หนุ่มใหญ่วัย 54 ปี สุดโชคร้ายจู่ๆ กลายเป็นผู้พิการ แต่ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาชีวิต ขี่รถสกู๊ตเตอร์สี่ล้อปลูกสวนมะม่วง 20 ไร่ หาเลี้ยงชีวิตตนเองและลูก เพราะไม่อยากเป็นภาระใคร
MONDAY SHARES ในวันนี้เป็นอีกเรื่องราวน่าชื่นชมในความรักความผูกพันที่แน่นแฟ้นของพ่อลูก และยังเป็นเรื่องราวที่น่าเห็นใจเป็นอย่างมาก กับชีวิตต้องสู้ของ นายพุทธกะ รัฐไชย หรือ พ่อคม วัย 54 ปี อาศัยใน อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่พิการ เดินไม่ได้ แต่สู้ชีวิต ขี่สกู๊ตเตอร์สี่ล้อไปทำสวนมะม่วงกว่า 20 ไร่ ซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลฯ ทุกวัน เพื่อสร้างรายได้มาจุนเจือครอบครัว
พ่อคมเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตสุดพลิกผัน จากที่เดินได้จู่ๆ กลายเป็นผู้พิการว่า ครอบครัวยึดอาชีพทำสวนมะม่วงนอกฤดูมา 20 กว่าปี นับตั้งแต่ปี 2541 โดยเช่าสวนมะม่วงที่ปลูกทิ้งไว้มากว่า 30 ปี ปีละ 1 หมื่นบาท ปีหนึ่งได้กำไร 2-3 หมื่นบาท
: แค่เสี้ยววินาที ชีวิตเปลี่ยนฉับพลัน :
...
กระทั่งในเดือน มิ.ย. 2557 ตอนหัวค่ำ เกิดเหตุการณ์ร้ายไม่คาดคิด ขณะตัดแต่งกิ่งมะม่วงตามลำพังอยู่บนต้นมะม่วง แต่งไปแต่งมาไปเหยียบกิ่งมะม่วง แต่ไม่ทันมองว่าเป็นกิ่งที่ผุ เพราะมีแมลงกินซ่อนด้านใน กำลังจะเอื้อมมือใช้กรรไกรตัดกิ่ง จู่ๆ กิ่งมะม่วงหักพรวด ทำให้พลัดตกโดนกิ่งมะม่วง 3-4 กิ่งกว่าจะร่วงถึงพื้น
เมื่อตั้งสติได้ จับตามตัวที่นอนหงายอยู่ ไม่มีเลือดสักหยด แต่พอจะลุกขยับเขยื้อน ตะเกียกตะกายตัวเพื่อไปหยิบไฟฉายที่หล่นห่างจากตัวไม่ถึงศอก เพื่อส่องให้คนมาช่วย กลับพลิกตัวไม่ได้ โชคดีที่คลำรอบตัวเจอโทรศัพท์ที่เอว จึงโทรไปบอกภรรยาซึ่งบ้านอยู่ห่างจากสวนที่เช่า 70 กิโลฯ ให้มาช่วย ผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมงจึงถูกช่วยเหลือและพาตัวไปโรงพยาบาล
ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล พ่อคมบอกกับตัวเองคงไม่เป็นอะไรมาก แต่เมื่อหมอตรวจอาการแล้ว กลับต้องช็อก เมื่อหมอบอก ซี่โครงหักทั้งตัว และกระดูกสันหลังทับเส้น ข้อที่ T5 ทำให้ร่างกายตั้งแต่ราวนมจนถึงปลายเท้าทั้งสองไม่มีความรู้สึก และเคลื่อนไหวไม่ได้ตลอดชีวิต ส่วนมือทั้งสองยังใช้ได้ดี แต่จะมีบางทีมือซ้ายจะมีอาการชา จากคนร่างกายแข็งแรง แค่เสี้ยววินาทีจู่ๆ ต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต พ่อคม เล่าความรู้สึกวินาทีแรกที่รู้ข่าวร้ายว่า
“ไม่คิดเลยว่าจะเดินไม่ได้ สภาพจิตใจย่ำแย่มาก กว่าจะยอมรับได้ก็ใช้เวลาปรับใจอยู่นานเป็นอาทิตย์ แต่ก็พยายามเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอให้ลูกเห็น”
: หวังปาฏิหาริย์ให้กลับมาเดินได้ ลูกคือพลังวิเศษ :
หลังทำใจยอมรับได้ พ่อคมแอบหวังว่าคงมีปาฏิหาริย์ เมื่อกลับมาอยู่บ้าน พยายามรักษาตามวิถีชาวบ้านต่างๆ ทั้ง นวด กินยาสมุนไพรที่ใครๆ แนะนำ เพื่อจะให้เดินได้ แต่สุดท้ายไม่เป็นผลสำเร็จ พ่อคมจึงใช้หลักธรรมเป็นที่พึ่งทางใจ มองเป็นกรรมเก่าในอดีตจึงรู้สึกสบายใจและไม่คิดมาก จากนั้นก็ปรับแนวคิดใหม่ ถึงจะเดินไม่ได้ก็ต้องไม่เป็นภาระใคร
...
แม้แรกๆ แค่ปั่นวีลแชร์ก็ยังลำบาก บางครั้งพยุงตัวเองขึ้นไม่ได้จนเกือบล้ม แต่พ่อคมก็ไม่ย่อท้อในโชคชะตาชีวิต เรียนรู้และทำบ่อยๆ สุดท้ายก็คุ้นชิน และยังยึดอาชีพทำสวนมะม่วงเหมือนเดิม แต่ไม่ได้เช่าสวนมะม่วงแล้ว มาทำสวนมะม่วงของตัวเอง 7 ไร่ที่เก็บเงินซื้อเอง และสวนของพ่ออีก 13 ไร่ที่ให้ทำฟรี
แม้ต้องนั่งวีลแชร์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นขี่รถสกู๊ตเตอร์สี่ล้อ แต่พ่อคมทำงานสวนได้ทุกอย่างเยี่ยงคนปกติ ทั้งขุดดิน ปลูก ดายหญ้า ใส่ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่ง ล่าสุดปลูกทุเรียน ปลูกฝรั่งเพิ่ม เหตุผลที่ทุ่มเททำงานหนัก พ่อคมบอกว่า
“อะไรที่ทำเองได้ก็ทำ ไม่อยากเป็นภาระใคร อยู่เฉยๆ จะยิ่งเครียด ไม่มีค่า ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้ว ก็คนเคยทำได้ทุกอย่าง จู่ๆ เดินไม่ได้ แต่ผมสู้ เพราะให้กำลังใจตัวเอง และลูกก็เป็นกำลังใจที่ดี คอยอยู่ดูแลตั้งแต่รักษาตัวที่โรงพยาบาล ทำให้ผมมีพลังสู้ต่อไป”
...
: รักแท้ พ่อ ลูก ไร้ข้อจำกัดใดๆ ขวางกั้น :
แม้จะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ในความโชคร้าย พ่อคมบอกยังมีความโชคดีที่ลูกสาวรักและดูแลดีเสมอมา เป็นเวลากว่า 6 ปีที่ต้องเป็นผู้พิการ ทั้งคอยอุ้มขึ้นวีลแชร์ อุ้มขึ้นเตียง อาบน้ำให้ ซักเสื้อผ้า ถูบ้าน กวาดบ้าน จัดที่นอน ทำกับข้าวให้กิน และกายภาพบำบัดให้ตามที่พยาบาลสอนไว้
เวลาลูกไปเรียน ต้องอยู่ห่างไกลกันก็ติดต่อกันทางแชต วิดีโอคอลหากัน ยามฝนตกก็โทรมาบอกอย่าออกไปทำงานในสวน เดี๋ยวจะเป็นไข้ นอกจากนี้ยามว่างจากการเรียน ลูกสาวก็ยังเข้าสวนมะม่วง ช่วยทำทุกอย่าง ทั้ง ดายหญ้า ตัดแต่งกิ่ง และลูกสาวไม่เคยอายที่มีพ่อพิการ อีกทั้งยังคอยขับรถพาไปเที่ยวทำบุญที่วัด พาไปกินชาบู
นอกจากลูกคือพลังใจสำคัญที่ยิ่งใหญ่แล้ว พ่อคมบอก 6 ปีที่ใช้ชีวิตร่วมกับคำว่าพิการอย่างเข้าใจ กำลังใจจากตัวเองก็สำคัญ พ่อคมบอก เกิดเป็นคนอย่าดูถูกตัวเอง อย่ารอให้คนอื่นมาช่วย ไม่ว่าจะคนปกติหรือคนพิการ ความสามารถมีกันทุกคน อยู่ที่การฝึกฝนและอดทน ก็จะทำให้มีชีวิตเข้มแข็ง ผ่านอุปสรรคในแต่ละวันได้
...
“คนที่พิการ ขอให้พิการแค่กาย ใจอย่าพิการตาม ต้องสู้ อย่าหมดหวัง อย่าท้อถอย อย่างผมก็จะสู้ต่อไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต เพื่อตัวเอง และเพื่อลูก ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้” พ่อคม กล่าวให้แง่คิด
: โชคดีที่ได้ดูแลพ่อ ความพิการไม่ใช่สิ่งน่าอาย :
ด้าน น.ส.โชติมา รัฐไชย หรือ เอ วัย 21 ปี กำลังเรียน ปวส. การโรงแรมที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อคม เล่าถึงความรักและความผูกพันกับพ่อว่า ปกติตั้งแต่เด็ก ทั้งสองแสดงความรักต่อกัน เติมพลังใจให้กันและกันทุกวันด้วยการกอด หอม และคุยกันทุกเรื่อง
ตอนรู้ข่าวพ่อตกต้นมะม่วงก็รีบมาดูแล รู้สึกสงสารพ่อจับหัวใจที่ต้องเดินไม่ได้ตลอดชีวิต เวลาไปเรียนรู้สึกเป็นห่วง กลัวพ่อจะเป็นอันตรายระหว่างขี่สกู๊ตเตอร์สี่ล้อ ระยะทางเกือบ 1 กิโลฯ จากบ้านไปดูแลสวนมะม่วง แต่โชคดีที่ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้า มีโทรศัพท์ไว้โทรหา ทักไลน์ วิดีโอคอลหากัน และเพื่อไม่ให้พ่อเครียด พ่อเหงาก็สอนพ่อให้เล่นเฟซบุ๊ก เปิดเพลง ฟังเทศน์จากยูทูบ
บางคนอาจจะอายที่มีพ่อพิการ แต่สำหรับเอแล้ว เธอบอกไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น ถือเป็นความโชคดีต่างหากที่เป็นโอกาสได้ดูแลพ่อ
“เวลาพาพ่อไปข้างนอก เอไม่อายนะ ดีกว่าปล่อยให้พ่อเครียดอยู่บ้าน เออุ้มพ่อขึ้นลงรถบ่อยจนชินแล้ว แต่หลังๆ เริ่มหนักบ้าง เพราะเอผอมลง มีคนมาบอก ไม่หาคนมาช่วยหามพ่อ ถ้ามาช่วย แต่ไม่รู้จังหวะก็จะเสียศูนย์ล้มทั้งสามคน” เอเล่าถึงสายใยรักผูกพันระหว่างพ่อลูก
: ยามมีโอกาสจงดูแลพ่อแม่ อย่าคิดได้ในวันที่สาย :
ชีวิตถึงจะพลิกผัน ปีเดียวเจอ 2 มรสุมใหญ่ ทั้งเดือน มิ.ย. พ่อพิการ ต่อมาเดือน พ.ย. แม่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุชนท้ายรถพ่วง แต่เอ ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ไม่เคยท้อแท้ และยึดมั่นความกตัญญูเสมอมา นอกจากคอยดูแลเอาใจใส่พ่อแล้ว ยังช่วยแบ่งเบาภาระ โดยหลังจบ ม.6 ไปทำงาน 2 ปี
สำหรับอาชีพที่ใฝ่ฝัน เออยากเป็นข้าราชการ แต่ลึกๆ แล้วอยากช่วยพ่อทำสวน เพราะเป็นรายได้หลักของครอบครัว นอกเหนือจากได้เบี้ยคนพิการและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน และพ่อสอนไว้ควรมีอาชีพเสริม เอจึงขายของออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊กตัวเองควบคู่กับการเรียน ช่วยให้พอมีรายได้เลี้ยงตัวเองบ้าง แต่ตั้งแต่ช่วงโควิดเริ่มย่ำแย่ ขายไม่ค่อยดี ส่วนสวนมะม่วงก็เริ่มขาดทุนตั้งแต่ปี 62 พ่อต้องกู้เงินมาใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่ทั้งเอและพ่อคมก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะและใช้จ่ายอย่างประหยัด และมีความหวังว่าสักวันชีวิตจะดีขึ้น
สำหรับผู้ที่มีฐานะ “ลูก” เอฝากทิ้งท้ายให้แง่คิดในการดูแลพ่อ แม่ จากประสบการณ์ตัวเองที่แม่จากไปอย่างกะทันหันว่า ลูกที่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ ถือว่าเป็นคนมีบุญที่สุด และการกตัญญูต่อพ่อแม่มันเป็นหน้าที่ ไม่ใช่ภาระ
“ใครยังมีพ่อแม่ ให้ดูแล ต้องดูแลให้ดี เวลาจะมีมากมีน้อยก็แบ่งเวลาให้พ่อแม่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ดีกว่ามานั่งดูรูป ร้องไห้เสียใจทีหลังตอนที่ตายจากกันไปแล้ว ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ตอนที่เรายังมีโอกาส อย่าปล่อยให้ถึงเวลาที่คิดได้ในวันที่ไม่มีพวกเขาแล้ว เราจะรู้สึกเสียดายและเสียใจไปตลอดชีวิต”.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
ข่าวน่าสนใจ