ใกล้จะสิ้นปีแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนคงกำลังภาวนาให้การแพร่ระบาดโควิด-19 (COVID-19) จบสิ้นลงสักที หรือเป็นไปได้ก็อยากให้ "วัคซีน" สำเร็จไวๆ ทั่วโลกจะได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ แล้วออกไปเปิดหูเปิดตาในต่างแดนกันบ้าง

ว่าไป...ก่อนหน้านี้ก็พอจะมีข่าวดีออกมาให้ได้ยินเป็นระยะกับการทดลอง "วัคซีนโควิด-19" ในคน ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ด้วยดี และน่าจะทันใช้ไม่ปลายปีนี้ก็ต้นปีหน้า

แต่อยู่ๆ ก็มี "ข่าว" บั่นทอนความมั่นใจ

เมื่อ "อาสาสมัคร" ที่เข้าร่วมการทดลองวัคซีนโควิด-19 เกิดเสียชีวิต!!

จนมีคำถามว่า "วัคซีนโควิด-19 ยังมีความหวังอยู่หรือไม่?"

เรียกว่าเป็นคำถามที่สร้างความหนักใจให้กับ "ผู้ตอบ" ไม่น้อย เพราะจนถึงขณะนี้ ผลลัพธ์ของวัคซีนโควิด-19 ก็ยังคลุมเครืออยู่ เพราะอาสาสมัครรายนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันตัวตน

อย่างไรก็แล้วแต่...เมื่อมี "คำถาม" ก็ต้องไปลองหา "คำตอบ" ...ส่วนจะเป็นอย่างไร เราไปไล่เรียงกัน!

เปิดสัปดาห์ วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม ANVISA, The Brazillian Health Regulatory Agency หรือสำนักงานเฝ้าระวังสุขภาพแห่งชาติ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขของบราซิล ออกมาแจ้งข่าวช็อกโลกว่า อาสาสมัครการทดลองวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) เสียชีวิตแล้ว ...และแม้จะมีอาสาสมัครเสียชีวิต แต่ทางคณะกรรมการระหว่างประเทศก็เสนอให้การทดลองควรดำเนินต่อไป

...

หากยังจำกันได้ วัคซีนของ AstraZeneca มีการพัฒนาร่วมกับ "มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด" ที่ตอนแรกๆ นั้นเรียกกันสั้นๆ ว่า "วัคซีนออกซ์ฟอร์ด" ซึ่งเป็นการจุดประกายความหวังให้กับชาวโลกในห้วงเวลาอันแสนเจ็บปวดของปี

หากถามว่า "วัคซีนโควิด-19 ที่ฉีดให้กับอาสาสมัครรายนี้ เป็นต้นเหตุการเสียชีวิตใช่หรือไม่?"

ทาง AstraZeneca ก็ไม่ให้คำตอบในเรื่องนี้ โดยอ้างว่าเป็นข้อบังคับเกี่ยวกับการรักษาความลับและการวิจัยทางคลินิก ส่วนมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดก็ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของการทดลองวัคซีนโควิด-19

ถ้าจะสรุปคำตอบสั้นๆ จากที่ AstraZeneca และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเปรยมานั้น ก็คงบอกได้ว่า "วัคซีนโควิด-19 ยังเป็นความหวังได้ ปลอดภัยหายห่วงอย่ากังวล"

เอาล่ะ...แม้ผู้ผลิตวัคซีนจะไม่อาทรร้อนใจใดๆ จากข่าวการเสียชีวิตของ "อาสาสมัคร" ที่ว่านั้น

แต่ในแง่ของ "นักลงทุน" แล้ว ขวัญเสียไปตามๆ กัน

อย่างตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศของชาวอเมริกัน (American Depositary Receipt: ADR) ที่ลงทุนใน AstraZeneca ก็ร่วงถึง 3.3% ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เมื่อช่วงบ่ายวันพุธที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่ หุ้น AstraZeneca PLC (AZN:LN) เอง วันเดียวกันนั้นก็ดิ่งลงหนักที่สุด ราคาอยู่ที่ 50.47 ดอลลาร์สหรัฐฯ (1,581.23 บาท) เท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาในวันถัดมา และปิดตลาดที่ 52.02 ดอลลาร์สหรัฐฯ (1,629.97 บาท)

แล้วสถานการณ์ วัคซีน ตอนนี้เป็นอย่างไร?

คำตอบก็คือ "ยังไม่มีวัคซีนตัวไหนที่จะสามารถใช้ได้จริงๆ"

"วัคซีนโควิด-19" ทุกตัวล้วนอยู่ในขั้นตอนทดลองทั้งสิ้น

ยิ่งในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา การวิจัยทางคลินิกในหลายๆ ประเทศทั่วโลกต้องหยุดชะงักชั่วคราว หลังอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรมีอาการป่วยบางอย่าง เพิ่งจะเริ่มกลับมาทดลองกันใหม่อีกครั้งก็ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ทั้งในสหราชอาณาจักร, บราซิล, แอฟริกาใต้ และอินเดีย

ส่วนพี่ใหญ่ "สหรัฐอเมริกา" ที่การทดลองก็หยุดชะงักชั่วคราวเช่นกัน เพิ่มความกังวลให้กับผู้คนทั่วโลกไปอีกยิ่งขึ้น เพราะหากว่ากันตามเนื้อผ้า การทดลองวัคซีนโควิด-19 ของสหรัฐฯ นับเป็นความหวังเดียวของโลกในตอนนี้ เพราะมีการพัฒนารวดเร็วที่สุด อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นว่า...ต้องพักการทดลองชั่วคราวเพื่อสอบสวนโรคในกลุ่มอาสาสมัคร

แต่ AstraZeneca ก็ออกมาเรียกความมั่นใจอีกครั้ง ที่คาดหวังว่า การทดลองวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐฯ จะกลับมาดำเนินการใหม่ได้อีกครั้งในปีนี้ และก็หวังว่า ทั่วโลกจะเห็นพ้องในการลงความเห็นให้มีการทดลองนอกสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้

มาต่อกันที่อีกประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "วัคซีนโควิด-19"

นั่นก็คือ การดีเบตรอบสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา ระหว่าง ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" และผู้ท้าชิง "โจ ไบเด็น" เรียกว่าเข้มข้นทุกวินาที

ถามว่า "แล้วเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 อย่างไร?"

ในวันนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้คุยโวเสียงดังแข็งขันว่า ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ วัคซีนโควิด-19 ทั้ง 2 บริษัท จะพร้อมให้ใช้งานแก่สาธารณะ และจะให้กองทัพเป็นผู้นำการขนส่งในการดูแลแจกจ่ายวัคซีนหลายแสนโดสแก่ประชาชนชาวอเมริกันเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

...

คำพูดนี้ของประธานาธิบดีทรัมป์นับเป็นเรื่องที่ดี แต่...คำถามคือ "ประธานาธิบดีมีอำนาจในการสั่งการหรือออกข้อบังคับให้ประชาชนได้รับวัคซีนโควิด-19 ทุกคนได้หรือไม่?"

คำตอบ คือ "ไม่ได้!"

ทำไม? ...เราจะมาอธิบายสั้นๆ ให้เข้าใจกัน

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่สามารถบังคับสั่งการให้มีการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ไปทั่วประเทศได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับนี้ได้ในเร็วๆ นี้ด้วย ...นี่จึงกลับไปสู่ความจริงที่ว่า "รัฐบาลสหรัฐฯ มีข้อจำกัดในอำนาจ!!"

อย่างแรกเลย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่สามารถออกกฎหมายเองได้ สภาคองเกรสต่างหากที่เป็นคนทำ โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีหน้าที่ลงนามประกาศในกฎหมายหรือใช้อำนาจในการยับยั้ง (VETO) เท่านั้น หลังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายแล้ว

ง่ายๆ ว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการบังคับใช้วัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ อาจต้องอาศัยอำนาจของสภาคองเกรสในการผ่านกฎหมายต่างๆ เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดโรค เช่น การให้ผู้โดยสารแอมแทร็ก (Amtrak) ฉีดวัคซีนป้องกัน

...

หรือในอีกทางหนึ่ง สามารถออกข้อบังคับวัคซีนได้ ย้อนกลับในปี 2448 กรณีจาคอบสัน (Jacobson) กับแมสซาชูเซตต์ (Massachusett) ที่ศาลสูงสหรัฐฯ ชี้ขาดให้รัฐมีอำนาจในการบังคับใช้การฉีดวัคซีนหรือ "การปลูกฝี" เมื่อมีความจำเป็นทางสาธารณสุขหรือความปลอดภัยสาธารณะ เพราะในตอนนั้นประเทศมีความน่ากังวลเกี่ยวกับไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกทางที่เป็นไปได้ว่า อาจหยิบยกคำพิพากษาในคดีก่อนๆ มาเป็นมาตรฐานในการตัดสินครั้งนี้ ที่ให้อำนาจผู้ว่าการรัฐในการออกข้อบังคับหรือคำสั่งเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ได้

แต่ก็ใช่ว่าจะใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ ขอย้ำว่า "ต้องจำเป็นเท่านั้น!!"

...

เพราะแม้รัฐจะสามารถออกคำสั่งเกี่ยวกับวัคซีนได้ แต่วัคซีนนั้นก็ต้องได้รับการแนะนำจากอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน (Advisory Committee on Immunization Practices: ACIP) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี (Centers for Disease Control and Prevention) เท่านั้น โดยทางอนุกรรมการฯ จะพิจารณาวัคซีนที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่และเด็กบนพื้นฐานการทดลองที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และยังต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration) ด้วย

เห็นไหมว่า การจะแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ คิดอยากแจกก็แจก มันมีข้อบังคับของมันอยู่ ซึ่งที่สุดแล้วทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่บนความปลอดภัยของประชาชนทั้งสิ้น.

ข่าวน่าสนใจ :