ชีวิตเกินคาดฝัน มีวันนี้เพราะพระพุทธศาสนา จากลูกชาวนา ฐานะยากจน ต้องบวชเรียน ใฝ่ฝันอยากเป็นทหาร มุมานะ สู้ชีวิต จนเข้ารับราชการทหารเป็น อนุศาสนาจารย์ (Chaplain) พุทธคนไทยคนแรกของกองทัพบกสหรัฐฯ
นับได้ว่า ร้อยเอกสมญา มาลาศรี เป็นบุคคลน่าภาคภูมิใจของวงการคณะสงฆ์ไทยอีกคนหนึ่งที่ไม่ท้อแท้กับโชคชะตาว่าเกิดมาจน แต่พากเพียร สู้ชีวิต พัฒนาตัวเองจนนำพาชีวิตมาถึงเส้นชัยได้เป็นทหารสมดังฝัน และยังได้ทำหน้าที่ “อนุศาสนาจารย์พุทธ” คนไทยคนแรกของกองทัพบกสหรัฐฯ
“ตอนเด็กเห็นเครื่องบิน บินผ่าน แค่คิดว่าอยากจะได้นั่งสักครั้งในชีวิตก็ไม่อยากคิดเพราะมันไกลเกินฝัน แต่ทุกอย่างที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้ คือพระพุทธศาสนา” ร.อ.สมญา มาลาศรี อนุศาสนาจารย์ประจำ กองพันสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์ที่ 68 th, กองพลทหารสนับสนุนที่ 4 ค่าย ฟอร์ท คาร์สัน รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เผยความรู้สึกข้ามทวีปกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จากนั้นย้อนเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็กที่ทำให้เข้าสู่วงการพระพุทธศาสนาจนชีวิตได้ดีมาจนทุกวันนี้
...
: ความจนบีบบังคับ ความหวังเป็นทหารริบหรี่ :
ร.อ.สมญา เปิดเผยชีวิตแสนรันทดว่า เป็นลูกคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน พ่อแม่มีอาชีพทำนา ฐานะยากจนใน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ทำให้พอเรียนจบ ป.6 ต้องหยุดเรียนทั้งๆ ที่เรียนค่อนข้างดีและอยากเรียนต่อ ทำให้ความฝันอยากเป็นทหารยิ่งไกลเกินเอื้อม และมีบ่อยครั้งต้องแอบร้องไห้เมื่อเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันปั่นจักรยานผ่านหน้าบ้านเพื่อไปเรียนต่อ
เมื่อไม่ได้เรียนต่อแม่ส่งไปทำงานในตัวเมืองบุรีรัมย์ เป็นเด็กซ่อมรถ ทำงานทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 6 ทุ่ม ได้เงินวันละ 30 บาท ก็แบ่งเงินส่งให้แม่ใช้ ทำงานเป็นเด็กซ่อมรถอยู่ปีกว่าๆ ตัดสินใจเข้ากรุงเทพกับน้ามาทำงานในโรงฟอกหนัง จ.สมุทรปราการ ไม่นานเริ่มเบื่อก็เปลี่ยนอาชีพไปเรื่อยๆ ตามประสาวัยรุ่น ไปทำโรงงานยางแถวบางขุนเทียน ทำงานก่อสร้างหมู่บ้านเศรษฐกิจ แถวเพชรเกษม ได้ค่าแรงวันละ 60 บาท
: เส้นทางสู่ร่มกาสาวพัสตร์ พลิกชีวิตสนใจภาษาอังกฤษ :
ช่วงทำงานที่กรุงเทพฯ อายุ 16 ปี ก็เกเร กินเหล้าตามประสาวัยรุ่น วันหนึ่งกลับบ้านมาเยี่ยมแม่ที่ไม่สบาย เห็นสภาพแม่แล้วตัดสินใจบวชให้แม่สักระยะแล้วจะสึก และลึกๆ ที่บวชเพราะอยากมีอนาคตที่ดีเหมือนน้องชายย่า ที่เคยบวชได้เป็นมหา สึกออกมารับราชการเป็นครู
หลังบวช ชีวิตเปลี่ยนทันที มีแต่เรื่องดีๆ ได้ติดตามพระผู้ใหญ่ไปที่ต่างๆ เห็นช่องทางศึกษาต่อจนสอบเรียนเปรียญธรรมประโยคต่างๆ และเริ่มสนใจภาษาอังกฤษ หลังเห็นพระพม่าใน จ.กระบี่ พูดภาษาอังกฤษคล่องปร๋อ จึงอยากพูดภาษาอังกฤษได้บ้างจึงตามพระพม่าไปเที่ยวเกาะสอง ประเทศพม่า เมื่อกลับไทยตัดสินใจไปเรียนภาษาอังกฤษกับครูลูกครึ่งที่พ่อเป็นคนอังกฤษ แม่เป็นชาวกะเหรี่ยงในพม่า
ครบ 1 ปี เรียนจบก็กลับไทย และมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ โดยสมัครเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียน ที่ จ.สุพรรณบุรี จนเทียบจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นสอบเข้าเรียนต่อคณะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วัดศรีสุดาราม กรุงเทพฯ จนจบปริญญาตรี รุ่นที่ 46 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ “พระมหาสมปอง ตาลปุตโต”
: ชีวิตพลิกผันสู่อเมริกา อายุ 34 ปี ตัดสินใจลาสิกขา :
กระทั่งวันหนึ่ง เกิดจุดเปลี่ยนให้เริ่มเข้าสู่เส้นทางชีวิตในต่างประเทศ หลังเรียนจบปริญญาตรีจาก มจร. สอบพระธรรมทูตได้วีซ่าพระสงฆ์ 2 ปี มาอยู่วัดพุทธวราราม เมืองเดนเวอร์ ไม่นานก็ไปอยู่วัดสันติธรรม เมืองโคโลราโดสปริง 1 พรรษา จากนั้นย้ายมาอยู่วัดธรรมคุณาราม
...
ระหว่างจำพรรษาที่วัดธรรมคุณาราม ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มจากทหารอเมริกันทั้งสัญชาติลาว สัญชาติเวียดนามที่นับถือศาสนาพุทธมาไหว้พระที่วัด จึงจุดประกายให้อยากเป็นทหาร อาชีพที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่ยังมองไม่เห็นช่องทาง ก่อนวีซ่าครบจึงตัดสินใจลาสิกขาในวัย 34 หลังอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์บวชเป็นเณร 4 พรรษา และบวชพระ 13 พรรษา ร.อ.สมญา ย้อนเล่าบรรยากาศการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมว่า
“ช่วงแรกๆ มาอยู่อเมริกามี culture shock เพราะทุกอย่างใหม่หมด ไม่คุ้นเคยฝรั่ง แต่สักพักก็คุ้นเคย เนื่องจากฝรั่งส่วนมากที่มาวัดเป็นสามีของป้าๆ คนไทยที่มาวัด ก็คุ้นเคยกับวัดและวัฒนธรรมแบบไทยพุทธอยู่แล้ว บางคนไม่ถือตัวก็มาสอนภาษาอังกฤษให้ด้วย ทำให้เรียนรู้วัฒนธรรมอเมริกันได้เร็วขึ้น”
: เส้นยาแดงผ่าแปด พบช่องทางเป็นทหารอเมริกาในวัย 35 :
เหมือนชะตาชีวิตถูกลิขิตไว้ เมื่อวีซ่าครบ 2 ปี กลับมาอยู่ไทยได้ไม่นาน พระที่อเมริกาติดต่อให้ไปช่วยงานศาสนาที่วัดในอเมริกา เพราะเห็นว่าพูดภาษาอังกฤษได้ดี โดยวัดจะเดินเรื่องออกกรีนการ์ดให้ จึงกลับมาใช้ชีวิตในอเมริกาอีกครั้ง
...
จนเข้าสู่ปีที่ 3 ที่ช่วยงานศาสนาได้เจอทหารอเมริกันเชื้อสายเวียดนามมาที่วัดเพื่อมาขอพรก่อนไปสงครามที่อิรัก เลยได้คุยกัน และได้ทราบว่าถ้ามีกรีนการ์ด สามารถสมัครเป็นทหารได้ และในตอนนั้นทางกองทัพกำลังเปิดรับตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ของทางพุทธศาสนา
เมื่อเห็นโอกาสที่ดี จะรอช้าไย จากนั้นก็รีบไปสมัครทหารที่ศูนย์ทหารฟอร์ต แจ็คสัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด และได้รับคัดเลือกเป็นทหาร หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ถูกส่งตัวไปฝึกทหารที่ ค่ายฟอร์ต แจ็คสัน รัฐเซาท์ แคโรไลนา (Fort Jackson, South Carolina) 10 อาทิตย์ก็จบหลักสูตร นายสิบทหารบก และถูกส่งไปเรียนวิชาชีพการทำอาหาร ที่ค่ายฟอร์ต ลี รัฐเวอร์จิเนีย (Fort Lee, Virginia) อีก 9 อาทิตย์ก็จบหลักสูตร และก่อนใกล้เรียนจบได้สมัครตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ไว้
คุณสมบัติของผู้จะสมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ ร้อยเอกสมญาอธิบายอย่างละเอียด ดังนี้
1. เป็นคนอเมริกัน (American citizen) อายุตั้งแต่ 21-42 ปี
2. จบปริญญาโทด้านศาสนา เช่น พุทธศาสนศึกษา เทววิทยา เป็นต้น จากมหาวิทยาลัยที่ทางการรับรอง และมีหน่วยกิตไม่ตำกว่า 72 หน่วยกิต
3. เป็นนักบวชของแต่ละศาสนา และมีประสบการณ์หลังจบปริญญาโท อย่างต่ำสองปี
4. ต้องได้รับหนังสือรับรองจาก พุทธศาสนาสมาคมแห่งสหรัฐอเมริกา (Buddhist Churches of America) ตั้งอยู่ที่ นครซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นแห่งเดียวที่ทางการอนุญาตให้อนุมัติการเป็นอนุศาสนาจารย์
...
: ฝันเป็นจริง อนุศาสนาจารย์พุทธคนไทยคนแรก กองทัพบกสหรัฐฯ :
เมื่อเรียนจบได้ติดยศสิบเอกก็ถูกส่งมาประจำการที่ฮาวายได้สักพัก จู่ๆ มีจดหมายจากทาง พลตรี ฮิคส์ Buddhist Churches of America ที่สมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ไว้เรียกไปสัมภาษณ์ หลังสอบผ่านสัมภาษณ์ก็เข้าสู่กระบวนการเพื่อเป็นอนุศาสนาจารย์ โดยถูกส่งให้ไปเรียนต่อปริญญาโท หลักสูตรอนุศาสนาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยเดอะเวสต์ (University of the West) เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็น 1 ในจำนวน 4 มหาวิทยาลัยที่สอนปริญญาโททางด้านพระพุทธศาสนาจารย์ในอเมริกา
ส่วนอีก 3 มหาวิทยาลัยที่สอนปริญญาโททางด้านพระพุทธศาสนาจารย์ในอเมริกา คือ มหาวิทยาลัยนาโรปะ (Naropa University) ที่เมืองโบเดอร์ รัฐโคโรลาโด, สหเทววิทยา (Theological Union) นครซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Divinity school) รัฐแมสซาชูเซตส์
หลักสูตรอนุศาสนาจารย์ต้องเรียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลักศาสนาทั่วๆ ไป และเรียนวิธีให้คำปรึกษาแก่บรรดาทหารชาวพุทธที่ประจำการอยู่ในกองทัพ โดยร่ำเรียนอยู่สามปีครึ่ง ก็จบหลักสูตรปริญญาโททางด้านพุทธศาสนาจารย์ ( Master of Divinity in Buddhist chaplaincy) และเป็นคนแรกที่จบหลักสูตรนี้ของมหาวิทยาลัย ติดยศร้อยตรี จากนั้นกลับเข้าไปเป็นทหารกองประจำการอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2553 ในตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ชาวพุทธคนแรกที่เป็นทหารกองประจำการ ประจำการครั้งแรกที่ค่ายฟอร์ต ลูอิสต์ เมืองทาโคม่า รัฐวอชิงตัน และเลื่อนยศเป็นร้อยเอก
: หน้าที่อนุศาสนาจารย์ ทุกอย่างเป็นความลับ :
อนุศาสนาจารย์ มีความจำเป็นสำหรับกองทัพอย่างมาก เพราะทหารไม่รู้จะไปปรึกษาใคร หน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ ร้อยเอกสมญาให้ข้อมูลว่า งานหลักคือให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาปัญหาต่างๆ นำหลักธรรมไปแก้ปัญหาชีวิตแก่ทหารและครอบครัวของทหารอเมริกันที่เป็นชาวพุทธ ในเรื่องที่เครียดหรือมีความทุกข์ และให้คำปรึกษาทางด้านศาสนาแก่ผู้บังคับบัญชา
นำไหว้พระ สวดมนต์ แผ่เมตตา อบรมคุณธรรมต่างๆ แก่ทหาร พาทหารและครอบครัวไปอบรมคุณธรรม ไปเยี่ยมทหารที่ป่วยตาม รพ. โดยในการทำงาน ทุกอย่างเก็บเป็นความลับหมด ในทางกฎหมายห้ามพูดให้คนอื่นฟัง
เมื่อมารับหน้าที่อนุศาสนาจารย์ ร้อยเอกสมญาจึงทุ่มเททำงานอย่างหนักและเต็มที่ หมั่นศึกษาฝึกฝนเรียนรู้งานใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดการยอมรับ โดยใช้หลักมีเมตตา ความจริงใจ เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป เช่น จัดกิจกรรมเพื่อทหารและครอบครัวเยอะขึ้น ทำอาหารไทย ชาไทย ขนมไทยไปเลี้ยงทหารช่วงพักเที่ยง แล้วพูดเกี่ยวกับหลักการดำเนินชีวิตประมาณ 10-15 นาที นำไหว้พระสวดมนต์ เยี่ยมให้กำลังใจ กำลังพลที่ไม่สบาย หรือแนะนำการฝึกสติเพื่อลดความเครียด นั่งสมาธิทุกอาทิตย์เพื่อให้ใจนิ่งสงบ
ปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ที่ร้อยเอกสมญาทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์ จากลูกชาวนามาเป็นทหารสมดังหวัง ร้อยเอกสมญาเผยความรู้สึก ภูมิใจ ดีใจที่มีโอกาสทำงานกับอเมริกันชน เคียงบ่าเคียงไหล่กัน มีลูกน้องเป็นทั้งคนขาว คนดำ แต่ทำงานกันอย่างสามัคคี มีความสุข ได้รับการยอมรับ และดีใจที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ อีกทั้งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ต่อความยากจนทำให้มาถึงจุดนี้ได้
“ถ้าเรามัวแต่มองว่า เรายากจน และไม่พยายามต่อสู้เรียนรู้ และปรับปรุงตัวเองให้เก่งและฉลาดขึ้น เราก็จะมีแต่ถอยหลัง ไม่ก้าวหน้า ต้องต่อสู้เหมือนพระมหาชนก แม้ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะชนะ แต่ก็พยายามว่ายน้ำไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะประสบผลสำเร็จได้ เพราะว่า เกิดเป็นคนควรพยายาม จนกว่าจะประสบความสำเร็จ วายเมเถว ปุริโส อตฺถสสฺนิปฺปทา” ร้อยเอกสมญา กล่าวทิ้งท้าย
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
ข่าวน่าสนใจ