"สิ่งที่ ซีเนดีน ซีดาน ทำกับลูกฟุตบอล มาราโดนาทำมันกับผลส้ม" มิเชล พลาตินี นโปเลียนลูกหนังแห่งฝรั่งเศส หนึ่งในสุดยอดนักเตะแห่งยุค 80 ผู้เคยมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับชายผู้นั้นในสนามมาแล้ว ให้คำจำกัดความถึงความเก่งฉกาจเหนือมนุษย์ของเขา

"เปเลและมาราโดนา คือ อัจฉริยะที่อยู่เหนือกว่าเหล่านักเตะอัจฉริยะคนอื่นๆ ในโลกใบนี้" ไกเซอร์ลูกหนัง ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ลิเบอโรคลาสสิกของโลก ผู้ประสบความสำเร็จได้แชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีมเรียกขานความเป็นสุดยอดนักเตะของเขา

อะไรคือสิ่งยืนยัน "คำพูด" ของนักเตะระดับตำนานของโลกทั้ง 2 คน

"ผมได้ลูกฟุตบอลมาเล่นตั้งแต่ผมเริ่มวิ่งได้ ตอนผมอายุ 3 ขวบ ผมนอนกอดลูกฟุตบอลลูกนั้นทุกคืน" ดิเอโก อาร์มาโด มาราโดนา

:: มาราโดนา ผู้เฉิดฉาย

วันที่ 22 เมษายน 1986 ท่ามกลางแสงแดดอันเจิดจ้า ณ สนามอัสเตกา ประเทศเม็กซิโก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลกปี 1986 ระหว่างทีมชาติอาร์เจนตินาและทีมชาติอังกฤษ การแข่งขันที่มีพยานในสนามมากล้นถึง 114,500 คน

...

"ไอ้ขี้โกง!" เสียงจากกองเชียร์ชาวเมืองผู้ดีที่ตะโกนลั่นสนาม ด่ากราดใส่นักเตะร่างเล็กทีมชาติอาร์เจนตินาที่กำลังยืนอยู่บริเวณกึ่งกลางสนาม หลังเมื่อเกือบ 4 นาทีก่อน ชายผู้นั้นได้กระทำการอุกอาจกระโดดใช้มือปัดลูกบอลผ่าน ปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารทีมชาติอังกฤษ เข้าประตูไปอย่างหน้าตาเฉย

"ไอ้ขี้โกง!" เสียงตะโกนที่ว่านั้นดังขึ้นกว่าเดิม หลังนักเตะผู้นั้นใช้เท้าซ้ายสัมผัสลูกฟุตบอลที่เพื่อนส่งมาให้ที่บริเวณกลางสนาม

"มาราโดนาเริ่มแล้วครับ เขากลับตัวเลี้ยงบอลราวกับปลาไหลตัวจิ๋วที่ว่ายหนีออกจากกับดักของนักเตะอังกฤษที่กำลังรุมล้อมเขาที่กลางสนาม (ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ และปีเตอร์ รีด) โอว...มาราโดนาเลี้ยงหลบ เทอร์รี บุทเชอร์ (Terry Butcher เซนเตอร์ฮาลฟ์ทีมชาติอังกฤษ) ราวกับเป็นเพียงซากศพ เอาอีกแล้วครับ เขาเลี้ยงหลบ เทอร์รี เฟนวิค (Terry Fenwick เซนเตอร์ฮาลฟ์ทีมชาติอังกฤษ อีกคน) ให้กลายเป็นศพไปแล้วอีกคน และเรียบร้อยแล้ว เขายิงประตูอังกฤษได้ นี่แหละครับ เพราะอะไรมาราโดนาจึงเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก เขาฝังกองหลังอังกฤษจนจมธรณีไปเลย!"

ไบรอัน บัตเลอร์ (Bryon Butler) นักข่าวกีฬาชื่อดังของ BBC ร้องเสียงหลงอุทิศตัวเองบรรยายการยิงประตูที่สวยที่สุดแห่งศตวรรษ จากการเริงระบำร่ายเวทมนตร์ที่ปลายฝีเท้าของนักเตะผู้นั้น ท่ามกลางกองเชียร์ชาวอังกฤษ ที่ ณ วินาทีนั้น กำลังอ้าปากค้างจากภาพที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเพียง 5 นาที ชายคนดังกล่าวราวกับเหมือนซาตาน คนบาป หรืออะไรก็ตามที่มันแปลความได้ว่า สุดแสนจะเลวร้าย แต่อีกเพียงอึดใจต่อมา ซาตานตนนั้นกลับกลายร่างเป็นพระเจ้า ใช้เท้าซ้ายข้างถนัดพาลูกบอลหลบกองหลังอังกฤษถึง 4 คน และผู้รักษาประตูอีกหนึ่งคนเข้าไปยิงประตูที่สวยที่สุดในศตวรรษ และประตูสวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก

และมันคงจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาล...

อัจฉริยะเหนือมนุษย์ ซึ่งมีเท้าซ้ายอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของพระเจ้า ผู้นี้มีชื่อเต็มๆ ว่า "ดิเอโก อาร์มาโด มาราโดนา"

(เหตุการณ์แห่งศตวรรษนี้ อาจารย์โยอิจิ ทาคาฮาชิ ผู้เขียนมังงะสุดโด่งดังกัปตันซึบาสะ ได้นำไปดัดแปลงและอุทิศหน้ากระดาษถึง 10 หน้าในมังงะฟุตบอลคือเพื่อน เพียงแต่เปลี่ยนจากมาราโดนาเป็น แวน ดิออส นักเตะอัจฉริยะของอาร์เจนตินา ที่ 10 ปีจะมีเกิดมาสักคน ซึ่งเลี้ยงบอลจากครึ่งสนาม หลบนักเตะทีมเยาวชนญี่ปุ่นถึง 8 คน รวมผู้รักษาประตูจอมถีบเสา วากาชิมาซึ และในจำนวนนั้น มี ซึบาสะพระเอกของเรา รวมอยู่เสียด้วยเข้าไปยิงประตูอย่างสวยงาม)

กลับมาที่มาราโดนากันอีกครั้ง ประตูแรกในนัดนั้น ถูกเรียกขานว่า The Hand of God ส่วนประตูที่ 2 พระเจ้าผู้ซึ่งใช้เวลาเพียง 10 วินาที เลี้ยงบอลรวมระยะทาง 51 เมตร จากฝั่งของตัวเอง บุกเข้าทำลายล้างทีมชาติอังกฤษ ได้รับการโหวตจากแฟนบอลทั่วโลก ผ่านเว็บไซต์ของฟีฟ่าให้เป็น The Goal of The Century เมื่อปี 2002

"ผมทำแบบนั้น เพื่อหวังจะส่งบอลต่อให้ ฮอร์เก วัลดาโน (กองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินา) แต่เมื่อพอเลี้ยงบอลเข้าไป  พวกเขา (นักเตะอังกฤษ) รุมล้อมผมเต็มไปหมด ผมแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างเหลือเลย ผมจึงตัดสินใจเลี้ยงบอลต่อไปจนกระทั่งยิงประตูนั้นได้สำเร็จ" เจ้าหนุ่มร่างเล็กผู้อหังการประกาศถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้น

...

2 ประตูในนัดนั้น เป็นดั่งการบอกตัวตนของมาราโดนาว่า ด้านหนึ่ง เขาเป็นเพียงมนุษย์ปกติๆ คนหนึ่งที่พร้อมก้าวเข้าสู่ด้านมืด เพียงเพื่อสนองความปรารถนาของตัวเอง หากแต่อีกด้านหนึ่ง เขาเองก็มีความสามารถที่มากล้นที่หากแม้เพียงจะทำอะไรจริงๆ จังๆ ขึ้นมา ความสำเร็จมันก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะเอื้อมมือไขว่คว้า

ในขณะที่ สื่อมวลชนทั่วโลกตีความ 2 ประตูที่เกิดขึ้นในนัดนี้ เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า

ทั้ง 2 ประตูจากฝีเท้าของมาราโดนา เป็นความตั้งใจ "แก้แค้น" ให้กับมาตุภูมิ หลังพ่ายแพ้ให้กับอังกฤษในสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ประตูแรก The Hand of God เป็นความพยายามส่ง message ถึงชาวอังกฤษว่า...

"แม้อังกฤษจะมีอำนาจเหนือกว่า แต่อาร์เจนตินาชาญฉลาดกว่า"

ส่วนประตูแห่งศตวรรษนั้น มันเต็มไปด้วยไฟแห่งความปรารถนาที่ว่า...

"ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในสนามวันนั้น คือ เครื่องหมายที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า อาร์เจนตินาเหนือกว่าอังกฤษ"

และในท้ายที่สุดของทัวร์นาเมนต์นั้น โลกทั้งโลกก็ต้องก้มศีรษะคารวะให้กับเท้าซ้ายดุจเทพเจ้าของชายผู้นี้ มาราโดนาคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จพ่วงด้วยตำแหน่ง MVP ท่ามกลางเสียงกระแทกมืออันกึกก้องและยอมรับในความเหนือชั้นเกินมนุษย์ของเขา พระเจ้าองค์ใหม่ต่อจากเปเล ไข่มุกดำแห่งบราซิลและราชานักฟุตบอลที่เคยมีเพียงคนเดียวบนพื้นพิภพ ได้ถือกำเนิดขึ้นในนาม "ดิเอโก อาร์มาโด มาราโดนา" แล้ว

พร้อมกับสร้างสถิติที่ยากจะหาใครมาลบล้าง...คือ ทำ 5 ประตู (รองดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ แพ้ แกรี ลินิเกอร์ ดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ ที่ยิงไป 6 ประตู) จากโอกาสยิงทั้งหมด 30 ครั้ง ยิงเข้ากรอบประตู 13 ครั้ง ส่งให้เพื่อนทำประตู 5 ครั้ง สร้างสรรค์โอกาสในการทำประตู 27 ครั้ง จับบอลสำเร็จได้ด้วยสัมผัสแรก 567 ครั้ง

...

...

:: ความตกต่ำ

หลังไม่ผ่านการตรวจโด๊ปครั้งที่ 3 ในรอบ 3 ปี มาราโดนาตัดสินใจรีไทร์จากอาชีพนักฟุตบอลในวัย 37 ปี ซึ่งการสลัดคราบกลิ่นเหงื่อไคลของสาบลูกหนังสำหรับนักเตะคนอื่นๆ แสงไฟสปอตไลต์ มักจะค่อยๆ จางหายไป แต่กรณีของมาราโดนา มันต่างออกไปพอๆ กับเท้าซ้ายของพระเจ้าที่ยากจะหาใครเสมอเหมือน

การยังคงโดนรุมตอมของฝูงปาปารัสซี ทำให้มาราโดนาสติหลุดเอาปืนยิงขึ้นฟ้า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 10 เดือน

พฤติกรรมเสพโคเคนและสุราเป็นอาจิณ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาไม่หยุดหย่อน จากคนที่สภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ กลายเป็นคนอ้วนฉุ น้ำหนักพุ่งทะลุถึง 128 กิโลกรัม ทั้งๆ ที่มีส่วนสูงเพียง 167 เซนติเมตร และปัญหาในเรื่องนี้นี่เอง ที่ทำให้เขาเกิดภาวะหัวใจวายกะทันหันในปี 2004

นอกจากนี้ มาราโดนายังถูกผ่าตัดลดขนาดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วน จนกระทั่งลดน้ำหนักได้ถึง 50 กิโลกรัม และถูกส่งไปบำบัดอาการติดยาเสพติดที่ประเทศคิวบา ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของประธานาธิบดี ฟิเดล คาสโตร ด้วย

หลังจากนั้น มาราโดนาก็ยังสามารถเป็นข่าวหน้าหนึ่งได้เรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ต้องเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมปาก หลังถูกสุนัขที่เลี้ยงไว้กัด รวมถึงการที่จู่ๆ ก็ได้ลูกชายนอกสมรส ดิเอโก อาร์มาโด จูเนียร์ ที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรส

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นภาพสะท้อนความเป็นตัวตนของมาราโดนาทั้งสิ้น อะไรบ้างล่ะ?

ความอัปยศ แรงบันดาลใจ ความสนุกสนาน ความยิ่งใหญ่ ความเหนือดุจเทพเจ้า และทั้งหมดนี้ คือ ชายที่มีชื่อว่า ดิเอโก อาร์มาโด มาราโดนา ผู้มีสีสันแห่งชีวิตแตกต่างไปจากคนธรรมดาสามัญทั่วๆ ไปอย่างชนิดสุดกู่

:: การจากลา

25 พฤศจิกายน 2020

"Me siento mal,"
"ฉันรู้สึก ไม่ค่อยสบาย"

พระเจ้าแห่งอาร์เจนตินากล่าวกับหลาน ก่อนจะเดินกลับไปนอนพักบนเตียง

และจาก ณ วินาทีนั้นเป็นต้นมา โลกทั้งโลกก็หมดวาสนาที่จะได้ยินเสียงของพระเจ้าอีกต่อไป!

เพราะจากนั้นอีกเพียงไม่นาน เมื่อพยาบาลสาวพยายามมาปลุกเขาก่อนเที่ยงวันเล็กน้อย แต่พระเจ้าไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ และแทบจะในทันทีหมอผู้เชี่ยวชาญถูกโทรตามมาดูอาการพระเจ้าอย่างเร่งด่วนที่สุด แต่แล้วมันก็สายเกินไป พระเจ้าของชาวอาร์เจนตินาทั้งมวล กลับคืนสู่สรวงสวรรค์ก่อนที่แพทย์จะเดินทางมาถึง...

และแม้จะมีความพยายามยื้อชีวิตอย่างเต็มที่อีกครั้งหลังจากนั้น ทุกอย่างก็ไม่หวนคืน "ดิเอโก อาร์มาโด มาราโดนา" เสียชีวิตลงอย่างเป็นทางการในเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอาร์เจนตินา

เจ้าหน้าที่นิติเวช ซึ่งเริ่มชันสูตรศพของมาราโดนา ในเวลา 16.00 น. ยืนยันว่า...

"ไม่พบร่องรอยของการก่ออาชญากรรม หรือการก่อความรุนแรงใดๆ ทำให้ข้อสรุปในเบื้องต้น การเสียชีวิตของมาราโดนาเป็นไปตามธรรมชาติ"

ในเวลาต่อมา รัฐบาลอาร์เจนตินาได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า บุตรแห่งอาร์เจนตินาและวีรบุรุษของประเทศได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว อันเป็นผลมาจากอาการบวมน้ำในปอดเฉียบพลัน จนทำให้หัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง ก่อนจะมีการประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน

อย่างไรก็ดี หลังการเสียชีวิตของพระเจ้าแห่งอาร์เจนตินา ทนายความส่วนตัวได้วิพากษ์วิจารณ์ระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากหลังได้รับแจ้งว่า มาราโดนามีอาการหัวใจล้มเหลว กว่าที่รถพยาบาลจะมาถึงบ้านพัก ซึ่งตั้งอยู่ชานกรุงบัวโนไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินาเล็กน้อย กลับต้องใช้เวลารอนานเกินกว่า 30 นาที ซึ่งสายเกินไปแล้วที่จะกู้ชีวิตของพระเจ้าให้กลับคืนมาได้

ด้วยเหตุนี้ ทนายความส่วนตัวของมาราโดนา จึงเรียกการกระทำนี้ว่า "Criminal Idiocy" หรือ "การก่ออาชญากรรมที่โง่เขลา" พร้อมกับเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

ขณะเดียวกัน นายแพทย์อัลเฟรโด คาเฮ (Alfredo Cahe) แพทย์ประจำตัวที่ดูแลมาราโดนามายาวนานร่วม 30 ปี รวมถึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจให้มาราโดนาไปบำบัดอาการติดโคเคนที่ประเทศคิวบา ยังได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องที่มาราโดนาถูกนำตัวออกจากโรงพยาบาลเพื่อให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านพักเร็วเกินไปหรือไม่ ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดสมองที่สุดแสนอันตรายมาได้ไม่นาน

"เขา (มาราโดนา) ควรยังต้องได้รับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่ควรให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้าน ซึ่งยังไม่ได้มีการเตรียมการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย ผมมีข้อสงสัยมากมาย ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาจึงถูกพาตัวกลับไปพักที่บ้าน และตอนที่เขาออกจากโรงพยาบาลมันก็ไม่สมเหตุสมผลแม้แต่นิดเดียว ผมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมาราโดนามานานถึง 33 ปี แต่เขากลับต้องมาเสียชีวิตด้วยอะไรที่ผิดปกติอย่างเหลือเชื่อ"

มาราโดนาเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเอาลิ่มเลือดอุดตันออกจากสมองเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และได้รับอนุญาตให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านพัก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน หรือเพียง 8 วันหลังการผ่าตัดที่สุดเสี่ยงอันตราย คำถามคือ เหตุใดมันจึงเป็นเช่นนั้น?

แต่ไม่ว่ามันจะเกิดความผิดพลาดอะไรในวันนั้น แต่ความจริงที่ยากจะยอมรับคือ เปลวไฟแห่งอาร์เจนตินาก็ได้มอดดับลงตลาดกาลแล้ว...

:: เรื่องยุ่งๆ ปัญหาเงินๆ ทองๆ กับมาราโดนา

ในช่วงระหว่างการค้าแข้ง นักเตะเหนือมนุษย์เช่นมาราโดนา สร้างสถิติโลกค่าตัวในการย้ายทีมถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อย้ายจากโบคา จูเนียร์ส ไปบาร์เซโลนา ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ (สถิติโลกในปี 1982) และอีกครั้งเมื่อย้ายจากบาร์เซโลนาไปนาโปลี ด้วยค่าตัว 6.9 ล้านปอนด์ (สถิติโลกในปี 1984) และการเหยียบดินแดนรองเท้าบูตครั้งนั้น ทำให้มาราโดนากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก

โดยในครั้งนั้น มาราโดนาได้รับค่าเหนื่อยสูงถึงประมาณ 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บวกกับเงินรายได้จากมูลค่าเชิงการตลาดจากภาพลักษณ์ส่วนตัวอีกประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมกันเป็น 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขนี้ ในช่วงยุค 1984-1991 ที่มาราโดนาค้าแข้งอยู่กับนาโปลีนั้น หากนำมาคิดตามอัตราเงินเฟ้อในปัจุบัน จะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นอกจากนี้ หลังสิ้นสุดการค้าแข้ง มาราโดนายังได้รับการว่าจ้างให้ไปทำหน้าที่ผู้จัดการทีมให้กับ 7 สโมสร รวมถึงการไปทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับทีมชาติอาร์เจนตินาระหว่างปี 1994-2020 โดยในจำนวนนี้มีรายงานว่า 1 ใน 7 สโมสร ที่เขาไปรับหน้าที่โค้ชเป็นเวลาเพียง 11 เดือนนั้น เขาได้รับค่าเหนื่อยมากถึง 150,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน

การทำหน้าที่ผู้จัดการทีมและโค้ชของมาราโดนา

1994 สโมสร Textil Mandiyu
1995 สโมสร Racing Club
2008-2010 ทีมชาติอาร์เจนตินา
2011-2012 สโมสร Al-wasl
2013-2017 สโมสร Deportivo Riestra (assistant)
2017-2018 สโมสร Fujairah
2018-2019 สโมสร Dorados de Sinaloa
2019-2020 สโมสร Gimnasia de la Plata

ด้วยเหตุนี้ มาราโดนาจึงควรกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้มั่งมี "คุณ" คงคิดเช่นนั้น?

หากแต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะในด้านสว่างที่ฉาบเคลือบไปด้วยความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์โลกหรือสารพัดแชมป์ที่เท้าซ้ายของเขาบัญชาให้เป็นไปนั้น มันก็มีอีกด้านหนึ่ง ที่เป็นด้านมืดซึ่งถูกซุกซ่อนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการใช้ยาเสพติด ปาร์ตี้ เซ็กซ์ ใช้เงินมือเติบ และการหลบเลี่ยงภาษีที่หมักหมมมายาวนาน ทำให้สตาร์ลูกหนังผู้นี้กลายเป็นผู้มีปัญหาทางการเงินในบั้นปลาย

โดยสื่ออังกฤษสื่อหนึ่งอ้างว่า ในช่วงท้ายของชีวิตมาราโดนาเหลือเงินติดตัวอยู่เพียงประมาณ 100,000 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น!

โดยฟ่อนธนบัตรของมาราโดนาที่ถูกดูดออกไปมากที่สุด น่าจะเป็นการถูก "ไล่ล่า" โดยกรมสรรพากรของอิตาลี โดยเรื่องมันเริ่มมาจากมีสื่อในอิตาลีออกมาเปิดเผยว่า ในระหว่างการค้าแข้งกับนาโปลี บุตรแห่งอาร์เจนตินา ไม่ได้จ่ายภาษีเป็นตัวเลขเงินรวมถึง 37 ล้านยูโร ต่อมาในปี 2009 รายงานดังกล่าวได้รับการยืนยันจากทางการอิตาลีว่ามันคือเรื่องจริง!

นั่นแหละ...ปฏิบัติการทวงคืนภาษีอย่างดุเดือดจึงเริ่มต้นขึ้น เอากันจนขนาดที่ว่า ตำรวจบุกเข้าไปยึดเครื่องเพชรของมาราโดนาเพื่อนำออกขายทอดตลาดหาเงินมาชดใช้กันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี มาราโดนาได้ออกมายืนยันกับสาธารณชนหลายต่อหลายครั้งว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมในประเด็นดังกล่าว พร้อมกับโทษไปทางสโมสรนาโปลีว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เนื่องจากทางสโมสรไม่ยอมแจ้งเรื่องการเสียภาษีให้เขาได้รับทราบมาก่อน โดยในปี 2016 มาราโดนายอมรับกับสื่อของอิตาลีว่า ในช่วงระยะเวลา 25 ปีแห่งการถูกไล่ล่า (เสียภาษี) นี้ เขาสูญเงินก้อนโตไปมากถึง 40 ล้านยูโร และค่าปรับอีกร่วม 35 ล้านยูโร

อย่างไรก็ดี แม้จะจ่ายเงินก้อนโตไปแล้ว แต่ล่าสุดทางกรมสรรพากรของอิตาลีก็ยังคงยืนยันว่า มาราโดนายังติดค้างเงินที่ต้องชำระมากถึง 10 ล้านยูโร!

End Credit

คำถามที่ดังระงมต่อเนื่องมายาวนาน โดยมีเพียงอัจฉริยะลูกหนังที่อยู่เหนืออัจฉริยะทั้งมวลบนโลกใบนี้เพียง 2 คนเท่านั้นที่ไม่มีใครสามารถฟันธงลงไปอย่างแน่ชัดได้ว่า ใครเหนือกว่าใคร ยกเว้นคนบนแผ่นดินคู่กัดลูกหนังตลอดกาลอย่างบราซิลและอาร์เจนตินาเท่านั้น ที่ยืนยันว่า เทพเจ้าของพวกเขาเหนือกว่าเทพเจ้าของอีกประเทศ (ซึ่งเอากันจริงๆ ใครจะไปบอกได้กันล่ะ ในเมื่อเกิดคนละยุคสมัย และบริบทของฟุตบอล ณ ช่วงเวลาที่แต่ละคนรุ่งโรจน์นั้นก็ต่างกันออกไป)

เปเล่หรือมาราโดนา ใครที่เก่งกว่ากัน?

ในเมื่อความเป็นจริงทางศิลปะลูกหนังอาจบอกได้ยากว่าใครเหนือกว่า แต่หากเป็นสถิติทางตัวเลขที่คำนวณได้ตายตัวอาจจะบอกได้ และนี่คือ สถิติทางตัวเลขที่พยายามหาว่าใครเหนือกว่าใคร?

(แต่ก็ดูกันเอาสนุกๆ เถอะนะ อย่าไปจริงจังอะไรกันมากเลย เพราะไม่ว่าอย่างไร ทั้งเปเล่หรือมาราโดนาก็คือ สุดยอดนักฟุตบอลของโลกอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่ดีจริงไหม?)

ใครดีกว่ากันเรื่องการทำประตูในนามทีมชาติ

ใครเหนือกว่า เวลาลงเล่นฟุตบอลโลก?

ใครได้แชมป์มากกว่ากัน?

รางวัลส่วนตัวในฐานะนักเตะ

อย่างไรก็ดี แม้ทั้งคู่จะต้องขับเคี่ยวกันตามจินตนาการและความรู้สึกของแฟนบอลทั่วโลกมาโดยตลอด ทั้งๆที่ ทั้งคู่จะไม่เคยลงฟาดแข้งในช่วงรุ่งโรจน์แห่งฝีเท้ากันเลยสักครั้งเดียว แต่ในท้ายที่สุด เมื่อถึงวันที่คู่แข่งรุ่นน้องต้องจากลาโลกใบนี้ไป เปเล่ก็ได้กล่าวอุทิศถึงนักเตะรุ่นน้องผู้นี้เอาไว้ว่า

"สักวันหนึ่ง เราคงมีโอกาสได้เล่นฟุตบอลกันบนสรวงสวรรค์"

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: