หลังปล่อยให้บรรดาสาวกชะเง้อคอคอยเก้อด้วยความกระวนกระวายใจ พร้อมๆ กับเงินที่ร้อนฉ่าในกระเป๋า ทั้งๆ ที่มันถูกเตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับการถูกควักออกมาบำเรอให้กับบริษัทมูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทันทีหากมีการปล่อย Smartphone flagship รุ่นใหม่ หลังงานอีเวนต์ในวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา

แต่แล้วก็อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดี จู่ๆ มันก็มีเหตุให้ผิดไปจากที่สาวกรอคอยเล็กน้อยเข้าจนได้ เพราะ Apple ทำเพียงเปิดตัว new iPads และ Apple Watches รุ่นใหม่เพียงเท่านั้น

เกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อ iPhone 12 ไม่มาตามนัดเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา...

เราไปเริ่มกันตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน เมื่อ Apple เริ่มต้นร่อนหนังสือเชิญชวน จนถึงวันที่ 15 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่ทำเอาใครหลายๆ คนผิดหวังเล็กๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกโซเชียลมีเดียกันบ้าง "เรา" ไปดูข้อมูลจาก "เมลท์วอเตอร์" (Meltwater) บริษัทที่รวบรวมเกี่ยวกับข้อมูลด้านโซเชียลมีเดีย ซึ่งได้จัดเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียในวันดังกล่าวจาก #AppleEvent เอาไว้อย่างน่าสนใจ ส่วนจะมีประเด็นอะไรที่น่านำมาสังเคราะห์ เราไปลองติดตามกัน

นับตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน หรือหนึ่งสัปดาห์ก่อนงานจริง Apple แถลง ว่า พวกเขาจะใช้ #AppleEvent ในโลกโซเชียลมีเดียเพื่อเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจคอยติดตามรับข่าวสารและการ Live stream ในวันดังกล่าวนั้น พบว่า #AppleEvent ถูก Mentions ในโซเชียลมีเดียมากกว่า 13,000 ครั้ง และเข้าถึงผู้ใช้งานทั่วโลกถึง 147 ล้านคน

ขณะที่ระหว่างการ Live stream วันที่ 15 กันยายนนั้น #AppleEvent ถูก Mentions ในโลกโซเชียลมีเดียมากกว่า 74,000 ครั้ง และเข้าถึงผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์นี้ น่าจะเป็นจุดที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า เวทมนตร์ของ Apple ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ต่อบรรดาสาวกมากมายขนาดไหน

...

ส่วนในระหว่างการ Live stream เมื่อวันที่ 15 กันยายน นั้น พบว่า Engaging ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุดอยู่ใน 5 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, ญี่ปุ่น, ไทย และสหราชอาณาจักร

โดยข้อมูลผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในประเทศอินเดียและญี่ปุ่น พบว่า ชาวภารตะและชาวอาทิตย์อุทัยตีความการใช้ "สีน้ำเงิน" ในสัญลักษณ์แอปเปิลจาก #AppleEvent ว่า น่าจะเป็นการบ่งบอกถึงนัยว่า iPhone รุ่นใหม่จะมีสีพิเศษ คือ "สีน้ำเงิน" ตาม #AppleEvent ดังกล่าว ในขณะที่ ชาวไทยมุ่งความสนใจไปที่การเปิดตัวการอัปเดต iOS 14 ใหม่เป็นหลัก ส่วนผู้ใช้โซเชียลมีเดียในสหราชอาณาจักรให้ความสนใจเรื่อง Home screen และ app widgets จากการอัปเดต iOS 14 รวมถึงการเปิดตัว Apple Watch มากที่สุด

หากนำปรากฏการณ์ #AppleEvent ไปเปรียบเทียบกับ 2019#AppleEvent เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งในครั้งนั้นมีการเปิดตัว iPhone 11 พร้อมกันถึง 3 รุ่น หรือ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาสาวกจะคาดหวังเอาไว้ว่า ในเดือนกันยายนปี 2020 นี้ Apple น่าจะเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่

ด้วยเหตุนี้ เมื่อปีนี้ไร้ซึ่งการเผยโฉม iPhone 12 มันจึงทำให้ #AppleEvent ถูก Mentions ในโลกโซเชียลมีเดียระหว่างการ Live stream เพียง 150,000 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่า 2019 #AppleEvent ถึง 76% นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งชี้ได้ว่า สาวกรอคอย iPhone รุ่นใหม่มากมายขนาดไหนก็คือ #iPhone12 ถูก Mentions รวมในโลกโซเชียลมีเดียเพียงเฉพาะในเดือนกันยายนปีนี้มากถึง 172,000 ครั้ง

นอกจากนี้ #iPhone12 ยังถูก Mentions ในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 8 กันยายน มากกว่า #AppleEvent เสียอีก โดยจากข้อมูลพบว่า ในวันดังกล่าวนั้นพบว่า ผู้คนทั่วโลกพุ่งเป้าความสนใจไปที่ความเป็นไปได้ที่ Apple จะเปิดตัว iPhone12 เป็นหลัก ทำให้ #iPhone12 เข้าถึงผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วโลกถึง 148 ล้านคน ซึ่งสูงกว่า #AppleEvent ที่เข้าถึงผู้ใช้งาน 147 ล้านคนทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกันเสียอีก

ส่วนในระหว่างการ Live stream นั้น แม้ #iPhone12 จะเข้าถึงจำนวนผู้ใช้งานออนไลน์ทั่วโลกน้อยกว่า แต่มันกลับถูก Mentions ในโซเชียลมีเดียมากถึง 99,000 ครั้ง ซึ่งมากกว่า Mentions #AppleEvent ที่มีเพียง 74,000 ครั้ง ซึ่งนั่นเท่ากับชาวโซเชียลให้ความสนใจกับข่าว iPhone12 มากกว่างานอีเวนต์ในเดือนกันยายนปีนี้ของ Apple เล็กน้อย

...

แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลก็คือ ในระหว่างการ Live stream เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ไม่มีการเปิดตัว iPhone 12 มันได้ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบของผู้คนในโลกโซเชียลมีเดียจำนวนหนึ่งต่อ #AppleEvent ในวันที่ 15 กันยายน 2020 ทันที

โดยจากการเก็บรวบรวมข้อมูลพบว่า #AppleEvent และ #iPhone 12 ได้รับกระแสตอบรับในเชิงบวกเพียง 49% ในขณะที่ เสียงตอบรับในแง่ลบสูงถึง 51% โดยส่วนใหญ่มาจากความผิดหวังของชาวโซเชียลที่ Apple ไม่ยอมเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในวันดังกล่าวเป็นหลัก ซึ่งประเด็นนี้ได้นำไปสู่การตั้งคำถามในโลกออนไลน์ในเวลาต่อมาที่ว่า

"Where is the iPhone 12?"

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในวอลสตรีทส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Apple น่าจะเตรียมอีเวนต์สำหรับการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่ใครหลายคนกำลังปรารถนาในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งสอดคล้องกับที่มีรายงานว่า ในการแจ้งผลประกอบไตรมาสล่าสุดเมื่อช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา บรรดาผู้บริหารระดับสูงของ Apple ได้รับทราบแล้วว่า การวางจำหน่าย "ผลิตภัณฑ์ทำเงินทำทอง" ของบริษัทจะล่าช้าออกไปหลายสัปดาห์ จากกำหนดเดิมที่มักจะออกวางจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี และอีกหนึ่งสิ่งตอกย้ำว่า iPhone รุ่นใหม่น่าจะใกล้ออกวางจำหน่ายแล้วแน่ๆ ก็คือ การปล่อยอัปเดท iOS 14 ตัวเต็มเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งแน่นอนว่า มันย่อมหมายถึงการเตรียมระบบสำหรับการรองรับเรือธงรุ่นใหม่ให้สามารถทำงานได้อย่างไหลลื่น

...

ฉะนั้น หากนับจากวันนี้เหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อยแล้ว สำหรับบรรดาลูกหลาน "สตีฟ จ๊อบส์" หากคิดจะเตรียมไปตั้งแคมป์ (หากในบางประเทศอนุญาติอะนะ) เพื่อรอซื้อ Smartphone แชมป์แห่งความอินเทรนด์นี้

แต่แน่นอน ในเมื่อมันคือ "ไอเท็ม" ในแบบฉบับ "ของมันต้องมี" ประจำ(เกือบ)ทุกปีเช่นนี้ การมาถึงของ iPhone รุ่นใหม่ ที่คาดว่าน่าจะชื่อว่า "iPhone12" นอกเหนือไปจากนั้น บรรดาสาวกและนักวิเคราะห์ทั้งหลายอยากเห็นอะไรเพิ่มเติมจาก iPhone รุ่นใหม่กันบ้าง?

: Smartphone รุ่นแรกของ Apple ที่รองรับระบบ 5G (สักที)

ทำไมต้อง 5G และ 5G เร็วกว่า 4G ขนาดไหน?

อธิบายง่ายๆ ความเร็วสูงสุดของระบบ 5G จะเร็วกว่าความเร็วสูงสุดของของระบบ 4G ประมาณ 10 เท่าตัว ซึ่งความเร็วขนาดนี้จะทำให้ "คุณ" สามารถ Download ภาพยนตร์ความยาว 2 ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 10 วินาที ในขณะที่ ระบบ 4G จะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 7 นาที ตามคำจำกัดความขององค์กรกำกับดูแลมาตรฐานการสื่อสาร (Global System for Mobile Communications หรือ GSMA)

นักลงทุนจำนวนมากมีระดับความคาดหวังต่อประเด็นนี้ในระดับ "มหึมาแห่งความคาดหวัง" นั่นเป็นเพราะมันคือ หมุดหมายที่ท้าทายอย่างยิ่งของ Apple หลังจากล่าช้ากว่าคู่แข่งมากๆ สำหรับการแต่งตัวเพื่อเข้าสู่สมรภูมิ Smartphone 5G โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Motorola และ Samsung ที่สามารถเข้ายึดหัวหาดสมรภูมินี้เอาไว้ได้ก่อนแล้ว "ทอม ฟอร์ท" (Tom Forte) นักวิเคราะห์จาก DA Davidson ให้ความเห็น

และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ในปัจจุบันจะมี iPhone อย่างน้อยที่สุด 350 ล้านเครื่องในตลาด ที่ผู้บริโภคคิดอยากจะอัปเกรดไปสู่โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ภายในอีกอย่างน้อย 18 เดือนข้างหน้า โดยสิ่งที่ Consumers เหล่านี้ส่วนใหญ่ปรารถนาอย่างยิ่ง คือ Device ที่เร็ว แรง และเชื่อมโยงเครือข่ายไร้สายได้อย่างไม่มีที่ติ แปลง่ายๆ คือ Smartphone รุ่นใดตอบโจทย์ที่ว่านี้ได้อย่างลงตัวที่สุด จะได้ครองยอดขายอย่างน้อย 350 ล้านเครื่องไป ภายใน 18 เดือนต่อจากนี้! "แดน ไอฟ์" (Dan Ives) นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities ให้ความเห็น 

...

ฉะนั้น มันจึงแทบไม่มีเหตุผลอื่นใดให้กับ Apple อีกแล้วที่จะกั๊ก iPhone 12 ไม่ให้รองรับระบบ 5G ได้ต่อไป

โดยสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังกับ iPhone12 ในประเด็น 5G คือ iPhone12 รุ่นประหยัด (iPhone12 และ iPhone12 Max รวมถึงอาจจะเป็นรุ่น iPhone12 Pro) น่าจะสามารถรองรับระบบ 5G ความเร็วระดับต่ำและระดับกลางได้ (สาวกไม่ต้องตกใจกับคำว่าระดับต่ำและระดับกลาง เพราะอย่างไรมันก็ยังเร็วกว่าระบบ 4G อยู่ดี) ส่วนรุ่น Higher-end อย่าง iPhone12 Pro Max ที่ราคาแพงที่สุด น่าจะสามารถรองรับ 5G ความเร็วสูงสุดที่เรียกว่า "Millimeter wave" ได้

"ผมคงช็อกแน่ๆ หาก Apple ยังไม่ยอมปล่อย Smartphone รุ่นใหม่ที่สามารถรองรับ 'Millimeter wave' ออกวางจำหน่ายในครั้งนี้" - "แอนเซล แซก" (Anshel Sag) นักวิเคราะห์จาก Moor Insights and Strategy ฟันธง 

ซึ่งประเด็นนี้ สอดคล้องกับ "วามซี โมฮาน" (Wamsi Mohan) นักวิเคราะห์จาก Bank of America ได้วิเคราะห์เอาไว้ว่า Apple (น่าจะ) เลือก iPhone12 Pro Max เพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่สามารถรองรับ "Millimeter wave" ได้ เนื่องจากการรองรับระบบดังกล่าวต้องใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่มีราคาสูง เป็นผลให้ราคาขายของมันต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแน่นอนว่า สำหรับโทรศัพท์รุ่นพิเศษนี้จะวางขายเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่รองรับระบบ "Millimeter wave" ที่ปัจจุบันยังมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นด้วย

: ฉันพอใจ 4G แล้ว และยังไม่อยากจ่ายเพิ่มเทคโนโลยี 5G

หาก "คุณ" เป็นอีกคนหนึ่งที่ยังไม่คิดจะขอจ่ายแพงขึ้นเพื่อเข้าสู่ระบบ 5G ยักษ์ใหญ่แห่งซิลิคอนวัลเลย์ ก็มี Device ที่ตอบโจทย์ที่ว่านั้น โดยอาจจะเป็น iPhone 12 หรือ iPhone SE รุ่นใหม่ มือถือราคาประหยัดที่สุดแล้วของ Apple ที่คาดว่าน่าจะถูกเข็นออกมาภายในปีนี้

โดย "ทอม ฟอร์ท" (Tom Forte) จาก DA Davidson คาดการณ์ว่า ในกลุ่ม iPhone 12 รุ่นใหม่ ที่คาดว่าน่าจะออกมาทั้งหมด 4 รุ่นนั้น น่าจะมี 1 รุ่นที่ยังตอบโจทย์การใช้ 4G อยู่ ในขณะที่ Ives and Sag คาดการณ์ประเด็นนี้เอาไว้ว่า iPhone รุ่นใหม่ ที่จะยังคงรองรับระบบ 4G น่าจะเข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 มากกว่า และน่าจะมีราคาต่ำกว่า iPhone รุ่นที่รองรับระบบ 5G

iPhone 12 ตกลงจะมีกี่รุ่นกันแน่?

ในระยะหลังๆ มานี้ Apple มักจะเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่หลายๆ รุ่นพร้อมกัน โดยล่าสุด เมื่อปีที่ผ่านมาเปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่น คือ iPhone 11, iPhone Pro และ iPhone Pro Max ทำให้ในปีนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงคาดการณ์ว่า Apple น่าจะเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ 3 หรือ 4 เวอร์ชัน สำหรับ iPhone 12

โดย Ives คาดการณ์ว่า iPhone 12 จะมีทั้งหมด 4 โมเดล โดยหนึ่งในจำนวนนั้นคือ รุ่นที่มีจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สุด 6.7 นิ้ว ในขณะที่ ทั้ง "แอนเซล แซก" (Anshel Sag) และ "วามซี โมฮาน" (Wamsi Mohan) คาดการณ์ว่า หาก Apple ตัดสินใจเปิดตัว iPhone 12 ถึง 4 โมเดลขึ้นมาจริงๆ หนึ่งในจำนวนนั้นน่าจะมีขนาดหน้าจอแสดงผลที่เล็กที่สุดเท่าที่ Apple เคยผลิตออกมา นั่นเป็นเพราะยังคงมีกลุ่มลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ยังคงถวิลหา iPhone ที่มีขนาดพอดีๆ กับการใช้มือข้างเดียวใช้งานเหมือนเมื่อครั้งในอดีต

เพียงแต่...คำถามสำคัญสำหรับ Apple ในประเด็นนี้ก็คือ จำนวนคนในกลุ่มนี้มันมีมากพอสำหรับการทำการตลาดเพื่อให้ได้มา ซึ่งผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่?

แล้ว iPhone 12 ควรมีราคาขายที่เหมาะสมเท่าไหร่?

"ราคา คือ สิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุด เมื่อใดก็ตามที่ Apple เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่เห็นได้จากปีที่แล้ว iPhone 11 เปิดตัวที่ ราคา 699 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นราคาที่ถูกที่สุดของ Apple นับตั้งแต่ iPhone 8 เป็นต้นมา" "วามซี โมฮาน" (Wamsi Mohan) กล่าว

แต่ในปีนี้ ราคาของ iPhone รุ่นใหม่ โดยเฉพาะรุ่น Highest-end น่าจะเขยิบขึ้นสูงเกินกว่า iPhone 11 อย่างน้อยที่สุด 100 เหรียญสหรัฐ จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับเทคโนโลยี 5G อย่างไรก็ดี สำหรับโมเดลกลุ่มราคาเอื้อมถึงนั้น บรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนักคาดการณ์เอาไว้ตรงกันว่า Apple น่าจะพยายามคงระดับราคาเอาไว้ให้เท่ากับราคาขายของเมื่อปีที่ผ่านมา

หากแต่ "ทอม ฟอร์ท" (Tom Forte) จาก DA Davidson กลับมองประเด็นนี้ต่างออกไป โดยคาดการณ์ว่า หาก Apple มีแผนการสำหรับการเปิดตัว iPhone ราคาเบาอย่าง iPhone SE ในช่วงต้นปีหน้า มันอาจทำให้ Apple ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้หนึ่งในเวอร์ชั่นของ iPhone 12 มีราคาต่ำกว่าราคาปกติมากมายนัก

เราจะได้อะไรเพิ่มเติมจาก iPhone 12?

สำหรับโจทย์นี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ตรงกันว่า iPhone 12 เวอร์ชัน highest-end ซึ่งรองรับ "Millimeter wave 5G" จะถูกออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับใส่แบตเตอรี่ได้เพิ่มเติม เนื่องจากการ Connect กับระบบที่รวดเร็วขนาดนั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่มหาศาล และประเด็นนี้น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ iPhone รุ่นพิเศษนี้มีราคาแพงขึ้นกว่าเดิม

ส่วนกล้องถ่ายรูป คาดว่า Apple น่าจะใส่เทคโนโลยี LiDAR sensor ซึ่งจะที่ช่วยให้กล้องสามารถโฟกัสในที่มืดได้ดีขึ้นกว่าเดิม รวมถึงยังทำให้เทคโนโลยีเสมือนจริง (Artificial Reality) หรือ AR มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถูกนำมาใช้กับ iPad Pro รุ่น 2020 ก่อนหน้านี้ เข้าไปใน iPhone 12 ด้วย เพียงแต่เทคโนโลยีที่ว่านี้จะถูกใส่ในเฉพาะ iPhone 12 บางรุ่นเท่านั้น ซึ่งทำใหั iPhone รุ่นใหม่ (บางรุ่น) มีการรวมความสามารถด้านการถ่ายวิดีโอที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากด้วย

ส่วนหน้าจอแสดงผลนั้น กระแสข่าวส่วนใหญ่มองตรงกันว่า iPhone 12 (บางรุ่น) น่าจะมีจอภาพ High refresh rate ระดับ 120 Hz (รองรับการแสดงผลสูงสุด 120 เฟรมต่อวินาที) ซึ่งแตกต่างจากรุ่นปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 60 Hz (รองรับการแสดงผลสูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที)

แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์มองตรงกันเสียยิ่งกว่าประเด็นอื่นใด และน่าจะเป็นจริงอย่างมากที่สุดแล้ว ณ เวลานี้ ก็คือ น่าจะเกือบ 100% แล้วที่ว่า iPhone รุ่นใหม่ น่าจะไม่แถมสายชาร์จและอาจจะรวมหูฟัง (มีสาย) ที่ปกติให้มาพร้อมกับตัวเครื่องอีกต่อไป โดยใช้ข้ออ้างว่า ต้องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเป็นเพียงต้องการประหยัดต้นทุน (ซึ่งเอากันจริงๆ ก็เพียงไม่กี่ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น) ให้กับ Smartphone flagship รุ่นใหม่ของตัวเอง

โดย "วามซี โมฮาน" (Wamsi Mohan) นักวิเคราะห์จาก Bank of America มองการตัดสินใจครั้งสำคัญของ Apple ในประเด็นนี้เอาไว้อย่างอย่างสนใจว่า

"มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันเรื่องต้นทุนในการผลิตมากมายเพียงใด ในกรณีที่พยายามรวบรวมฟีเจอร์ใหม่ๆ ใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง และสิ่งสำคัญที่จะต้องเลือกคือ คุณจะลดค่าใช้จ่ายในจุดไหนลงโดยที่จะไม่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกผิดหวังต่อการตัดสินใจที่ว่านั้น และในที่สุด Apple (อาจจะ) เลือกตัดสินใจแบบนี้ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดหรือถูกกันแน่?"

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: