- ศิลปินขั้วตรงข้ามเดือด! เมื่อเพลงของพวกเขาถูก "โดนัลด์ ทรัมป์" นำไปใช้หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
- จ่ายค่าลิขสิทธิ์ หรือนำไปใช้ในสถานที่สาธารณะ กลายเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ฉกฉวยนำเพลงมาใช้หาเสียง
- นีล ยัง ร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ ที่ประกาศจุดยืนต่อต้านการนำเพลงไปใช้หาเสียงของทรัมป์เป็นรายแรกๆ ยื่นฟ้องฐานละเมิดลิขสิทธิ์และเรียกค่าเสียหายเต็มสูบ
"จอห์น ฟอเกอร์ตี้" (John Fogerty) อดีตนักร้องและนักแต่งเพลงวง CCR (Creedence Clearwater Revival) วงดนตรีแนวเซาท์เทิร์นร็อกชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักแต่งเพลงวิพากษ์สังคม ได้ทวีตข้อความส่งตรงถึงประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" อย่างชนิดไม่ยำเกรง ว่า ห้ามนำทั้งเนื้อเพลงและเสียงร้องของเขาในเพลง "Fortunate Son" ซึ่งเป็นบทเพลงที่มีเนื้อหาสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำของชนชั้นในสังคม ไปใช้สำหรับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่งวดเข้ามาถึงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ที่จะถึงนี้
โดยนักดนตรีชื่อดังให้เหตุผลถึงการตัดสินใจ "แบน" ท่านผู้นำทรัมป์ ในครั้งนี้ว่า...
"ผมเขียนเพลงนี้ขึ้นมาในฐานะทหารผ่านศึก ผมจึงรู้สึกรังเกียจใครบางคนที่พยายามเพิกเฉยต่อการรับใช้ประเทศชาติ ด้วยการใช้เอกสิทธิ์ทั้งทางการเมืองและความมั่งคั่งของตัวเอง รวมถึงบรรดาเศรษฐีที่ไม่ยอมเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และความจริงวันนี้ คือ ทั้งมิสเตอร์ทรัมป์ และบรรดาแฟนคลับของเขา ทำตัวเป็นพวกเปลวไฟแห่งความเกลียดชัง เหยียดเชื้อชาติ และสร้างความหวาดกลัว จากสิ่งที่พวกเขาทำในช่วงที่ผ่านมา นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเหล่านี้ไม่ควรเอาเพลงของผมไปใช้"
...
แต่เดี๋ยวก่อน... จอห์น ฟอเกอร์ตี้ หาใช่ศิลปินคนแรกที่อาจหาญลุกขึ้นมาประกาศห้ามท่านผู้นำทรัมป์เอาเพลงของเขาไปใช้ในการหาเสียง นั่นเป็นเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้งก่อนและหลังชนะการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2016 ความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และบรรดาศิลปินผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย มักจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก หลักฐานที่แสดงออกอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ คือ ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม ปี 2017 เราแทบไม่ได้เห็นศิลปินคนใดไปปรากฏในพิธีดังกล่าว
หรือ...ตัดภาพกลับมาในปัจจุบัน ช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง เราก็แทบจะหาศิลปินคนใดที่จะไปปรากฏตัวในแคมเปญการหาเสียงของท่านผู้นำได้ยากยิ่งนัก ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องที่ "ผิดปกติ" ไปจากธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาอยู่ไม่ใช่น้อย
แต่คำถามคือ ทำไม? และเพราะอะไร?
ซึ่งคำตอบ ของ ทำไม? และ เพราะอะไร? นั้น ศิลปินน้อยใหญ่หลายคนต่างพูดตรงว่า...
"ความสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมาย และการโต้เถียงในพื้นที่สาธารณะโดยไม่จำเป็น" คือ คำตอบของคำถามนั้น...พวกเขาไม่ต้องการมีจุดเชื่อมโยงกับท่าที และนโยบายสุดโต่งในบางเรื่องหรืออาจจะทั้งหมดของท่านผู้นำทรัมป์นั่นเอง...
หากแต่...แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ลากเอาตัวเองไปมีจุดเชื่อมโยงกับผู้นำคนนี้ แต่ความเป็นจริงที่แสนเจ็บปวด คือ Mr.President คนนี้ ก็มักจะฉกฉวยเอาผลงานของพวกเขาเหล่านั้นไปเป็นประโยชน์ทางการเมืองอยู่ดี แถมเมื่อพยายามแสดงตัวอย่างเต็มที่ว่าไม่อยากเกี่ยวข้อง แต่รอยโหว่ทางกฎหมาย ทั้งหากมีการจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ หรือนำไปใช้ในสถานที่สาธารณะ ทุกอย่างก็จบ!
ขณะเดียวกัน Mr.Trump เองก็ไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยสักนิดว่า จะยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของทั้งเขาและเธอด้วยเช่นกัน...
มันจึงนำไปสู่การต่อสู้ระหว่าง Hell No และ Ignored ที่ยาวนานติดต่อกันร่วม 4 ปีแล้ว ส่วนสงครามที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร จิกกัดกันดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน เชิญเหวี่ยงสายตาลงไปอ่านในบรรทัดต่อไปได้เลย!
1. Neil Young
ร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ คือ ผู้หาญกล้าประกาศจุดยืนในเรื่องนี้เป็นคนแรกๆ หลังพบว่า เพลง Rockin’ in the Free World ของตัวเอง ถูกนำไปใช้ในการหาเสียงของท่านผู้นำที่ Trump Tower เมื่อปี 2015
...
โดยหลังจากรู้ข่าว "นีล ยัง" ได้ตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนผ่านโฆษกส่วนตัวทันทีว่า
"นีล ยัง เป็นผู้สนับสนุน เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders อดีตผู้เสนอตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต) นอกจากนี้ยังไม่เคยมีการขออนุญาตนำเพลงดังกล่าวไปใช้ในการหาเสียงมาก่อน"
อย่างไรก็ดี เมื่อทีมงานหาเสียงของ Mr.Trump ยอมเซ็นเช็คจ่ายเงินอย่างถูกต้องเพื่อนำเพลง Rockin’ in the Free World มาใช้จนได้ "นีล ยัง" ได้ให้โฆษกส่วนตัวออกมากรีดท่านผู้นำด้วยถ้อยคำที่สุดเจ็บแสบว่า...
"แม้ Mr.Trump จะเป็นแฟนคลับตัวยงของ นีล ยัง และมันคงจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ถึงแม้ในความเป็นจริงมันจะสวนทางกับมุมมองทางการเมือง ของ นีล ยัง ก็ตาม"
แต่แม้จะถูกกัดจิกมากถึงขนาดนี้ แต่หัวหน้าทีมหาเสียงของทรัมป์ก็ยังคงยืนกรานต่อไปว่าจะใช้เพลง Rockin’ in the Free World เป็นส่วนหนึ่งในการหาเสียงต่อไป "นีล ยัง" จึงต้องออกโรงมาแสดงจุดยืนด้วยตัวเองว่า...
"การแสดงออกถึงความเกลียดชังในเพศตรงข้าม และการเหยียดเชื้อชาติ ไม่อาจสั่นคลอนจุดยืนทางการเมืองของผมได้ นอกจากนี้ ผมยังมีความยินดีที่จะให้ เบอร์นี แซนเดอร์ส สามารถนำทุกเพลงของผมไปใช้ในการหาเสียงได้ หากเขาร้องขอด้วย"
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนคำพูดเสียดสีเหล่านี้จะไม่มีผลใดๆ กับ Mr.Trump แม้แต่เพียงเล็กน้อย เพราะยังคงมีการใช้เพลงดังกล่าวในแคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
นีล ยัง จึงหมดความอดทน จัดการเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านผู้นำทรัมป์ ให้ยุติการนำเพลงของเขาไปใช้ (อีกครั้ง) ในปี 2018 แต่มันก็ยังคงไร้ผลอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ นีล ยัง จึงจัดชุดใหญ่ใส่ท่านผู้นำทันทีว่า
"เขาเลือกที่จะไม่ฟังคำร้องขอของผม เช่นเดียวกับการที่เลือกที่จะไม่รับฟังเสียงของชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ร้องให้เขาหยุดถ้อยคำโกหกที่มีอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการใช้วาทศิลป์ที่อันตราย น่าอับอาย และแสดงความเกลียดชังของเขาลงสักที"
...
อย่างไรก็ดี ในการรณรงค์หาเสียงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเทอมที่ 2 ของท่านผู้นำทรัมป์นี้ ซึ่งยังคงมีการนำเพลง Rockin’ in the Free World และ Devil’s Sidewalk มาใช้อีกหลายต่อหลายครั้ง นีล ยัง จึงจัดหนักด้วยการยื่นฟ้องร้องฐานละเมิดลิขสิทธิ์และจะเรียกค่าเสียหายขั้นสูงสุดเท่าที่จะสามารถเรียกได้ ภายหลังจากฝ่ายกฎหมายของเขาตรวจสอบแล้วว่า คราวนี้ ไม่ได้มีการยื่นขออนุญาตอย่างเป็นทางการ Oops!
2. R.E.M.
เมื่อเพลงดังอย่าง It’s the End of the World ของตำนานวงอัลเทอร์เนทีฟร็อก อย่าง R.E.M. ถูก Mr.Trump นำไปเปิดในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเมื่อปี 2015 อย่างชนิดหูดับตับไหม้ ไมเคิล สไตป์ (Michael Stipe) นักร้องนำของวงถึงกับอดรนทนไม่ไหว ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง Mr.Trump เพื่อร้องขอให้หยุดการกระทำดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องว่า
"สื่อมวลชนและชาวอเมริกัน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งควรมุ่งความสนใจไปที่ภาพรวม และไม่ควรให้นักการเมืองคนใดหันเหความสนใจของเราไปจากประเด็นปัญหาเร่งด่วน รวมถึงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ"
นอกจากนี้ ไมเคิล สไตป์ ยังได้ทวีตข้อความตำหนิพรรครีพับลิกันอย่างรุนแรง โดยเรียกคนในพรรคนี้ส่วนใหญ่ว่า (ซึ่งก็คงจะหมายถึงท่านผู้นำทรัมป์นั่นแหละ) ว่า เป็นพวกซึมเศร้า เรียกร้องความสนใจ และเป็นเพียงผู้ชายตัวเล็กที่หิวกระหายอำนาจ
...
แต่แม้จะแสดงความเดียดฉันท์ถึงเพียงนี้ Mr.Trump ก็ยังคงไม่ไยดี ยังคงใช้เพลงของพวกเขาในการหาเสียงต่อไป และในเมื่อทำอะไรไม่ได้ R.E.M. จึงแต่งเพลงที่มีชื่อว่า World Leader Pretend ออกมาเสียดสีท่านผู้นำเป็นการแก้เผ็ดแทน (แต่ก็คงไม่ผ่านต่อมความรู้สึกอีกล่ะมั้ง)
3. Twisted Sister
แรกเริ่มเดิมที ดี สไนเดอร์ (Dee Snider) Front Man ของ Twisted Sister วงเฮฟวี่เมทัลชื่อดัง เห็นดีเห็นงามไปกับท่านผู้นำ Trump เป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดประกาศอนุญาตให้สามารถนำเพลงฮิตสร้างชื่อ และสัญลักษณ์ของวงอย่าง We’re Not Gonna Take It ไปใช้ในระหว่างแคมเปญการหาเสียงเมื่อปี 2015 พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นในตัวท่านผู้นำว่า จะสามารถสร้างแรงขับเคลื่อนครั้งใหญ่ให้กับการเมืองของสหรัฐอเมริกาได้
แต่แล้วหลังคำกล่าวนั้น อีกเพียงไม่กี่เดือนต่อมาหลังท่านผู้นำทรัมป์เริ่มแสดงจุดยืนทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ช่วงระยะเวลาฮันนีมูนอันหวานฉ่ำ ระหว่างท่านประธานาธิบดีและร็อกสตาร์ชื่อดัง ก็ถึงคราวสิ้นสุดลง...
"มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ผมโ_ตร จะไม่เห็นด้วยเลยกับจุดยืนแบบสุดโต่งของเขา (ทรัมป์)"
และแทบจะในทันทีที่ผู้มีอิทธิพลในวง เปลี่ยนจุดยืน เจย์ เจย์ เฟรนช์ (Jay Jay French) มือกีตาร์ของวง จึงออกมาผสานเสียงการเลิกสนับสนุนท่านผู้นำทันที ด้วยการออกมาพูดว่า...
"ความเอนเอียงในเรื่องจุดยืนทางการเมืองส่วนบุคคลนั้น มักถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ควรอนุญาตให้ Mr.Trump ใช้เพลงของวงเราได้อีกต่อไป"
4. Adele
"I am 100 percent for Hillary Clinton"
"ฉันสนับสนุน ฮิลลารี คลินตัน 100%"
บรรทัดข้างบนนั่นคือ...เสียงตะโกนดังๆ จากนักร้องสาวร่างท้วมเสียงทรงพลังอย่าง อเดล (Adele) หลังท่านผู้นำทรัมป์แสดงความชื่นชอบศิลปินสาวชาวอังกฤษอย่างออกนอกหน้า ด้วยการนำเพลงประจำตัวของเธออย่าง Rolling in the Deep และ เพลง Skyfall ไปใช้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงปี 2015
โดยหลังแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจนเป็นการตอบโต้แล้ว อเดล ยังตบหน้าท่านผู้นำด้วยการขึ้นไปปรากฏตัวบนเวทีหาเสียงท่ามกลางผู้สนับสนุนนับพันของ ฮิลลารี คลินตัน อย่างเป็นทางการ ก่อนจะพูดด้วยเสียงดังๆ ฟังชัดๆ อีกครั้ง "ฉันรักคุณ ฮิลลารี คุณ Amazing มากๆ" อืม...จบข่าวนะ!
5. Elton John
"I’m not a Republican in a million years"
"ฉันจะไม่มีวัน เป็น รีพับลิกัน ไปจนอีกล้านปี"
โอ...Wow นี่อาจเป็นวรรคทองในแบบฉบับที่ดูรุนแรงกว่าของ Adele มากมายนักจากปากของ ท่านเซอร์เอลตัน จอห์น ยอดนักแต่งเพลงและสุดยอดนักร้องของโลก หลังพบว่าเพลงฮิตของตัวเองอย่าง Rocket Man และ Tiny Dancer ถูกนำไปใช้สำหรับการรณรงค์หาเสียงของท่านผู้นำทรัมป์
แต่หากเพียงเท่านั้นจัดว่า "แรง" แล้ว ประโยคปฏิเสธคำร้องขอให้ไปร่วมพิธีสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่ง United State Of America ของอัศวินแห่งเสียงเพลงท่านนี้ อาจจะ "แรง" Hook เข้าปากกว่า
"ทำไมไม่ไปลองไปถามใครก็ได้ในเหล่าสตาร์เลวๆ ในประเทศของคุณ บางทีคนพวกนี้อาจทำเพื่อคุณได้" อึม...ยานแม่ แร๊งงงงได้ใจ...
6. The Rolling Stones
You Can’t Always Get What You Want ของ The Stones ถูกเปิดกระหน่ำในช่วงการหาเสียง ในขณะที่ เพลง "Start Me Up" ถูกเปิดฉลองความสำเร็จหลังชนะศึกการคัดเลือกเป็นผู้แทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของ Mr.Trump
นั่นแหละ Front Man ของวง อย่าง มิก แจ็กเกอร์ (Mick Jagger) จึงหมดความอดทน จัดการร่อนแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ เรียกร้องให้ท่านผู้นำ ยุติการนำเพลงทุกเพลงของ The Stones ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตในทุกกรณีทันที
"Don't use our music"
"อย่าใช้เพลงของเรา"
Front Man ของ The Stones ทวีตประกาศในทวิตภพ ขณะกำลัง Q&A กับบรรดาลูกๆ หลานๆ แฟนคลับ ก่อนจะตบท้ายที่แสดงออกถึงความพยายามในเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้วว่า...
"เราเคยบอกไปแล้วหลายต่อหลายครั้งว่า วงของเราไม่ต้องการให้ Mr.Trump เอาเพลงของเราไปใช้ แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแห่งเสรีภาพ ทำให้คุณสามารถที่จะเล่นเพลงอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ ตามสถานที่สาธารณะอย่างเมดิสัน สแควร์ การเด้นท์ หรือโรงละคร
ฉะนั้น หากคุณเดินเข้าไปในร้านอาหาร แล้วพบว่ามีคนกำลังเล่นเพลงที่คุณแต่งอยู่ คุณก็ไม่สามารถไปห้ามไม่ให้เขาเล่นได้เพลงนั้นได้ เพราะเขาสามารถจะเล่นอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ!"
อย่างไรก็ดี ในเมื่อความอดทนเดินมาถึงขีดจำกัด เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา The Stones จึงได้ออกมาขู่ว่าจะดำเนินการตามกฎหมายกับท่านผู้นำ (อีกครั้ง) โทษฐานนำเพลงของพวกเขาไปข้องเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง โดยไม่ได้รับอนุญาต และหากยังคงมีการฝ่าฝืนจะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน
7. Queen
"ไม่ว่ามุมมองของเราจะเป็นอย่างไร กับทุกๆ จุดยืนทางการเมืองของ Mr.Trump แต่มันก็ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อนโยบายการอนุญาตให้นำเพลงของวง Queen ไปใช้สำหรับการรณรงค์หาเสียงทางการเมือง ที่พวกเรายึดถือมาโดยตลอด และผมขอยืนยันว่า ไม่เคยมีการขออนุญาตนำเพลงของพวกเราเพลงไหนไปใช้เลยสักเพลงด้วย!"
ป๋าไบรอัน เมย์ (Brian May) มือกีตาร์วงราชาในนามราชินี ลุกขึ้นมาสวด Mr.Trump หลังนำเพลงที่ทางวงสุดรักสุดหวงอย่าง We Are the Champions ไปใช้ในการเปิดตัวศึกคัดเลือกเป็นผู้แทนพรรครีพับลิกันเมื่อปี 2016
อย่างไรก็ดี เมื่อ Mr.Trump ยังคงเพิกเฉยต่อความพยายามทุกวิถีทางของวงร็อกที่ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานของวงการดนตรีโลก ป๋าไบรอัน เมย์ จึงทำได้เพียงออกมายอมรับแบบเศร้าๆ ว่า
"เรารู้สึกผิดหวัง กับการนำเพลงของเราไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตหลายต่อหลายครั้ง ทั้งๆ ที่เราเพียรพยายามร้องขอให้หยุดการกระทำแล้วก็ตาม" โอว...ขนาดป๋ายังต้องยอม!
8. George Harrison
ป๋าจอร์จ แฮริสัน แห่งวงสี่เต่าทอง The Beatles ลั่นทวีตด้วยข้อความสุดเหน็บแนมที่ว่า...
"หากมีการนำเพลง "Beware of Darkness" (ระวังความมืดมิด) ไปใช้ บางทีเราอาจยอมอนุญาตให้นำไปใช้ได้!"
โดยเหตุการณ์ดังที่กล่าวไปในบรรทัดข้างบนนั้น เกิดขึ้นภายหลังจากมีการนำเพลง "Here Comes the Sun" จากอัลบั้ม Abbey Road ของ The Beatles ซึ่งป๋าเป็นคนเขียนเนื้อเพลงไปเปิดในระหว่างที่ Mr.Trump ปรากฏตัวพร้อมลูกสาว อิวากา ทรัมป์ ในศึกคัดเลือกเป็นผู้แทนพรรครีพับลิกัน เมื่อปี 2016 (อีกแล้ว...แสดงว่างานนี้น่าจะเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดาศิลปินที่ไม่ชื่นชอบท่านผู้นำเป็นแน่แท้)
ซึ่งทันทีที่เพลง Here Comes the Sun ลั่นออกมาในงานดังกล่าว ป๋าจอร์จ แฮริสัน ต้องรีบออกตัวมาในทันทีทันใดว่า เราไม่อนุญาตให้นำเพลงนี้ไปใช้ และก็อีกตามเดิมเมื่อท่านผู้นำไม่ยินยอมทำตามคำร้องขอป๋าจึงต้องฟาดกลับด้วยทวีตอันลือลั่นที่ว่า
9. Steven Tyler แห่ง Aerosmith
ขอแนะนำให้ชมคลิปนี้ก่อนที่จะอ่านในบรรทัดถัดไป
ชมกันเรียบร้อยแล้วนะ และนั่นคือ สาเหตุที่ทำให้ สตีฟ ไทเลอร์ (Steven Tyler) Front Man ปากกว้างแห่ง Aerosmith ถึงกับอดรนทนไม่ได้ ทำหนังสืออย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อให้ Mr.Trump หยุดทำท่าตีกลองประกอบเพลงบัลลาดสุดบาดลึกอย่าง Dream On ไปใช้ในการรณรงค์หาเสียงในช่วงปี 2015
แต่ข้อเรียกร้องครั้งนี้ผิดไปจากทุกครั้ง นั่นเป็นเพราะในอีก 2-3 เดือนต่อมา Mr.Trump กลับยินยอมทำตามคำขอ โดยการทวีตประกาศยุติการใช้เพลง Power Ballad เพลงนี้ ว่า
"ถึงแม้ว่าผมจะมีสิทธิตามกฎหมายอย่างถูกต้องในการใช้เพลงนี้ของสตีฟ แต่เขาก็ร้องขอไม่ให้ผมทำเช่นนั้น"
ฟังเหมือนจะดูดีใช่ไหม? แต่ความจริงวันนี้ก็คือ...เหล่าสมาชิกวง Aerosmith ที่เหลืออย่าง โจ เพอร์รี (Joe Perry) กีตาร์ และ โจอี้ คราเมอร์ (Joey Kramer) มือกระหน่ำกลองนั้น ต่างมีจุดยืนที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันมายาวนาน โดยเฉพาะ โจอี้ คราเมอร์ (Joey Kramer) นั้น ถือเป็นผู้สนับสนุน Mr.Trump ระดับแฟนพันธุ์แท้เลยก็ว่าได้! ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้นำจึงยอมถอยหนึ่งก้าวให้กับป๋าไทเลอร์ที่มีลูกสาวสวยราวกับนางฟ้า
แต่แล้ว ความบาดหมางระหว่างร็อกเกอร์รุ่นเดอะกับท่านผู้นำก็เวียนมาบรรจบอีกครั้งจนได้ เมื่อเพลงสุดฮิตของทางวงอย่าง Livin’ on the Edge ถูกนำไปใช้เมื่อปี 2018 ป๋าไทเลอร์ตอบโต้ด้วยการให้ผู้แทนทำหนังสือถึงท่านผู้นำให้หยุดการกระทำดังกล่าวทันที พร้อมกับขู่ว่าจะมีการดำเนินการทางกฎหมายด้วย แต่คราวนี้ป๋าไทเลอร์ทำไมสำเร็จ เพราะท่านผู้นำเล่นบท Ignored ต่อหนังสือข้อเรียกร้องดังกล่าว...
10. Prince
"เราไม่อนุญาตให้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ ทำเนียบขาว นำทุกเพลงของ Prince ไปใช้งาน และเราขอให้หยุดการกระทำดังกล่างทันที!"
หนังสืออย่างเป็นทางการจากคนในครอบครัว ของ สุดยอดศิลปินแห่งดนตรี POP ผู้ล่วงลับ ส่งตรงถึงท่านผู้นำทันที หลังมีการหยิบเพลงประจำตัวของเจ้าชายแห่งวงการดนตรี อย่าง Purple Rain ไปใช้เมื่อปี 2018
แต่ผลก็อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกัน ท่านผู้นำทรัมป์ ยังเล่นบท Ignored เช่นเดิม!
11. Rihanna
หลังรู้ข่าวจากทวีตของผู้สื่อข่าววอชิงตันโพสต์ว่า ท่านผู้นำทรัมป์นำเพลง Don’t Stop the Music ของเธอ ไปเปิดในระหว่างงานหาเสียงช่วยผู้สมัครชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันในปี 2018
Rih ทำการตอบโต้ผ่านทวิตเตอร์ทันทีว่า "ฉันและบรรดาผู้สนับสนุนจะไม่มีวันไปอยู่ใกล้ๆ กับการชุมนุมที่น่าเศร้าสลดแบบนั้น"
12. Axl Rose แห่ง Guns N’ Roses
เหตุเกิดในวันเดียวกันกับการทวีตตอบโต้อย่างดุเดือดของ Rihanna หลังเพลงล้างบาง เอ๊ย Sweet Child O’ Mine ของเฮฟวี่ร็อกสุดดุดันอย่าง Guns N’ Roses ถูก Mr.Trump นำไปเปิดในการประชุมพรรครีพับลิกัน ที่เวสต์เวอร์จิเนีย (West Virginia)
เอ๊กเซิล โรส (Axl Rose) Front Man ของวงปืนและกุหลาบ ซึ่งเลื่องลืออยู่แล้วเรื่องการใช้มธุรสวาจากับผู้อื่นอยู่เป็นเนืองนิตย์ จึงได้ลั่นทวีตตอบโต้ไปในทันทีว่า...
"แย่_ิบหายที่ทรัมป์มักจะใช้ช่องโหว่ เรื่องการนำเพลงไปเปิดตามสถานที่สาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตใช้เพลงในแคมเปญทางการเมือง ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้ มันไม่ได้เอาไว้เพื่อจุดประสงค์ทางด้านการเมืองที่บ้าคลั่งแบบนี้ แถมมันยังเป็นการกระทำที่ยังไม่ได้รับอนุญาติจากศิลปินที่แต่งมันขึ้นมาอีกด้วย แบบนี้เรียกว่า เ_ว ได้ไหม? และแ_่งก็โคตรแปลกที่บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์ดันมารวมตัวกันเพื่อฟังเพลงที่แสดงออกถึงการต่อต้าน ทรัมป์แบบนั้น" โอว...สมแล้วที่เป็น ป๋า Axl จริงๆ
13. Ozzy Osbourne
หลังท่านผู้นำทรัมป์ทำคลิปล้อเลียนพรรคเดโมแครต โดยมีการนำท่อนริฟกีตาร์สุดมันและเสียงกรีดร้องจากเพลง Crazy Train ของเจ้าชายแห่งความมืดมิดอย่าง ออสซี ออสบอร์น (Ozzy Osbourne) ไปใช้ประกอบโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อปี 2019
เจ้าชายพระนาม Ozzy จึงมีบัญชาส่งตรงถึงมนุษย์ผู้ชายที่มีชื่อว่า ทรัมป์ทันที...
"แกห้ามเอาเพลงข้าไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกเป็นอันขาด ทำไมแกถึงไม่ติดต่อบรรดานักร้องเพื่อนแก (ศิลปินที่สนับสนุนทรัมป์) อย่าง คานเย เวสต์ (Kayne West), คิด ร็อก (Kid Rock) หรือ เท็ด นูเจนต์ (Ted Nugent) ดูล่ะ ไอ้พวกนี้มันน่าจะอนุญาตให้แกใช้เพลงของพวกมันอยู่นะ" จบคำบัญชาจากขุมนรก!
อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว บางทีประเทศๆ หนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจไม่ได้เป็นประเทศเดียวในโลกที่เนืองแน่นไปด้วยความขัดแย้งทุกหย่อมหญ้า เพราะแม้แต่ประเทศที่อวดอ้างว่า เต็มไปด้วยเสรีภาพและภราดรภาพทุกตารางนิ้ว ภท่านผู้นำเองก็ยังมีปัญหากับศิลปิน ทั้งในเรื่องการแสดงออกทางการเมือง และช่องโหว่ทางกฎหมายได้อยู่เลยก็แปลกพิกลดีอยู่นะ!
ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์
ข่าวน่าสนใจ: