เป็นคดีสะเทือนขวัญ ในปี 2556 แต่กว่าความจริงจะปรากฏต้องผ่านพ้นไปนาน 3 ปี คือปี 2559 สำหรับคดีฆ่าเปลือยสาวแม่บ้านรายหนึ่ง แล้วนำศพยัดถังไปทิ้งที่ริมถนนสายบ้านหัวป้าง-บ้านหัวโกรก หมู่ 14 บ้านหนองไม้แดง ต.ดงพญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
3 นาทีคดีดัง โดยทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปย้อนรอยเหตุการณ์คดีสุดโหดนี้ โดยเหยื่อรายดังกล่าวถูกทรมานอย่างหนักโดยเฉพาะจุดสำคัญคือ หัวนมทั้งสองข้างถูกตัดออก ร่างกายทั้งเนื้อทั้งตัวมีรอยฟกช้ำ กระดูกไหปลาร้าและซี่โครงหัก เมื่อถามชาวบ้านในละแวกนั้นก็ไม่รู้ว่าผู้ตายเป็นใครมาจากไหน ตำรวจจึงต้องพึ่งนิติวิทยาศาสตร์เพื่อตรวจสอบ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ญาติผู้ตายก็พยายามตามหา หลังจากขาดการติดต่อไป
กระทั่งในปี 2559 ความจริงที่น่าสะพรึงได้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อพิสูจน์ทราบว่า ผู้ตายคือ น.ส.สุภาพ เดชไทย แม่บ้านสาววัย 37 ปี หลังจากนั้น ความจริงที่โหดร้ายก็ปรากฏ ฆาตกรไม่ใช่ใครที่ไหน ชายทมิฬที่ลงมือเหี้ยมก็คือ นายจ้างของเธอเอง
30 สิงหาคม 2559 ตำรวจชุดทำคดี ได้มาดักซุ่มที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อบุกเข้าจับกุม นายจักรกฤษณ์ จาริกานนท์ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสีคิ้ว
ความจริง ตำรวจเคยมาบ้านหลังดังกล่าวแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากชาวบ้านได้แจ้งความว่ามีคนยิงปืนภายในบ้าน และเมื่อมาถึง ตำรวจก็พบชายคนหนึ่ง ท่าทีไม่ปกติ ร่างกายเหมือนโดนทารุณกรรมมา เมื่อตำรวจสอบถามชายคนดังกล่าว ก็ทราบว่าเป็นคนรับใช้ชายทมิฬรายนี้ พร้อมกับยอมรับว่า เขาถูกทำร้ายมาตลอด และหากชายคนนี้โมโห เขาจะจับถอนฟันแบบสด จนเหลือฟันในปากไม่กี่ซี่ ตำรวจถามว่า จะไปให้การกับเจ้าหน้าที่ไหม.. ชายคนนั้นดีใจจนน้ำตาไหล เพราะรู้สึกกำลังหนีพ้นจากขุมนรก
...
กลับมาที่ปฏิบัติการลากตัวคนผิด เมื่อเจ้าหน้าที่ดักซุ่มพร้อมอยู่แล้ว ก็แสดงตัวเข้าจับกุม! โดยได้รวบรวมหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ขอศาลอนุมัติหมายจับ ตำรวจได้บุกชาร์จตัวนายจักรกฤษณ์ไว้ได้ หลังกำลังจะหลบหนี
พล.ต.อ.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ที่ปรึกษา สบ 10 หัวหน้าชุดติดตามจับกุมในขณะนั้น เผยประวัติชายใจทมิฬรายนี้ว่าได้ลงมือทารุณกรรมจนซี่โครงหัก ศีรษะแตก และไม่จ่ายค่าจ้างหลายครั้ง แต่ที่ผ่านมานางสาวสุภาพไม่กล้าไปแจ้งความ เพราะถูกนายจักรกฤษณ์ข่มขู่ว่าหากไปแจ้งความ หรือหลบหนีจะไปฆ่าลูกสาวผู้ตาย จนกระทั่งวันเกิดเหตุนางสาวสุภาพได้มีปากเสียงกับภรรยาของนายจักรกฤษณ์ จึงถูกนายจักรกฤษณ์ลงมือฆ่าก่อนนำศพไปทิ้ง
ขณะที่ผู้ต้องหา เมื่อถูกตำรวจควบคุมตัวมาแถลงข่าว ได้สารภาพว่าลงมือกระทำจริง และอ้างว่าเวลาโมโห จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ อีกทั้งยังอ้างอีกว่า ตัวเองป่วยด้วยโรค “ไบโพลาร์” หรือโรค 2 บุคลิก
คดีนี้ ตำรวจได้นำตัวไปกราบขอขมาผู้เสียชีวิต พร้อมทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ส่วนเบื้องหลังคำสารภาพ มาจากทีมงานตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนผู้ต้องหาดิ้นไม่หลุด นั่นก็คือทั้งพยาน ที่เป็นเอกสาร การว่าจ้างผู้เสียชีวิต หรือแม้แต่คนงานในบ้านที่ตำรวจไปพบ ก็มีร่องรอยถูกทำร้าย
ที่ผ่านมา คนในหมู่บ้านเข้าใจว่าผู้ต้องหาเป็นตำรวจ เพราะชอบอ้างตัว แต่ความจริงไม่ใช่ ตำรวจได้ควบคุมตัวส่งดำเนินคดีที่ สภ.กลางดง จ.นครราชสีมา ตั้งข้อหา ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางและทำลายศพ
กระทั่งในปี 2560 ศาลจังหวัดสีคิ้ว ได้พิพากษา ประหารชีวิต ฐานความผิดหลายกระทง ทั้งฆาตกรรมและซ่อนเร้นทำลายศพ นอกจากนี้ ยังให้จ่ายสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 424,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.59 เป็นต้นไป แต่เนื่องจาก จำเลย ให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
ต่อมาปี 2561 ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่เงินค่าสินไหมที่ต้องจ่ายให้ทายาทผู้เสียชีวิต จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ทายาทผู้ตายจึงยื่นร้องต่อศาลเพื่อดำเนินการบังคับคดี
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
ชม 3 นาทีคดีดังที่น่าสนใจ
...