• สะเทือนขวัญ "ฆาตกรโหดแห่งฮวาซอง" ที่ตำรวจเกาหลีใต้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่มากถึง 2 ล้านนาย และสอบปากคำผู้ต้องสงสัยรวมกว่า 21,000 คน เพื่อคลี่คลายคดี
  • "ยุน" ชายวัย 22 ปี ผู้ถูกจองจำนาน 20 ปี จากการบีบบังคับโดยตำรวจเกาหลีใต้ ให้รับสารภาพว่าเป็น "ฆาตกรต่อเนื่อง" ที่แสนโหดเหี้ยมแห่งฮวาซอง
  • กว่าจะพบ "ฆาตกรโหดตัวจริง" ก็ใช้เวลานานกว่า 30 ปี ถึงพบว่า DNA ตรงกับชายที่มีชื่อว่า "อี ชุน แจ" นักโทษคดีข่มขืนแล้วฆ่า

เกิดเหตุหญิงสาวนับสิบรายในประเทศเกาหลีใต้ถูก "ขืนใจแล้วฆ่า" ด้วยวิธีการที่สุดวิปริต ราวกับพล็อตในหนังสยองขวัญต้นทุนต่ำ ระหว่างวันที่ 15 กันยายน 1986 ถึงวันที่ 3 เมษายน 1991 หรือเมื่อกว่า 30 ปีก่อน

แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า...แม้ตำรวจเกาหลีใต้จะระดมกำลังเจ้าหน้าที่รวมกันมากถึง 2 ล้านนาย และมีการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยรวมกันมากถึง 21,000 คน เพื่อหาทางคลี่คลายคดีนี้

แต่...คนร้ายที่ได้รับการขนานนามในเวลาต่อมาว่า "ฆาตกรโหดแห่งฮวาซอง" ก็ยังคง "ลอยนวล" สร้างความอกสั่นขวัญหายให้กับเกาหลีชนทุกชนชั้น โดยเฉพาะบรรดาหญิงสาว จนแทบไม่กล้าออกจากบ้านพักในยามค่ำคืน

หากแต่...ความจริงของเรื่องนี้หาใช่มีเพียงความสยดสยองอันเกิดจากฝีมือฆาตกรใจโหด นั่นเป็นเพราะใครจะเชื่อว่า ในประเทศที่เจริญแล้วแถมยังฟุ่มเฟือยด้วยการส่งออกวัฒนธรรม POP CULTURE อย่างประเทศเกาหลีใต้

จะมีความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม ไม่ต่างจากประเทศหนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งทำให้ "ผู้บริสุทธิ์" ต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่ไม่ได้ก่อ...

...

เมื่อ 32 ปีก่อน มีชายหนุ่มผู้หนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ต้องไปนอนทนทุกข์ทรมานในคุกยาวนานถึง 20 ปี ในข้อหาฆาตกรต่อเนื่องผู้ลงมือฆ่าและข่มขืนหญิงสาวถึง 8 คน ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี

แถมเขาคนนี้ยังถูกเกาหลีชนขนานนามว่า "ฆาตกรโหดแห่งฮวาซอง" ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ชายผู้นี้ป่วยเป็นโรคโปลิโอ จนทำให้ไม่สามารถวิ่งหรือแม้กระทั่งเดินได้อย่างคล่องแคล่วนัก จนกระทั่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร (กฎหมายเกาหลีใต้มีบทบัญญัติให้ผู้ชายทุกคนต้องเป็นทหาร)

ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้น เมื่อวันหนึ่งในปี 1988 เมื่อเด็กสาววัย 13 ปี ถูกข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งอย่างทารุณ ก่อนทิ้งศพไว้บนเตียงของเธอ เหตุการณ์สยองขวัญนี้สร้างความหวาดผวาให้กับชาวเกาหลีใต้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุมันเกิดขึ้นที่เมืองฮวาซอง ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโซลเมืองหลวงของประเทศไปเพียงไม่กี่มากน้อย แถมเด็กสาวที่เสียชีวิตยังถือเป็นเหยื่อรายที่ 8 ของฆาตกรโหดที่ลงมือก่อเหตุด้วยวิธีการที่ใกล้เคียงกับกรณีนี้มาแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

แต่แล้วในปีต่อมา จู่ๆ ตำรวจเกาหลีใต้ก็บุกเข้าไปที่บ้านพักของหนุ่มช่างซ่อมเครื่องจักรทางการเกษตร วัย 22 ปี รายหนึ่งที่กำลังกินอาหารเย็น โดยไม่รู้เลยว่า หลังจากนี้เขาจะกลายเป็นแพะรับบาปที่โด่งดังที่สุดในประเทศแห่งไอดอล

"เกิดอะไรขึ้นครับ?" ยุน (ชื่อเล่นของผู้ต้องหาเนื่องจากกฎหมายของเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ชื่อจริงของผู้ต้องหาต่อสาธารณะ) หนุ่มเคราะห์ร้ายกล่าวถามกับตำรวจที่บุกเข้ามา

"มันจะใช้เวลานานไหมครับ?" ยุนได้มีโอกาสกล่าวถามอีกครั้งเมื่อตำรวจแจ้งว่าจะขอนำตัวไปสอบปากคำ

ภายในห้องสอบสวน จากบันทึกการให้ปากคำ "ยุน" ได้รับสารภาพ (ซึ่งต่อมาภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการสอบสวนยอมรับว่า ได้ใช้กำลังบีบบังคับให้หนุ่มเคราะห์ร้ายรับสารภาพ) ว่า ในคืนที่เกิดเหตุฆาตกรรมหญิงสาว เขาเดินออกจากบ้านเพื่อออกไปรับลม แต่แล้วในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น เขามองเข้าไปที่บ้านหลังเกิดเหตุ เห็นว่าไฟในบ้านเพิ่งจะดับลง ทำให้เกิดความรู้สึกว่า น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เข้าไปข่มขืนเด็กสาวเคราะห์ร้าย เขาจึงตัดสินใจปีนกำแพงเข้าไป และลงมือจัดการเหยื่อทันที ถึงแม้จะรู้ว่าครอบครัวของเด็กสาวจะนอนในห้องพักถัดไปก็ตาม

โดยหลังจากลงมือเสร็จ ยุนให้ปากคำต่อไปว่า เขาจัดการเผาเสื้อผ้าทิ้งแล้วรีบกลับไปที่บ้านพักของตัวเอง

ซึ่งจากคำรับสารภาพที่เกิดขึ้นจากการถูกบีบบังคับโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ท้ายที่สุด...เขาต้องกลายเป็นฆาตกรข่มขืนแล้วฆ่าเด็กสาววัย 13 ปี จนทำให้ถูกศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ในเวลาต่อมาเมื่อมีการยื่นขออุทธรณ์ เขาได้รับการลดโทษและได้รับการปล่อยตัวหลังถูกจองจำยาวนานถึง 20 ปี

...

ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยุนพยายามยืนยันต่อสาธารณชนมาโดยตลอดว่า

"ผมไม่ใช่ฆาตกร"

ก่อนปี 1986 เมืองฮวาซองไม่เคยมีคดีฆาตกรรมหรือการก่อเหตุอาชญากรรมรุนแรงใดๆ โดยคดีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นแต่เพียงการลักเล็กขโมยน้อยเท่านั้น และชาวเมืองที่อาศัยอยู่ราว 226,000 คน ต่างอยู่กันกระจัดกระจายหลายหมู่บ้านท่ามกลางหุบเขาและทุ่งนาที่แสนสงบสุข

โดยหนึ่งในหมู่บ้านนั้นคือ "หมู่บ้านแทอัน" ที่เต็มไปด้วยเกษตรกร ซึ่งยุนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ยุค 80

แต่แล้วในเดือนกันยายน ปี 1986 ทุกอย่างในเมืองนี้ก็เปลี่ยนไป หลังเกิดเหตุหญิงสาวถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม โดยเธอเป็นเหยื่อรายแรกของ "มือฆ่าแห่งฮวาซอง" ฆาตกรต่อเนื่องผู้โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้

คุณเชื่อหรือไม่ว่า? ในปี 1991 มีหญิงสาวถึง 10 รายที่ตกเป็นเหยื่อของไอ้โหดแห่งเกาหลี ซึ่งเกิดขึ้นในเขตพื้นที่เมืองฮวาซอง ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือ เด็กสาววัยเพียง 13 ปีที่ถูกข่มขืนฆ่าบนเตียงในบ้านของเธอด้วย

โดยเหยื่อที่ถูกฆ่าทั้งหมด น่าจะถูกลงมือด้วย "ฆาตกรคนเดียวกัน" เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฏในที่เกิดเหตุมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีข้อความปรากฏอยู่บนเสื้อหรือถุงน่อง ที่ฆาตกรโหดร้ายนี้จะนำมาใช้สังหารด้วยการรัดคอผู้เสียชีวิต

โดยเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของไอ้โหดแห่งฮวาซอง มีทั้งแม่บ้าน เด็กนักเรียนหญิง พนักงานห้าง และสาวโรงงาน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ

ซีรีส์ฆาตกรต่อเนื่องนี้ ทำให้ชาวเมืองเกิดอาการหวาดผวา พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยอีกต่อไปไม่ว่าจะอยู่จุดใดของเมืองก็ตาม ด้วยเหตุนี้ชาวเมืองจึงจัดชุดลาดตระเวนถือไม้เป็นอาวุธออกตรวจถนนในยามค่ำคืน และให้ผู้หญิงทุกคนในเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่เปลี่ยวยามค่ำคืนเพียงลำพัง

...

ท่ามกลางข่าวลือหนาสะพัดที่ว่า...มือฆ่าแห่งฮวาซองจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้ชุดโค้ทสีแดงในเวลาที่ออกล่าเหยื่อ!

และเรื่องเล่านี้เอง นอกจากมันจะทำให้ความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วเมือง จนถึงขนาดไม่มีใครกล้าออกจากบ้านในยามค่ำคืนแล้ว มันยังทำให้เกิดการตั้งคำถามเสียงดังๆ เอากับบรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สัญชาติเกาหลีทั้งหลายด้วยว่า

ตำรวจมัวแต่ทำอะไรกันอยู่ เหตุไฉนจึงยังปล่อยให้มือฆ่ารายนี้ลอยนวลอยู่ได้ และหากขืนทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันต่อไปแบบนี้ ชาวบ้านนี่แหละจะลงมือจัดการกับฆาตกรโหดรายนี้ด้วยตัวเอง!

หลังเหยื่อรายแรกถูกสังหาร ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนต่อมา มีหญิงสาวถูกสังหารโหดด้วยรูปแบบเดียวกันเพิ่มอีกถึง 3 ศพ และเมื่อตำรวจลงความเห็นว่า เหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเกิดจาก "ฆาตกรคนเดียวกัน" มันจึงกลายเป็นข่าวโด่งดังในระดับประเทศทันที

แต่แม้จะลงความเห็นว่า นี่คือ "เหตุฆาตกรรมต่อเนื่อง" แต่หลักฐานที่ทางตำรวจมีอยู่ในมือเพื่อหวังจะสาวไปให้ถึงคนร้ายนั้นก็มีอยู่เพียงเล็กน้อยมาก

เนื่องจากในยุคสมัยนั้น ไม่มีทั้งกล้องวงจรปิด การตรวจเช็กสัญญาณโทรศัพท์ รวมถึงการตรวจหา DNA เพื่อระบุตัวคนร้ายก็ยังไม่ได้มีการใช้อย่างกว้างขวางในประเทศเกาหลีใต้

...

คุณอยากรู้ไหมว่า ตำรวจเกาหลีใต้ในยุคนั้นทำอย่างไร?

เหยื่อที่เป็นหญิงสาวทั้ง 5 ราย ถูกสังหารในรัศมีรอบเมืองฮวาซองประมาณ 6 กิโลเมตร ตำรวจเกาหลีใต้จึงใช้วิธีแบ่งคนออกเป็น 2 ทีม กระจายกำลังออกตรวจตราในทุกๆ 100 เมตร

แต่สุดท้ายแล้ว...วิธีนี้ก็ไม่ได้ผล

ไอ้โหดแห่งฮวาซองยังคงสามารถเร้นกายไปลงมือฆ่าเหยื่อได้สำเร็จในช่องว่างที่ไร้ตำรวจคอยระแวดระวังภัยอยู่

และเมื่อเหตุการณ์เริ่มเลวร้ายลงตามลำดับ ยังคงมีการฆาตกรรมหญิงสาวได้อยู่ต่อไป ตำรวจเกาหลีใต้จึงเริ่มออกลูกมั่วมากขึ้นๆ ไม่ว่าจะเป็น การให้ตำรวจหญิงสวมชุดสีแดงเพื่อล่อฆาตกรให้มาติดกับ หรือการไปติดต่อกับผู้มีญาณทิพย์เพื่อหวังให้ช่วยคลี่คลายคดี จนกระทั่งได้คำพยากรณ์ว่า ฆาตกรรายนี้เป็นชายที่ไร้นิ้วหนึ่งข้าง แต่ที่พีคที่สุดน่าจะเป็นการให้ "หมอผี" มาประกอบพิธีปลุกเสกหุ่นฟาง ตามวิถีของชนเผ่าวูดู

แต่ทั้งหมดที่ตำรวจเกาหลีใต้ทำมาล้วนแล้วแต่ "สูญเปล่า"

เพราะเหตุฆากรรมต่อเนื่องยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งครบ 2 ล้านวันนับตั้งแต่ฆาตกรลงมือสังหารเหยื่อคนแรก ตำรวจเกาหลีใต้ก็ยังคงคว้าน้ำเหลว จนกระทั่ง "สำนักข่าวยอนฮับ" สื่อชื่อดังของเกาหลีใต้ ถึงกับเหลืออดเขียนข่าวโจมตีตำรวจเกาหลีใต้อย่างดุเดือดว่า....

นี่คือ...การสืบสวนคดีที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ แต่เราก็ยังคงพบเห็นเหยื่อเพิ่มจำนวนมากขึ้นและมากขึ้น และถึงแม้เราจะเคียดแค้นฆาตกรโหดรายนี้มากเพียงใด แต่เราคงไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกถึงความอ่อนแอและไร้ซึ่งอำนาจในการตามล่าตัว ฆาตกรใจโหดรายนี้ได้

และจากการถูกประจานอย่างหนักนี่เอง ที่นำไปสู่ "การบีบบังคับ" ให้ยุนต้องรับสารภาพในคดีที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ

และที่ร้ายไปกว่านั้น คือ แม้ตำรวจเกาหลีใต้จะนำยุนมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยได้สำเร็จ แต่สิ่งที่ผู้คนเกาหลีใต้ลืมนึกไปก็คือ ยุนถูกดำเนินคดีและต้องรับโทษจากหนึ่งในสิบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องจากมือสังหารแห่งฮวาซองเท่านั้น ในขณะที่ อีก 9 คดี ทางตำรวจเกาหลีใต้ยังคงไม่มีบทสรุปในทางคดีให้แก่ประชาชนแต่อย่างใด?

แต่แล้วความลึกลับในคดีฆาตกรรมที่ซุกซ่อนตัวมาอย่างยาวนานก็ได้เดินมาถึงบทสรุปในเดือนกันยายน ปี 2019 เจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดคยองกีได้ออกแถลงการณ์ที่สั่นสะเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมของเกาหลีใต้อย่างรุนแรง

โดยมีเนื้อหาที่ระบุว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหลักฐาน DNA ที่ตรวจพบจากคดีที่สุดโด่งดังเมื่อ 30 ปีก่อน ไปให้สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติของเกาหลีใต้ตรวจสอบ ผลลัพธ์ที่ได้คือ DNA จากที่เกิดเหตุที่นำไปตรวจนั้นมีมากถึง 3 คดี ตรงกับฆาตกรโหดที่มีชื่อว่า "อี ชุน แจ" (LEE CHUN-JAE) ซึ่งปัจจุบันเป็นนักโทษในคดีข่มขืนแล้วฆ่าพี่สะใภ้ของตัวเองตั้งแต่ปี 1994!

โดย "อี" เริ่มต้นซีรีส์ฆาตกรรมสุดหฤโหดนี้ตั้งแต่เขาหมดภาระการเป็นรั้วของชาติแล้วเดินทางกลับมาที่เมืองฮวาซอง ก่อนจะได้งานเป็นคนงานบริษัทก่อสร้างในปี 1986 ต่อมาในปี 1987 ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าข่มขืนหญิงสาววัย 29 ปี รายหนึ่งในเมืองแห่งนี้ แต่ในเวลาต่อมาได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากตำรวจมีหลักฐานไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ดี ต่อมาในปี 1991 "อี" ได้เข้าพิธีสมรสกับแฟนสาว ก่อนจะมีลูกด้วยกันหนึ่งคน และย้ายถิ่นฐานไปพำนักที่เมืองชองจู บ้านเกิดของภรรยา แต่แล้วในปี 1993 เมื่อภรรยาหนีจากไป "อี" ก็ได้ลงมือก่อเหตุข่มขืนแล้วฆ่าพี่สะใภ้ในปี 1994 ซึ่งถือเป็นคดีแรกๆ ที่ตำรวจเกาหลีใต้นำการตรวจหา DNA มาช่วยในการไล่ล่าตัวฆาตกร

ทำให้อีก 1 เดือนต่อมา ทุกอย่างในคดีอันเป็นปริศนามายาวนานในประเทศเกาหลีใต้ก็ได้ความจริงทุกประการในที่สุด เมื่อ "อี ชุน แจ" ได้ยอมรับสารภาพว่า เขาเป็นผู้ลงมือข่มขืนและสังหารเหยื่อทั้ง 10 ราย (รวมถึง เหยื่อที่มีการกล่าวหาว่า ยุน เป็นฆาตกร) ในคดีมือสังหารแห่งฮวาซองทั้งหมด รวมถึงยังเป็นผู้ลงมือในอีก 4 คดีที่ตำรวจเกาหลีใต้ ยังไม่มีหลักฐานคลี่คลายคดีอีกด้วย!

และที่ร้ายไปกว่านั้น คือ "อี" ยังรับสารภาพด้วยว่า เหยื่อสาวที่ถูกเขาข่มขืนทั้งหมดมีทั้งสิ้นกว่า 30 คน ในช่วงระหว่างปี 1986-1991!

และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ (แพะรับบาป) ซ้ำรอย ตำรวจเกาหลีใต้ยืนยันว่า การรับสารภาพในครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้ความสมัครใจของ "อี" ที่ถึงขั้นเสนอขอวาดแผนที่เส้นทางการก่อเหตุในบางคดีด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ดี ฆาตกรโหดแห่งฮวาซองจะไม่ได้รับโทษในทุกคดีที่เกิดขึ้นทั้งหมด เนื่องจากบางคดีได้ขาดอายุความไปแล้ว

"เหยื่อและครอบครัวได้รับสิ่งที่พวกเขาปรารถนามาเนิ่นนานแล้ว"

นี่คือถ้อยแถลง "สรุปคดี" จากตำรวจเกาหลีใต้ต่อสาธารณชนและชาวโลก

หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว...บทสรุปที่ว่านี้ กลับทำให้เกิดคำถามตามมามากมายเกินกว่าที่กระบวนการยุติธรรมของเกาหลีใต้จะหยั่งถึง?

นั่นก็คือ...ในเมื่อ "อี" เป็นคนลงมือฆาตกรรมเหยื่อทั้ง 10 รายจริง รวมถึงหนึ่งในจำนวนนั้นคือ เด็กสาวอายุ 13 ปี เหตุไฉน "ยุน" จึงต้องรับโทษจำคุกยาวถึง 20 ปีในคดีที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ?

และการรับสารภาพของ "อี" แต่เพียงอย่างเดียวนั้น มันเพียงพอต่อการที่จะทำให้ "ยุน" กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ภายใต้กฎหมายได้หรือไม่ ในเมื่อเขายังคงเป็นผู้ที่ถูกตัดสินจากกระบวนการยุติธรรมว่า ยังคงเป็น "ฆาตกร" อยู่ต่อไป

ชีวิตที่เหลืออยู่ของ "ยุน"

ปี 2020 ยุนในวัย 56 ปี ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในเมืองชุงชอง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลไปเพียงเล็กน้อย

โดยยุนได้เปลือยชีวิตกับผู้สื่อข่าวที่มาขอสัมภาษณ์เอาไว้ว่า เขาผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก เพราะหลังเข้าโรงเรียนได้เพียง 3 ปี เขาสูญเสียแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จากนั้นไม่นานจู่ๆ พ่อก็หายตัวไป ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานหาเงินประทังชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก

ในช่วงที่ยุนเดินทางมาที่เมืองฮวาซองใหม่ๆ เขาต้องนั่งขอทานเพื่อหาเศษเงินเลี้ยงชีวิตอยู่ที่หน้าร้านไก่ทอดนานนับปี จนกระทั่งอายุได้ 11 ขวบ จึงได้เริ่มทำงานในศูนย์เครื่องมืออุตสาหกรรมทางการเกษตรแห่งหนึ่ง จนถึงอายุ 22 ปี จึงได้เลื่อนขั้นเป็นช่างเทคนิคเครื่องจักรกล

และด้วยความที่อยู่ตัวคนเดียวมายาวนาน รวมถึงมีอาการของโรคโปลิโอ ทำให้เดินไม่ค่อยถนัดมาตั้งแต่เด็กทำให้ ยุนยอมรับว่า ไม่กล้าสร้างสัมพันธ์กับหญิงสาวคนใดแม้แต่คนเดียว เพราะเชื่อว่าไม่น่าจะมีผู้หญิงคนไหนมาชอบผู้ชายแบบเขาได้

โดยยุนฟื้นความหลังในช่วงที่ถูกนำตัวไปสอบปากคำกับผู้สื่อข่าวว่า เขาถูกใส่กุญแจมือและควบคุมตัวในห้องสอบสวนนานถึง 3 วัน โดยที่แทบจะไม่ได้กินอาหารใดๆ และได้รับอนุญาตให้ออกนอกห้องสอบสวนได้เฉพาะเมื่อเวลาจะไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น แต่ที่ทำให้เขาทุกข์ทรมานมากๆ ก็คือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะคอยรบกวนไม่ยอมให้เขานอนหลับพักผ่อน แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามากเพียงใดก็ตามตลอดระยะเวลา 3 วันนี้

"มันแทบไม่ต่างจากฝันร้าย เมื่อใดก็ตามที่คุณไม่ได้หลับไม่ได้นอนนานถึง 3 วัน คุณย่อมไม่รู้ตัวเองแน่นอนว่า คุณได้พูดหรือทำอะไรออกไปบ้างท่ามกลางกลุ่มคนรายล้อมที่เอาแต่ตั้งคำถามกับคุณตลอดเวลา

แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ...ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายเลย เพราะผมเรียนไม่จบแม้กระทั่งระดับประถมศึกษา"

ทำให้ในท้ายที่สุด ยุนต้องเซ็นรับสารภาพและยอมรับต่อศาลว่าเป็น "ฆาตกร" ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริง เพื่อขอรับความเมตตา หลีกเลี่ยงโทษประหารชีวิต ไปเป็นการรับโทษจำคุกเป็นเวลา 20 ปีแทน

อย่างไรก็ดี แม้คดีฆาตกรรมแห่งประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้จะได้บทสรุปที่ชัดเจน รวมถึงสามารถปลดโซ่ตรวนที่ล่ามยุนมาอย่างยาวนานลงได้อย่างหมดจด แต่แพะรับบาปจากคดีมือฆ่าแห่งฮวาซอง ก็ยังคงไม่ได้รับ "ความยุติธรรม" จากผู้ที่ผลักให้เขาไปรับเคราะห์กรรมที่ไม่ได้เป็นคนก่ออยู่ดี

นั่นเป็นเพราะแม้ล่าสุดในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2019 ตำรวจเมืองคยองกีนัมบูจะสั่งสอบสวนตำรวจรวม 7 นาย และอัยการอีก 1 คน ที่เกี่ยวข้องในสำนวนคดีสุดอื้อฉาว รวมถึงให้มีการทบทวนเรื่องข้อกล่าวหาว่ามีการใช้อำนาจจับกุมโดยไม่ชอบธรรม แต่จนถึงปัจจุบัน (ปี 2020) ก็ยังคงไม่มีผลสรุปการสอบสวนในเรื่องดังกล่าวออกมาสู่สาธารณชนแต่อย่างใด...

เช่นนั้นแล้ว เราคงพูดได้ไม่เต็มปากใช่หรือไม่ว่า ความยุติธรรมในประเทศเกาหลีใต้มีอยู่จริง!

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวอื่นๆ: