ในช่วงที่ "โควิด-19" (COVID-19) ระบาดหนัก สะเทือนทั้งอุตสาหกรรม "ธุรกิจสายการบิน" ต้องพักยาว มีแต่ทรงกับทรุด ทำให้บางเจ้าฮึดสู้ ผุดไอเดียธุรกิจแบบใหม่ เปิดเที่ยวบินเส้นทาง "วงกลม" ขึ้นเครื่องและลงจอดที่สนามบินเดิม ให้คนในประเทศดื่มด่ำกับชะโงกทัวร์บนน่านฟ้า คลายความคิดถึงวิวมุมสูงและการนั่งเครื่องบิน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ "ยินดีต้อนรับผู้โดยสารทุกท่าน" ไปสัมผัสประสบการณ์กับเที่ยวบินแสนพิเศษนี้
"เที่ยวบินพิเศษ" ที่ว่านี้ เรียกกันว่า "Flights to nowhere" ความหมายคือ "ไม่ได้บินไปไหน" เพราะว่าขึ้นบินที่ไหนก็วนกลับมาลงจอดที่เดิม
เจ๋งไหมล่ะ? แต่ขอบอกว่า การบินชมวิวทิวทัศน์โดยไม่ลงจอด...ไม่ใช่ไอเดียใหม่แต่อย่างใด มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ 43 ปีก่อน โดยสายการบิน "แอร์ นิวซีแลนด์" (Air Newzealand) และสายการบิน "แควนตัส" (Qantas) ของออสเตรเลีย
43 ปีก่อน ทั้ง 2 สายการบิน ได้เปิดเที่ยวบินชมทิวทัศน์มุมสูงของทวีปแอนตาร์กติกา ขั้วโลกใต้ โดยให้ผู้โดยสารได้ชมความงามของผืนน้ำแข็งบนที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาส (First Class) แต่แล้ว...หลังจากประสบความสำเร็จกับเที่ยวบินพิเศษนี้ได้เพียง 2 ปี ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1979 ก็เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้น! เมื่อสายการบินแอร์ นิวซีแลนด์ เที่ยวบิน TE901 ที่บรรทุกผู้โดยสาร 257 คน ได้พุ่งชนภูเขาไฟเอราบัสในแอนตาร์กติกา เสียชีวิตทั้งลำ...
เหตุการณ์โศกนาฏกรรมในวันนั้นเกิดขึ้นเวลาประมาณ 12.00 น. กัปตัน "จิม คอลินส์" ได้ขับบินเป็นวงกลม 2 ครั้ง และลดระดับความสูงลงที่ 2,000 ฟุต เพื่อให้ผู้โดยสารมองเห็นวิวได้ชัดขึ้น ซึ่งเขาคิดว่า เครื่องบินยังอยู่บนเส้นทางบินเดิมที่เคยบินมาแล้ว คือ เหนือช่องแคบในแอนตาร์กติกา โดยไม่ได้สังเกตสังเกตปัญหาใดๆ ขณะที่ ผู้โดยสารบนเครื่องบินเองก็กำลังสนใจถ่ายภาพและชมวิวจากหน้าต่าง แต่พอไม่กี่นาทีหลังจากนั้น...สิ่งที่ห้องควบคุมมองเห็นกลับเป็น "ภูเขา" ทั้งลูก สัญญาณเตือนภัยระยะใกล้ดังขึ้น และ 6 วินาทีจากนั้นก็ดับลง เมื่อเครื่องบินพุ่งเข้าชนอย่างจัง ก่อนจะไถลตกลงมาด้านข้างภูเขาอาราบัส
...
จากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งนั้น ทำให้สายการบินแอร์ นิวซีแลนด์ ยุติเส้นทางบินไปแอนตาร์กติกาถาวร แม้หลายปีต่อมาจะมีเสียงเรียกร้องให้จัดเที่ยวบินชมทิวทัศน์อีกครั้งโดยบินออกจากสนามบินนิวซีแลนด์ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม เนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจัดว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่ร้ายแรงที่สุดอันดับ 3 ของชาวกีวี่
ส่วนสายการบินแควนตัสก็มีการยกเลิกเที่ยวบินไปแอนตาร์กติกา หลังเกิดอุบัติเหตุ 3 เดือนให้หลัง แล้วกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในปี 1994 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แล้วในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้เอง ก็ทำให้สายการบินสัญชาติไต้หวันนำไอเดีย "Flights to nowhere" มาปัดฝุ่นใหม่ กลายเป็นแผนการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อกลุ่มนักท่องเที่ยวที่คิดถึงการเดินทางไปต่างประเทศ
โดยสายการบินแรกที่ขึ้นบิน คือ "สตาร์ลักซ์ แอร์ไลน์" (Starlux Airline) น้องใหม่ที่เพิ่งจะเปิดบินพาณิชย์อย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2020 แต่ก็ต้องถูกพักยาวหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเพราะโรคระบาดที่ปะทุไปทั่วโลก ถึงอย่างนั้นสายการบินสตาร์ลักซ์ก็คิดแผนขึ้นบินอีกครั้ง โดยใช้เครื่องบินลำใหม่อายุไม่ถึง 1 ปี รุ่นแอร์บัส เอ321 นีโอ จัดเที่ยวบินพิเศษออกจากสนามบินนานาชาติเถาหยวน ไทเป เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ระยะเวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งจะลดระดับความสูงลงตามแนวชายฝั่งเกาะไต้หวันและสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เพื่อให้ผู้โดยสารได้ถ่ายภาพมุมสูงของเมือง และที่พิเศษไปกว่านั้น เที่ยวบินแรกนี้ มี Chang-Kuo-Wei ประธานบริหารของสายการบินสตาร์ลักซ์ ทำหน้าที่เป็นนักบินและหัวหน้าทัวร์ที่คอยแนะนำสถานที่ที่บินผ่าน
และอีกสายการบินสัญชาติเดียวกัน "เอวาร์ แอร์" (EVA AIR) ก็จัดเที่ยวบินพิเศษในเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อเฉลิมฉลองวันพ่อแห่งชาติของไต้หวัน (8 ส.ค.) โดยใช้เครื่องบินลายการ์ตูนซานริโอ (SANRIO) หรือตัวการ์ตูนดังที่หลายคนรู้จัก "เฮลโล คิตตี้" (Hello Kitty) ด้วยเครื่องบินรุ่นแอร์บัส เอ330-300 ดรีมเจ็ต
กระแสตอบรับของการท่องเที่ยวบินวนกลับนี้ เรียกว่า "ดีเกินคาด!" เกิดปรากฏการณ์ขายตั๋วหมดภายในไม่กี่นาที จนทั้ง 2 สายการบิน มีแผนจะจัดเที่ยวบินแบบนี้เพิ่มขึ้นจนถึงสิ้นปี อีกทั้งยังมีสายการบินสัญชาติอื่นๆ เข้ามาร่วมแจม โดยใช้ชื่อเรียกอื่นๆ เช่น เที่ยวบินชมทิวทัศน์ หรือภัตตาคารบนฟ้า
สำหรับจุดขายของเที่ยวบินแบบ Flights to nowhere คือ มีการบริการบนเครื่องบินที่พิเศษกว่าปกติ อาทิ ฟรี Wifi, ความบันเทิงครบครันทั้งดูหนังฟังเพลง, เสิร์ฟอาหารฝีมือเชฟดีกรีมิชลินสตาร์, ช็อปปิ้งปลอดภาษี (Duty Free) และรับของที่ระลึกจากเที่ยวบิน
กลับมาที่ "แควนตัส" สายการบินสัญชาติออสเตรเลีย ที่ได้เลือกใช้เครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ หน้าต่างกว้างที่สุดที่เคยมีการผลิตมาในอุตสาหกรรม เมื่อบินผ่านแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง เกรตแบริเออร์รีฟ และโขดหินอุลูรู จะมีการลดระดับความสูงลงเหลือ 4,000 ฟุต เพื่อให้ผู้โดยสารมองเห็นวิวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถชะโงกดูวิวจากบนฟ้าเหมือนได้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวนำเที่ยว เป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวในประเทศอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้มีผู้คนสนใจจำนวนมากเลยทีเดียว โดยราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 17,000-84,000 บาท
ในขณะที่ สายการบินญี่ปุ่น "ออล์ นิปปอน แอร์เวย์" (ANA) เลือกใช้เครื่องบินรุ่นแอร์บัส เอสอี เอ380 เครื่องบิน 2 ชั้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากที่สุดถึง 800 คน เปิดขายตั๋วชั้นประหยัดราคา 8,300 บาท และเฟิร์สคลาส 20,000 บาท ซึ่งปกติแล้ว เครื่องบินลำนี้จะมีเส้นทางหลักบินไปโฮโนลูลู เมืองหลวงของฮาวาย ดังนั้น ตลอดทริปพิเศษนี้จึงมีการสร้างบรรยากาศที่เหมือนกับฮาวาย และยังเปิดขายของที่ระลึกร่วมธีม
...
รวมทั้งสายการบินอย่าง "รอยัล บรูไน" ที่นำเสนอแคมเปญภัตตาคารบนฟ้า พร้อมเสิร์ฟอาหารฝีมือเชฟมิชลินสตาร์ขณะบินวนชมน่านฟ้าของบรูไน มีราคาเริ่มต้นที่ 3,500-4,600 บาท และสายการบินราคาประหยัดของ "ไทเกอร์แอร์" ไต้หวัน ที่มีเส้นทางบินผ่านเกาะเชจู แต่ที่พิเศษกว่านั้น คือ ตั๋วบินครั้งนี้รวมราคาเที่ยวบินไป-กลับ ไต้หวัน-เกาหลีใต้ ที่มีอายุ 1 ปี หลังจากที่มีการประกาศเปิดประเทศอีกด้วย รวมแล้วราคา 7,500 บาท
แต่ถึงจะมีการจัดเที่ยวบิน "ไม่ได้ไปไหน" แต่ทุกสายการบินยังต้องรักษามาตรการการป้องกันตัวเอง เพื่อลดการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเครื่องบินจะมีการทำความสะอาดใหม่ทั้งลำ ผู้โดยสารและลูกเรือสวมหน้ากากอนามัย และต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้ที่นั่งตรงกลางต้องว่างเปล่า
ในเมื่อสายการบินไม่สามารถรับผู้โดยสารได้เต็มเครื่อง...แล้วแบบนี้จะคุ้มค่าหรือ?
หากลองคิดดูแล้ว ถึงสายการบินจะไม่ได้กำไรมากนัก แต่ก็ได้ประโยชน์มากมายเลยทีเดียว
อันดับแรก การออกไปบินเป็นการรักษาเครื่องบินไปด้วยในตัว เนื่องจากอากาศยานราคาแพงนี้ออกแบบมาเพื่ออยู่บนน่านฟ้า การจอดทิ้งไว้เฉยๆ จึงเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าซ่อมบำรุง ยางล้อถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการบินขึ้น-ลงเท่านั้น หากต้องจอดเครื่องบินอยู่กับที่แล้วให้ล้อรับน้ำหนักหลายสิบตันตลอดเวลาจะเป็นการเร่งให้ยางเกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
...
อีกทั้งเครื่องยนต์ของเครื่องบินก็เหมือนกับรถยนต์ หากไม่มีการใช้งานเป็นเวลานาน สารหล่อลื่นจะไม่ถูกสูบให้ไหลเวียนไปยังส่วนต่างๆ แต่จะทิ้งตัวอยู่ที่ก้นถัง ทำให้เกิดการอุดตันหรือเกิดสนิมเกาะที่ชิ้นส่วนอื่น จนทำให้การทำงานของเครื่องยนต์ขัดข้อง เช่น ฐานล้อไม่สามารถกางออกหรือพับเก็บได้เมื่อต้องการใช้งาน โดยปกติแล้วสายการบินจะต้องดูแลรักษาเครื่องบินเป็นประจำ แต่สำหรับเครื่องบินที่จอดทิ้งไว้เฉยๆ นั้น เรียกได้ว่ามีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับ
แถมช่วยให้นักบินรักษาชั่วโมงการบิน หรือ Keep current license สาเหตุก็เป็นเพราะว่าทักษะการขับเครื่องบินไม่เหมือนการขับรถทั่วไป เนื่องจากสถานการณ์การบินเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามกฎขององค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) นักบินจะต้องบังคับการบินขึ้น-ลงอย่างน้อย 3 ครั้งทุก 90 วัน และจะต้องมีการทดสอบ Pilot Proficiency Check ทุก 6 เดือน การจัดเที่ยวบิน Flght to nowhere จึงช่วยให้นักบินของบริษัทรักษาสถานะใบอนุญาตการบินไว้ได้ และพร้อมจะทำการบินอีกครั้งเมื่อเปิดการบินระหว่างประเทศอีกครั้ง
นอกจากนั้น การจัดเที่ยวบินพิเศษนี้ยังช่วยให้สายการบินรักษาลูกค้าประจำที่คิดถึงการขึ้นเครื่องบินสามารถใช้ไมล์สะสมมาแลกตั๋วสำหรับเที่ยวบินนี้ได้ สรุปแล้วสายการบินยักษ์ใหญ่ของประเทศต่างๆ ที่เป็นเจ้าของเครื่องบินลำใหญ่ซึ่งถูกจอดทิ้งไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคมต่างก็หันมาใช้วิธีจัดเที่ยวบินพิเศษนี้เพื่อประโยชน์หลายด้านที่กล่าวถึง
แต่อย่างไรก็ดี มีนักวิจารณ์ที่ออกมาแสดงความเห็นว่า การจัดบินแบบ "ไม่ได้ไปไหน" เป็นการทำร้ายสิ่งแวดล้อมโดยใช่เหตุ เนื่องจากอุตสาหกรรมการบินเป็นสาเหตุของการปล่อยมลพิษต่อโลกถึง 2% ในปี 2018 การบินพลเรือนทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 918 ล้านตัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด "ร็อบ แจ็คสัน" คาดการณ์ว่าการปล่อยมลพิษทั่วโลกจะลดลง 7% ถ้ามีการปิดเมืองจนถึงสิ้นปี
...
"สิงคโปร์ แอร์ไลน์" (Singapore Airline) ตัดสินใจถอนตัวจากการจัดเที่ยวบินไม่ได้ไปไหน หลังจากที่มีการสำรวจตลาดและประเมินผลได้ผลเสีย "ในตอนนี้เราไม่มีแผนจะทำแบบนั้น" โฆษกของสายการบินแถลง แม้ว่าจะมีลูกค้าหลายคนที่ให้ความสนใจกับไอเดียเที่ยวบิน "Flights to nowhere" โดยสายการบินสิงโปร์ แอร์ไลน์ เลือกเปิดขายตั๋วขึ้นเครื่องบินแอร์บัส เอ380 ซึ่งจอดอยู่กับที่แทน เพิ่มความพิเศษตรงที่จะได้เที่ยวชมพื้นที่ส่วนตัวของสายการบินประจำชาติและรับประทานอาหารฝีมือเชฟชื่อดังชาวสิงคโปร์
ในระหว่างที่ธุรกิจการบินยังดำเนินกิจการได้ไม่เต็มที่ และมีแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน สายการบินต่างก็ต้องหาทางออกให้กับตัวเอง เพื่อไม่ให้ล้มหายตายจากไปในช่วงวิกฤตินี้ซะก่อน.
ข่าวน่าสนใจ:
- ท่องโลกบนวีลแชร์ กล้าฝันกล้าทำ ร่างกายไม่ใช่อุปสรรค
- โควิดอยู่ติดบ้าน นั่งนอนเนือยนิ่ง หัวใจ-ปอด-สมอง อ่อนแอ
- "แฟชั่นยั่งยืน" แบรนด์หรูไม่จริงใจ สร้างภาพรักษ์โลก แค่การตลาดตามเทรนด์
- 4 กลยุทธ์ กระตุ้นเที่ยวถนนข้าวสารโฉมใหม่ ตลาดคนไทยกลับมา 70-80%
- เมื่อ COVID-19 กระชากด้านมืดวงการบันเทิงญี่ปุ่น "สัญญาทาส" ที่มีอยู่จริง