได้แล้ว"
และข้อมูลล่าสุดที่คุณควรรู้สำหรับวัคซีนป้องกันโรค Covid-19
1. ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกัน Covid-19 กี่ชนิดกันแล้ว?
ปัจจุบันมีวัคซีนที่ว่านี้จากหลายสิบบริษัทที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาทั่วโลก แต่มีเพียง 2 บริษัท คือ บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และบริษัมโมเดอร์นา (Moderna) ที่อ้างว่า ประสบความสำเร็จในการต่อต้านไวรัสโคโรนาได้ระดับ 95% และ 94% และล่าสุด ทั้ง 2 บริษัทได้ยื่นขออนุญาตใช้ในกรณีฉุกเฉินกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ให้ส่งมอบวัคซีนดังกล่าวภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้แล้ว
โดยทั้งบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นาผลิตวัคซีนที่มุ่งเน้นไปที่การใช้สารสังเคราะห์ mRNA ของไวรัส SARS-CoV-2 (ชื่ออย่างเป็นทางการของ Coronavirus ที่ทำให้เกิดโรค Covid-19) เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ในการป้องกันโรคดังกล่าวโดยไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ นอกจากนี้ คาดว่าจะมีวัคซีนชนิดอื่นๆ ตามออกมาในเร็วๆ นี้ เช่น ของบริษัทโนวาแวกซ์ (Novavax) และบริษัทแอสตราเซเนกาและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (AstraZeneca with Oxford University) ที่ใกล้เคียงจะประสบความสำเร็จแล้ว ในขณะที่อีกหลายๆ ชนิดจากหลายๆ ประเทศที่ใช้สูตรแตกต่างกันกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาอย่างเร่งด่วน
2. เราสามารถฉีดวัคซีนปัองกัน Covid-19 ได้กี่ครั้ง?
บริษัทไฟเซอร์กำลังเร่งผลิตวัคซีนจำนวน 50 ล้านโดส ในขณะที่ บริษัทโมเดอร์นากำลังผลิตอีก 20 ล้านโดส เพื่อส่งมอบภายในก่อนสิ้นปี 2020 ส่วนภายในปี 2021 คาดว่า บริษัทไฟเซอร์จะสามารถผลิตได้ 1,300 ล้านโดส และของบริษัทโมเดอร์นาน่าจะผลิตได้ 500-1,000 ล้านโดส
สำหรับการใช้วัคซีนในกรณีของทั้งบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นานั้น ในเบื้องต้น หลังจากได้รับวัคซีนครั้งแรกไปแล้ว ภายในระยะเวลา 3-4 สัปดาห์ซึ่งขึ้นอยู่กับวัคซีนแต่ละชนิด จะต้องได้รับวัคซีนครั้งที่ 2 ซึ่งนั่นเท่ากับว่า วัคซีนจำนวน 20 ล้านโดส จะสามารถฉีดให้กับประชาชนได้ประมาณ 10 ล้านคน จากจำนวนประชากรสหรัฐฯ ประมาณ 330 ล้านคน
3. ใครจะเป็นผู้ได้รับวัคซีนเป็นลำดับแรก?
เนื่องจากปริมาณวัคซีนยังคงมีจำกัด ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการจัดลำดับความสำคัญว่า คนกลุ่มใดควรจะได้รับวัคซีนเป็นลำดับแรก
ลำดับแรกแน่นอนว่า คือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านสาธารณสุขซึ่งในสหรัฐฯ มีอยู่ประมาณ 20 ล้านคน เนื่องจากถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ในขณะที่ ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะผู้มีสุขภาพแข็งแรงจะเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่จะได้รับวัคซีน ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้น (ช่วงกลางปีหรือปลายปี 2021) คาดว่าแต่ละบริษัทจะสามารถผลิตปริมาณวัคซีนได้จำนวนมากแล้ว
4. สามารถเลือกชนิดของวัคซีนได้หรือไม่?
ยังไม่แน่ชัดว่า ชาวอเมริกันจะสามารถเลือกชนิดของวัคซีนได้หรือไม่ แต่เบื้องต้นน่าจะขึ้นอยู่กับปริมาณของวัคซีนและพื้นที่ที่อยู่อาศัย รวมถึงข้อจำกัดของสถานพยาบาลในแต่ละแห่งว่ามีตู้แช่แข็งชนิดพิเศษทางการแพทย์หรือไม่ เนื่องจากเบื้องต้นมีรายงานว่า วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เย็นจัด ในขณะที่ วัคซีนของบริษัทโมเดอร์นาสามารถเก็บไว้ได้ที่อุณหภูมิ 36-46 ฟาเรนไฮต์ ภายในระยะเวลาถึง 30 วัน อย่างไรก็ดี ข้อสำคัญที่ต้องไม่ลืม คือ เมื่อได้รับวัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่งไปแล้ว ในครั้งที่ 2 ที่ไปรับวัคซีนจะต้องใช้วัคซีนชนิดเดิมเท่านั้น ห้ามเปลี่ยนชนิดของวัคซีนอย่างเด็ดขาด
5. วัคซีนจะพร้อมให้บริการสำหรับทุกคนได้เมื่อไหร่?
นพ.แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผอ.สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ยืนยันแล้วว่า ประชาชนทุกคนในสหรัฐอเมริกาน่าจะเข้าถึงวัคซีนป้องกัน Covid-19 ภายในเดือนเมษายน-มิถุนายน 2021 เป็นอย่างน้อย
6. วัคซีนป้องกัน Covid-19 มีราคาเท่าไหร่?
สำหรับชาวอเมริกันทุกคนจะได้รับวัคซีนป้องกัน Covid-19 ฟรี
7. จะเกิดอะไรขึ้นหลังได้รับวัคซีน และหลังได้รับแล้วยังต้องกักตัวอยู่กับบ้านหรือไม่?
เมื่อได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว คุณจะได้รับบัตรซึ่งจะระบุรายละเอียดของชนิดยาที่ได้รับและระยะเวลาที่จะต้องกลับมาฉีดเป็นครั้งที่ 2
และเมื่อได้รับยาครบทั้งสองเข็มไปแล้ว ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC แนะนำว่ายังควรปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing และควรสวมหน้ากากอนามัยเวลาออกไปตามสถานที่สาธารณะ
เนื่องจากทาง CDC ยืนยันว่า ผู้เชี่ยวชาญยังต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลลัพธ์ในการป้องกันของวัคซีน ภายใต้สภาวะแวดล้อมในชีวิตจริง นั่นเป็นเพราะในทางวิทยาศาสตร์ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำความเข้าใจกับไวรัสชนิดนี้ ถึงแม้ว่า ในปัจจุบันจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างแน่ชัดว่า การติดเชื้อซ้ำเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ก็ตาม
ฉะนั้น การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเองและผู้อื่นจากการติดเชื้อ Covid-19 จึงยังคงมีความสำคัญ ไม่ว่าคุณจะได้รับวัคซีนหรือไม่ก็ตาม!
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์
ข่าวน่าสนใจ:
- เมื่อโควิดรอบ 3 จ่อถล่ม ในวันที่ขนบชาวญี่ปุ่นห้ามคนอ่อนแอ
- เมื่อ COVID-19 กระชากด้านมืดวงการบันเทิงญี่ปุ่น "สัญญาทาส" ที่มีอยู่จริง
- ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ กับความลับ 7 ปี ป่วยพาร์กินสัน หัวเราะทั้งน้ำตาอำลาจอ
- 3 นาทีคดีดัง: นายจ้างทมิฬ ฆ่าโหดยัดถัง
- ชีวิตสุดขั้ว ดิเอโก มาราโดนา สูงสุด ตกต่ำ ปิดตำนานหัตถ์พระเจ้า