- เทรนด์ EV ในปี 2563 และปี 2564 ยังรวมถึงขนส่งสาธารณะ และ Sharing Economy ด้วย
- จึนใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 2.3 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของสต๊อก EV ทั่วโลก หรือ 45%
- เทสล่า มีรายได้สุทธิ 104 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,143 ล้านบาท ณ ไตรมาส 2 ปี 2563
ในปี 2564 เทรนด์ที่มาแรงและน่าจับตามองก็คงหนีไม่พ้น GREEN ที่หากสังเกตรอบๆ ตัวแล้วเราจะเห็นได้ว่าหลายๆ อย่างมีการปรับเปลี่ยนไปมากพอสมควร หนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและโลกที่คาดว่า "ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า" จะรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา
หากมองภาพรวมตลาด "ยานยนต์ไฟฟ้า" หรือที่เรียกกันว่า "อีวี" (EV: Electric Vehicles) ทั่วโลก เห็นได้ว่าอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 46-69% ทีเดียว โดยในปี 2562 ปริมาณ EV ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึง 9% อยู่ที่ 2,264,400 คัน ถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง 2 ตลาดยักษ์ใหญ่อย่าง "จีนและสหรัฐอเมริกา" จะมียอดขายลดลงบ้างก็ตาม
และแม้ 2 ตลาดยักษ์ใหญ่โลกจะซบเซา แต่ยอดขาย EV ทั่วโลกกลับเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุโรปที่มีการเติบโตถึง 44% ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่เป็นเช่นนี้...ก็เพราะมีการปรับเปลี่ยนการเก็บภาษีและการสนับสนุนเงินจากรัฐบาลแต่ละประเทศนั่นเอง
EV เติบโตในยุโรปมากแค่ไหน?
...
เอาเป็นว่าในปี 2562 ยุโรปสนับสนุนการลงทุนการผลิต EV และแบตเตอรี่ มูลค่ากว่า 60,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท มากกว่าปี 2561 ถึง 19 เท่า ไม่เพียงเท่านั้น... ทางรัฐบาลยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะขยายการผลิต EV และแบตเตอรี่ในยุโรปให้มากกว่าที่จีนทำได้ถึง 3.5 เท่า
เรียกได้ว่า ตลาด EV ในปี 2562 มาดีมากๆ จนมีการผลิต EV ประเภท BEV และ PHEV มากกว่า 30 ตัว เพื่อหวังดันยอดขาย EV ปี 2563 และปีหน้า 2564 ให้ทะลุตามเป้า
แต่แล้ว... เมื่อเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (COVID-19) ก็ทำให้เป้าหมายยอดขาย EV ทั่วโลกในปี 2563 กลายเป็นเรื่องยาก... โดยช่วงเริ่มต้นเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ยอดขาย EV ในยุโรปยังคงเป็นบวก สหรัฐอเมริกาก็พอกระเตื้องบ้าง แต่สำหรับจีนแล้วนั้นบอกได้ว่า "หดหู่..." ที่ตลาดยานยนต์ทั้งหมดลดลงกว่า 80%
และถึง "จีน" จะซบเซาลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงเป็นตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 2.3 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของสต๊อก EV ทั่วโลก คือ 45% ขณะที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 1.2 ล้านคัน และ 1.1 ล้านคัน (ตามลำดับ)
แต่หากจะเทียบกับปัจจัยต่างๆ แล้ว สถานการณ์ EV ในยุโรปเหมือนจะเป็นทิศทางบวกมากกว่า เพราะในจีนเองมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพียง 5.2% แตกต่างกับ "นอร์เวย์" ที่ปี 2562 มียานยนต์ที่วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้ามากกว่า 56% รองลงมาคือ ไอซ์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ที่มีสัดส่วน EV อยู่ที่ 25.5% และ 15% (ตามลำดับ)
สำหรับ "ไทย" เอง หลังจากมีการเปิด BOI รอบใหม่ ก็มีข่าวมาว่า ปี 2564 จะดัน GREEN เต็มที่ และเร่งผลักดัน "ยานยนต์ไฟฟ้า" ให้บูมในไทยแบบเต็มเหนี่ยว โดยหนึ่งในข่าวที่น่าสนใจ คือ การให้สัมภาษณ์ของรัฐบาลว่า กำลังมีการพูดคุยและเทียบเชิญให้ "เทสล่า" (Tesla) ของพ่อหนุ่ม "อีลอน มัสก์" มาลงหลักปักฐานการผลิตที่นี่!...
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่สนใจกันพอสมควร เพราะก่อนหน้านั้น "อีลอน มัสก์" เคยมุ่งไปปักหลักที่จีน ก่อนจะมีข่าวลังเลแว่วมาว่าเตรียมย้ายไปซบเวียดนาม เลยเป็นที่ตั้งคำถามว่า...แล้วไทยจะจีบติดไหม?
ส่วนงานนี้ ไทยจะจีบติด ไม่ติด ก็ต้องรอลุ้นต่อไป... (ขอให้เป็นข่าวดี) ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว ลองมาดูกันหน่อยว่า "เทสล่า" (Tesla) มีดีอะไร? และยังเป็น "รถยนต์ไฟฟ้า" ที่ดีที่สุดอยู่ไหม?
...
:: เทสล่า (TESLA) รถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุด?
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เราเห็นแล้วว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีการเติบโตต่อเนื่อง และนั่นก็ทำให้บริษัทอย่าง "เทสล่า" (TESLA) ไม่ได้เป็นผู้ผูกขาดตลาดอีกต่อไป มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น ออกมาให้เลือกมากมาย แน่นอนว่าเมื่อเป็นแบบนั้นก็มีคำถามตามมาว่า แล้ว "เทสล่า" ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดที่เราควรจะซื้ออยู่หรือเปล่า?
เราลองมาดูข้อมูลจาก US News & World Report กัน...
1. Model Y และ Model X : EV ที่คุ้มค่าแก่การจ่ายเงิน?
เริ่มกันที่ Model Y ที่ได้คะแนนไป 7.9 เต็ม 10 ไม่ได้เป็น EV ที่ดีที่สุด เกือบจะอยู่ระดับกลางๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็เหนือกว่า Chevy Bolt, BMW i3 และ Kia Niro EV ขณะที่ Model X เป็น EV ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน วิ่งได้ไกลกว่า 351 ไมล์ เลยได้คะแนนไป 8.3 เต็ม 10 และอยู่อันดับ 5
แต่ที่ว่ามานั้นก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด EV เพราะมีฟีเจอร์และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจพอตัว โดยมีราคากลางเริ่มต้นอยู่ที่ 49,990 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.51 ล้านบาท สำหรับ Model Y และ Model X อยู่ที่ 79,990 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.42 ล้านบาท
...
2. Model 3 : ท้าชนคู่แข่ง?
Model 3 ถือว่ามาแรงมากที่สุด อยู่อันดับ 2 นำหน้า Porsche Taycan ด้วยคะแนน 8.8 เต็ม 10 เรียกว่าบดบังรัศมี EV รุ่นอื่นๆ ในตลาดเกือบมิด (ยกเว้นที่ 1 นะ...)
สำหรับ Model 3 แล้ว นับว่าเป็นไลน์อัพที่มีราคาเหมาะสมที่สุดรุ่นหนึ่งของเทสล่า โดยมีราคากลางเริ่มต้นที่ประมาณ 37,990 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.15 ล้านบาท แถมยังมีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมและวิ่งได้ไกล ซึ่งรุ่น Standard Range Plus อยู่ที่ 250 ไมล์ ส่วน Long Range อยู่ที่ 322 ไมล์ ระยะทางที่ทำได้ถือว่าสูงกว่าราคาพอสมควร และราคายังถูกกว่า Porsche Taycan ที่อยู่ในตลาดด้วย
:: เทสล่า (Tesla) บริษัทอันดับ 1 รถยนต์ไฟฟ้า?
แม้ว่าภาพลักษณ์จะดูไม่ค่อยสวยงามมากนัก แต่เอาเป็นว่าตัวเลขต่างๆ ที่ปรากฏออกมาก็เป็นไปในทิศทางที่ดีทีเดียว หุ้นเทสล่าเพิ่มขึ้น และราคาปัจจุบันยังแซงหน้าโตโยต้า (Toyota) ไปแล้ว
โดย CNBC รายงานการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ของ "เทสล่า" หลังถูกโควิด-19 ซัดถล่ม ไว้แบบนี้...
...
- 2.18 ดอลลาร์สหรัฐ (ex-items) vs 0.03 ดอลลาร์ต่อหุ้น (คาดการณ์)
- รายได้ 6.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.83 แสนล้านบาท) vs 5.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.62 แสนล้านบาท) (คาดการณ์)
- รายได้สุทธิ 104 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,143 ล้านบาท
ภาพรวมรายได้ที่เห็นนั้น แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับเทสล่า แต่สิ่งหนึ่งที่น่าห่วงคือ วิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขาดแคลนวัตถุดิบ สวนทางกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง นั่นอาจทำให้เทสล่าไม่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เพียงพอ
ซึ่ง อีลอน มัสก์ ก็มองเห็นปัญหานั้นเช่นกัน และเขาเองก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ด้วยการประกาศว่า เขาจะสร้างโรงงานแห่งใหม่ใกล้ๆ กับเมืองออสติน รัฐเทกซัส แน่นอนว่า Model 3 และ Model Y จะผลิตที่นั่น
ส่วนคำถามที่ว่า เทสล่า จะเข้ามาลงทุนตั้งฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยไหม?
คำตอบนี้ก็ดูจะยังคลุมเครืออยู่... เพราะว่าตามจริงแล้วมีหลายประเทศที่พยายามจีบเทสล่าอยู่ในช่วงนี้ รวมถึงชาติอื่นๆ ในอาเซียนเองเช่นกัน คงต้องวัดกันที่แพ็กเกจสนับสนุนว่าใครจะให้ได้น่าสนใจและถูกใจเทสล่ามากที่สุด เพราะการลงทุนฐานผลิตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มาแล้วอยู่ยาว มาแป๊บๆ ยังไงก็ไม่มีทางคุ้ม
อีกอย่างความชัดเจนในการสนับสนุน "รถยนต์ไฟฟ้า" ในไทยเห็นภาพชัดมากพอหรือไม่ในการให้คนมาลงทุน การันตีความเชื่อมั่นได้มากน้อยแค่ไหนอีกด้วย (คู่แข่งไม่ใช่น้อย)
จริงๆ แล้วจากข้อมูล Global EV Outlook 2020 มีการตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสต๊อก EV ให้ได้ 7.2 ล้านคันทั่วโลก หลังปี 2562 ทุบสถิติปี 2561 ทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านคันทั่วโลก และนอกจากรถยนต์ส่วนบุคคลแล้ว เทรนด์ EV ในปี 2563 และปี 2564 ยังรวมถึงขนส่งสาธารณะ และ Sharing Economy ด้วย ดังนั้นอย่ามัวชักช้า...
ผู้เขียน : เหมือนพระอาทิตย์
กราฟิก : Supassara Traiyansuwan
ข่าวน่าสนใจ:
- โควิด-19 ปฏิวัติโลจิสติกส์ ช้าตกขอบ กรณีศึกษา "ไช่เหนี่ยว"
- ไทยเข้า RCEP เปิดตลาด แข่งเดือด สินค้าทะลัก ใครไม่ปรับตัวรอวันเจ๊ง
- จบโควิด-19 ช้าไป ช่วงเวลานี้ดีสุด ปรับกลยุทธ์ ฟื้น "ท่องเที่ยว" ทางรอดปี 64
- CPTPP กับการเปลี่ยนผ่าน 3 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
- "อาเซียน" โรงละครแห่งความขัดแย้ง ไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง "สหรัฐฯ vs จีน"