ปัญหาการแพร่ระบาดโรค Covid-19 ทำเอาอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลก โดยเฉพาะ "ธุรกิจโรงภาพยนตร์" แทบจะเอาตัวไม่รอด หลังถูกบีบด้วยสารพัดกฎเกณฑ์ในการหารายได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนกลับไปอยู่ในวังวนการแพร่ระบาดที่จนถึงบัดนี้ยังไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่?

และไม่ต่างอะไรกับที่ชาวโลกประสบ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง James Bond และ Fast and Furious หรือแม้กระทั่งอนิเมะซีรีส์ที่ชาวอาทิตย์อุทัยสุดรักอย่าง Detective Conan (ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน) ต่างถูกเลื่อนกำหนดฉายในประเทศญี่ปุ่นจากปัญหาการแพร่ระบาด

ขณะที่ บรรดาผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ในประเทศญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกับโรงภาพยนตร์ต่างๆ ทั่วโลก เพราะถึงแม้รัฐบาลจะยอมผ่อนปรนให้เปิดกิจการได้แล้ว แต่ปัญหาที่ตามมา คือ นอกจากจะมีภาพยนตร์ให้ฉายน้อยเรื่องแล้ว รายได้ที่ได้รับก็น้อยนิดแทบจับต้องไม่ได้...ไม่ต่างอะไรกับความช่วยเหลือของรัฐบาล

ปัจจุบัน โรงภาพยนตร์ในประเทศญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้สามารถเปิดบริการได้ 2 รูปแบบ คือ 1. เปิดรับผู้ชม 50% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด ในกรณีที่โรงภาพยนตร์เปิดขายอาหารหรือเครื่องดื่ม, 2. เปิดรับผู้ชม 100% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด หากไม่เปิดขายอาหารหรือเครื่องดื่ม แต่อย่างไรก็ดี ผู้เข้าชมทุกคนจะต้องสวมหน้ากากและห้ามพูดคุยกันในระหว่างที่เข้ารับชมภาพยนตร์ ในขณะที่ บรรดาสตาฟฟ์ทุกคนก็จะต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันตามมาตรการ Social Distancing

อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว...เราคงพูดได้ใช่หรือไม่ว่า ธุรกิจโรงภาพยนตร์กำลังอยู่ปากทางของหุบเหว!

...

แต่แล้ว...ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหมองหม่นชวนสลดหดหู่นั้น จู่ๆ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา อนิเมะจากมังงะที่ร้อนแรงที่สุดแห่งยุคกลับสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่สุดเหลือเชื่อขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดโรค Covid-19 ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากมันกลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นโดย บริษัท Toho Co. สามารถสร้างรายได้ทะลุ 10,000 ล้านเยน (95.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) ได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศที่มั่งคั่งไปด้วย "สารพัดฮีโร่จากมังงะ"

"Kimetsu no Yaiba หรือ Demon Slayer หรือดาบพิฆาตอสูร" คือ ชื่อของอนิเมะสุดร้อนแรงที่มีพลานุภาพถึงขนาดสลายความหวาดวิตกของผู้คนจาก Covid-19 เพื่อสวมหน้ากากไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ได้สำเร็จ ชนิดไม่เกรงอกเกรงใจภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Tenet ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ออกฉายก่อนหน้านี้ แต่ทำเงินได้อย่างน่าผิดหวัง จนเป็นเหตุให้บรรดาหนัง Mainstream จาก Hollywood หลายต่อหลายเรื่องกลัวซ้ำรอย แห่เลื่อนโปรแกรมฉายไปเป็นปี 2021 กันจ้าละหวั่น!

10 วัน 10,000 ล้านเยน จ่อทุบสถิติแซง Spirited Away และ Your Name

ดาบพิฆาตอสูร Mugen Train The Movie หรือ เดอะมูฟวี่ รถไฟนิรันดร์ อยู่ภายใต้การกำกับของ ฮารุโอะ โซโตะซากิ (Haruo Sotozaki) ผู้กำกับมากฝีมือ ที่ผ่านการกำกับอนิเมะชื่อดังทั้งฉบับซีรีส์ทางโทรทัศน์ และฉบับโรงภาพยนตร์มาแล้วมากมาย

โดย ดาบพิฆาตอสูร Mugen Train The Movie เริ่มเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันแรกเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม และภายในระยะเพียง 3 วัน มันสามารถทำเงินได้ถึง 4,620 ล้านเยน จากนั้นอีกเพียง 9 วันต่อมา มันก็สามารถทำรายได้ทะลุ 10,000 ล้านเยนได้อย่างเหลือเชื่อ ส่งผลให้ ดาบพิฆาตอสูร Mugen Train The Movie กลายเป็นอนิเมะเรื่องที่ 7 ของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถผ่านหมุดหมาย 10,000 ล้านเยนได้สำเร็จ

แต่สิ่งที่ต้องจับตามองจากปรากฏการณ์ความร้อนแรงที่เกิดขึ้นในลำดับถัดไป คือ "ดาบพิฆาตอสูร" เวอร์ชั่นภาพยนตร์ ที่ปัจจุบันทำรายได้เป็นลำดับที่ 3 ของอนิเมะที่ทำเงินสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ต่อจากอันดับที่ 1 คือ "Spirited Away" (30,800 ล้านเยน) และอันดับที่ 2 "Your Name" (25,000 ล้านเยน) จะสามารถฝ่าด่านอนิเมะชื่อดังทั้ง 2 เรื่อง ขึ้นไปครองแชมป์หนังทำเงินอันดับ 1 ได้สำเร็จหรือไม่

...

หากแต่...มาจนถึง ณ วินาทีนี้ ต้องบอกว่า "มีโอกาสอย่างสูง" เนื่องจาก ดาบพิฆาตอสูร Mugen Train The Movie ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ สำหรับการทะลุหมุดหมาย 10,000 ล้านเยน ในขณะที่ "Spirited Away" และ "Your Name" กว่าจะทำรายได้ถึง 10,000 ล้านเยน ต้องใช้เวลามากถึง 25 วัน และ 40 วัน ตามลำดับ

ปัจจุบัน "Kimetsu no Yaiba The Movie" กำลังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ 403 แห่ง หรือเทียบเท่ากับ 80% ของจำนวนโรงภาพยนตร์ที่มีทั้งหมดทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยในแต่ละวันมีรายงานว่า ตามโรงภาพยนตร์ Multiplex (มีโรงภาพยนตร์หลายแห่งในสถานที่เดียว) บางแห่ง ต้องเปิดฉายอนิเมะที่สุดร้อนแรงนี้ รวมกันถึง 40 รอบหรือมากกว่านั้นต่อวัน เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนผู้ที่ต้องการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งต่างพากันหลั่งไหลมาชมตั้งแต่เช้าจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืน

ซึ่งโปรแกรมการฉายที่บ้าระห่ำถึงขนาดนี้ หนังสือพิมพ์อาซาฮี (Asahi Shimun) ได้รายงานว่า ชาวโซเชียลมีเดียของญี่ปุ่นต่างพากันเปรียบเปรยสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า "มันเหมือนกับตารางเวลาของรถประจำทางหรือรถไฟ มากกว่าโปรแกรมฉายภาพยนต์"

ในขณะที่ ศาสตราจารย์ ซูซาน เนเปียร์ (Susan Napier) จากมหาวิทยาลัยทรัฟส์ (Tufts University) รัฐแมสซาซูเซตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้คำอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า...

"มันน่าจะเกิดจาก หลังถูกกักให้อยู่แต่ในบ้านมานานหลายเดือนนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ทำให้ในหมู่คนหนุ่มสาวต้องการสัมผัสความสุขในแบบที่พวกเขาไม่ได้พบมันมายาวนาน"

...

โอกาสในวิกฤติ แม้ต้องฉายท่ามกลางความเสี่ยง แต่การไร้ซึ่งคู่แข่งขัน ทำให้ครองโรงฉายโกยเงินเพียงเรื่องเดียว

ซึ่งความสำเร็จของ ดาบพิฆาตอสูร The Movie จึงกลายเป็นเสมือนแสงแห่งความหวังของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งมวล สำหรับการฝ่าวิกฤติ Covid-19 ไปโดยปริยาย...

โดย ฮิโระ โอทากะ (Hiro Otaka) นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดังของญี่ปุ่น ให้ความเห็นถึงความสำเร็จของอนิเมะสุดร้อนแรงนี้ว่า...

"ตอนที่มันเป็นซีรีส์ออกฉายทางโทรทัศน์ มันได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่เด็กๆ รวมถึงคนในครอบครัว ด้วยเหตุนี้ เมื่อกลายเป็นฉบับ The Movie มันจึงกลายเป็นหนังครอบครัวที่ใครๆ ก็อยากดูไปโดยปริยาย ทุกสิ่งเกี่ยวกับอนิเมะเรื่องนี้ถูกขับเคลื่อนไปด้วยวิธีการที่ไม่ธรรมดา ที่ผ่านมา โรงภาพยนตร์แบบ Multiplex จะมุ่งให้ความสำคัญไปที่การฉายภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสูงๆ เป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ มันจึงถูกคาดหวังเอาไว้สูงตั้งแต่แรกแล้วว่า มันน่าจะสามารถทำเงินได้ถึง 10,000 ล้านเยน

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาธุรกิจโรงภาพยนตร์จะพยายามบาลานซ์การฉายภาพยนตร์แต่ละเรื่องให้เป็นไปตามความเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไปกับจำนวนโรงและรอบที่ฉาย แต่เนื่องจากในช่วงที่ ดาบพิฆาตอสูร Mugen Train The Movie ออกฉายนั้น มันไม่มีภาพยนตร์ในแนวที่คล้ายๆ กันมาออกมาเป็นคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้ แม้จะผ่านไปหลายวันแล้ว นับตั้งแต่เริ่มออกฉายจำนวนผู้ชมจึงยังคงไม่ลดลง และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าอย่างน้อยที่สุด อนิเมะเรื่องนี้น่าจะสามารถทำเงินได้อย่างน้อย 25,000 ล้านเยน"

เริ่มสะสมฐานแฟนจากมังงะและอนิเมะซีรีส์ทางโทรทัศน์ ก่อนถึงจุดพีค

เรียวตะ ฟูจิสึ (Ryota Fujitsu) นักวิจารณ์มังงะชื่อดังของญี่ปุ่น ให้ทัศนะถึงเหตุผลที่ทำให้มังงะเรื่องนี้กลายเป็นที่สนใจของทั้งแฟนคลับรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ว่า...

...

"มังงะเรื่องนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่ดึงดูดนักอ่านวัยเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างยอดเยี่ยม การให้คาแรกเตอร์หลักอย่าง คามาโดะ ทันจิโร แบกภาระอันหนักอึ้งไว้เต็มสองบ่า โดยที่ตัวเขาเป็นผู้ยอมรับมันด้วยตัวเองและไร้ซึ่งเสียงคร่ำครวญในชะตากรรมนั้น มันเหมือนการพานักอ่านไปมองเห็นบุคคลคนๆ หนึ่งที่เผชิญหน้ากับความอยุติธรรมในชีวิตอย่างตรงไปตรงมา จนสามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นได้ด้วยความพยายามและพลังแห่งความมุ่งมั่นของตัวเอง ซึ่งประเด็นการสื่อสารอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้มังงะเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง

นอกเหนือไปกว่านั้น เสน่ห์ที่น่าชวนหลงใหลอีกอย่าง คือ การสอดแทรกประเด็นดราม่าที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเหล่าปิศาจร้ายทั้งหลาย มันจึงไม่ใช่เป็นเพียงมังงะ หรืออนิเมะที่น่าตื่นเต้น แต่มันยังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอีกด้วย"

สึยูริ คานาโอะ ดาบพิฆาตอสูร
สึยูริ คานาโอะ ดาบพิฆาตอสูร

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อนิเมะเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ คือ วิธีการในการนำเสนอสำหรับเวอร์ชั่นที่ดัดแปลงสำหรับออกฉายทางโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็น 1. ปรับปรุงเนื้อหาจากฉบับมังงะให้เหมาะสมกับการนำเสนอเป็นซีรีย์อนิเมะ 2. การเลือกช่วงเวลาในการออนแอร์ให้ไปอยู่ในช่วงดึกของวันเสาร์ ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายนปี 2019 และ 3. การเลือกใช้เทคนิคพิเศษคุณภาพสูงในการทำอนิเมะ จนเป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนจนสามารถขยายฐานกลุ่มผู้ชมไปสู่วงกว้างได้สำเร็จ 

และยิ่งพอมันถูกนำไปเผยแพร่ผ่านระบบ Streaming ใน Netflix ความนิยมจึงยิ่งแพร่กระจายออกไปทั่วโลก

ด้าน ศาสตราจารย์ นอร์ทธรอป เดวิส (Northrop Davis) จากมหาวิทยาลัยเซาท์แคโรไลนา พยายามค้นหาสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเกินคาดหมายนี้ในแบบมุมมองจากฝั่งตะวันตก เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า...

"แม้คาแรกเตอร์หลักอย่าง คามาโดะ ทันจิโร จะมีความแบนราบมิติเดียว ซึ่งตัดกับขนบของ Comic จากฝั่งตะวันตกชัดเจน แต่การที่มังงะเรื่องนี้พยายามแต่งเติมสีสันให้กับคาแรกเตอร์ฝ่ายตรงกันข้าม (เหล่าปิศาจร้าย) มันจึงสามารถให้เหตุผลแก่บรรดาแฟนๆ นักอ่าน เพื่อทำความเข้าใจถึงแรงจูงใจต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันได้เป็นอย่างดี"

ดาบพิฆาตอสูร จาก Physical และ E-Book 100 ล้านก๊อบปี้ สู่อนิเมะผู้กอบกู้วงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์

เอาล่ะ! อ่านมาถึงบรรทัดนี้ สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า "ดาบพิฆาตอสูร" คืออะไร? และมันน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน? เรามีฉบับเรียนลัดเร็วมาให้คุณ ทำความรู้จักกันในเบื้องต้นกันก่อน!

ดาบพิฆาตอสูร คือ มังงะของ อาจารย์โคโยฮารุ โกโตเกะ (Koyoharu Gotoge) ที่ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ โชเน็น จัมป์ (Shonen Jump) ของสำนักพิมพ์ชูเอฉะ (Shueisha Inc.) โดยเริ่มตีพิมพ์ตอนแรกมาตั้งแต่ปี 2016

ส่วนเนื้อเรื่องนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มนักรบล่าปิศาจอันทรงพลัง หรือ Demon Slayer ที่ตระเวนกำจัดเหล่าปิศาจร้ายที่ออกไล่จับมนุษย์กินเป็นอาหาร โดยวิธีการเอาชนะปิศาจร้ายนั้นจะต้องใช้วิธีการตัดหัวหรือใช้แสงอาทิตย์แผดเผาเท่านั้น และหากเกิดพลาดท่าเสียทีให้เลือดของปิศาจเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ บุคคลนั้นก็จะกลายเป็นปีศาจไปในที่สุด โดยทั้งหมดที่ว่าไปนี้มีฉากหลังเป็นยุคไทโช (ช่วงปี 1912-1926) ของประเทศญี่ปุ่น

โดยมีคาแรกเตอร์หลัก คือ ทันจิโร คามาโดะ (Tanjiro Kamado) ซึ่งสูญเสียครอบครัวไปเกือบทั้งหมดจากการถูกปิศาจไล่ฆ่า เหลือเพียงน้องสาว เนสึโกะ คามาโดะ (Nezuko Kamado) ที่รอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียว ทันจิโรจึงต้องเข้ารับการฝึกฝนอย่างทรหดอดทน เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่ม Demon Slayer ในการสร้างโลกใบนี้ให้ปลอดภัยจากปิศาจร้าย

Kimetsu no Yaiba Mugen Train The Movie หรือ ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ รถไฟนิรันดร์ จะเป็นการเล่าเรื่องต่อจากซีรีส์อนิเมะทางโทรทัศน์ ซึ่งเพิ่งจบ Season 1 ไปเมื่อไม่นานมานี้ และมีจะมีเนื้อหาครอบคลุมมังงะต้นฉบับประมาณเล่มที่ 7 ถึงเล่มที่ 8

ปัจจุบัน ยอดขาย Kimetsu no Yaiba ทั้งในแบบ Physical และ E-Book รวมกันพุ่งทะลุเกิน 100 ล้านก๊อบปี้ไปแล้ว ในขณะที่มังงะที่ลงในนิตยสารรายสัปดาห์ โชเน็น จัมป์ นั้น ล่าสุดเพิ่งอวสานไปเมื่อเดือนพฤษภาคม (ปี 2020) ที่ผ่านมา และคาดว่า ฉบับรวมเล่ม เล่มที่ 23 ซึ่งจะเป็นเล่มสุดท้ายนั้น น่าจะวางจำหน่ายเดือนธันวาคม นอกจากนี้ ความโด่งดังของมังงะ ดาบพิฆาตอสูร ยังช่วยให้ Light Novel (หนังสือนิยายที่เกี่ยวข้องกับภาคหลัก) ขายดิบขายดีไปด้วยเช่นกัน โดยจากข้อมูลของ Nippon Shuppan Hanbai Inc. หนึ่งในบริษัทขายหนังสือยักษ์ใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า Light Novel อย่าง "Kataha no Cho" และ "Shiawase no Hana" กลายเป็นแชมป์หนังสือขายดีอันดับที่ 1 และ 2 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 ด้วย

ขณะเดียวกัน Gurenge เพลงประกอบอนิเมะซีรีส์ดาบพิฆาตอสูรจาก LiSA ศิลปินสาวชาวญี่ปุ่น ยังทะลุขึ้นอันดับหนึ่ง Oricon Chart ได้ถึง 2 สัปดาห์ติดต่อกันด้วย นอกจากนี้ กระแสความร้อนแรงของ Kimetsu no Yaiba ยังทำให้เกมและสินค้าที่ระลึกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำยอดขายในระดับสร้างปรากฏการณ์ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ คัตสึโนบุ คาโตะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ยังถึงกับต้องออกมายอมรับว่า อนิเมะเรื่องนี้มีส่วนช่วยอย่างมากในการต่อชีวิตให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของญี่ปุ่น

อย่างไรก็ดี หากนับตั้งแต่เวอร์ชั่นซีรีส์อนิเมะจนกระทั่งถึงตอนที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์ เรื่องราวของ ดาบพิฆาตอสูร เพิ่งเดินเรื่องไปถึงเพียงเกือบๆ ครึ่งทางของฉบับมังงะเท่านั้น แต่การที่มันประสบความสำเร็จชนิด "เกินกว่าความคาดหมาย" ไปมากเช่นนี้ ย่อมทำให้อนิเมะ Season 2 รวมถึงเวอร์ชั่น The Movie ที่กำลังจะค่อยๆ ทยอยตามหลังมาจะต้องเต็มไปด้วยความคาดหวังจากบรรดาสาวกอย่างชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น แรงกดดันนี้จะมีผลต่อการเดินไปข้างหน้าของ ดาบพิฆาตอสูร ท่ามกลางวิกฤติ Covid-19 ที่ยังไม่รู้จะจบสิ้นลงเมื่อไหร่ คือ สิ่งที่จะต้องติดตามเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดต่อไป

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: