นักลงทุนเตรียมตัวให้พร้อม ปิดท้ายปีอาจมีเฮ! "ราคาทองคำ" จ่อพุ่งนิวไฮอีกรอบ ทั้ง "ทองคำจริง" และ "หุ้นทองคำ" ยังคงเป็น "หลุมหลบภัย" ชั้นเยี่ยมท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่ทั่วโลก
แม้ "ราคาทองคำ" จะร่วงลงมาต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ที่ 1,848 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังก่อนหน้านี้ ในเดือนสิงหาคมทำสถิติสูงสุดตลอดกาล พุ่งนิวไฮ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ ไทยก็แตะระดับถึง 30,000 บาทต่อบาททองคำ
แต่มุมมองนักวิเคราะห์ รวมถึง 'ซิตี้กรุ๊ป' (Citigroup) กลับยังเชื่อว่า "ราคาทองคำ" มีแนวโน้มทำสถิติพุ่งนิวไฮอีกรอบก่อนจบปี 2563
คุณผู้อ่านอาจสงสัย..."ทำไม 'ราคาทองคำ' ถึงจ่อพุ่งนิวไฮอีกรอบ?"
คำตอบจะเป็นอย่างไร...มาไล่เรียงไปพร้อมๆ กัน
"ราคาทองคำ" ที่เพิ่มขึ้นตลอดช่วงปีนี้ เกิดจากนักลงทุนยกโขยงหอบเงินสดไปลงทุนใน "สินทรัพย์ปลอดภัย" หรือ "หลุมหลบภัย" ที่เรียกกันว่า SAFE HAVEN ด้วยความหวาดระแวงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ถูกไวรัสโคโรนา หรือ "โควิด-19" (COVID-19) โจมตี แพร่ระบาดไปทั่วโลก มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 32 ล้านราย และเสียชีวิตอีกว่า 9 แสนราย
ความหวาดกลัวในครั้งนั้น ส่งผลให้ "ราคาทองคำ" ดีดเพิ่มขึ้นกว่า 34%
...
และนับจากต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน "หุ้นทองคำ" ของ 2 เหมืองทองยักษ์ใหญ่โลก ก็ดีดตอบรับกว่า 50% โดยบริษัท นิวมอนต์ (Newmont Corporation: NEM) ฟื้นตัว 46% และบริษัท บาร์ริค โกลด์ (Barrick Gold: GOLD) ฟื้นตัว 53%
เมื่อไม่นานมานี้ 'ทอม ปาล์มเมอร์' (Tom Palmer) ซีอีโอนิวมอนต์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ที่เชื่อว่า "ราคาทองคำ" มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นก่อนปิดปี 2563 เหมือนอย่างที่ 'ซิตี้กรุ๊ป' ประเมินไว้
ส่วนเหตุที่ "ราคาทองคำ" ร่วงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนนั้น ก็เป็นเพราะนักลงทุนเทขายทำกำไร จากแรงกดดันสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า แตะระดับ 94.60 สูงที่สุดนับตั้งแต่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และความต้องการจิวเวอรี่ (Jewelry) ลดลง เช่น 'อินเดีย' หนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก แต่เมื่อกำลังเผชิญอยู่กับวิกฤติโควิด-19 ก็ทำให้ความต้องการบริโภคลดลง
แล้ว "ราคาทองคำ" ที่มีการประเมินไว้ว่าจะกลับมาพุ่งนิวไฮอีกครั้ง...จะอยู่ที่ระดับเท่าไร?
หากมองไปที่ "ตลาดทองคำ" วันศุกร์สุดสัปดาห์ (25 ก.ย.) ก็คงเห็นกันแล้วว่า "ราคาทองคำ" เริ่มมีการฟื้นตัวขึ้น อันเป็นผลจากการเข้าซื้อเก็งกำไร โดยมี "ปัจจัย" หลายๆ อย่างเป็น "ตัวเร่ง"
"ปัจจัย" เหล่านั้นมีอะไรบ้าง?
ก็ตั้งแต่...
1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน ซึ่งดูแล้วเห็นแววความยุ่งเหยิงมาแต่ไกล แถมผลเลือกตั้งยังไม่มีความแน่นอน ยากจะคาดเดา
2. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ตกฮวบทั่วโลก
3. การอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) โดยธนาคารกลางทั่วโลก ทั้งระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ และสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่า
4. สถานการณ์การค้าที่ตึงเครียดไปทั่วโลก และความเสี่ยงทางการเมือง
และ 5. การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
จากปัจจัยที่ว่านี้ เป็นแรงผลักดันให้ "ราคาทองคำ" อาจทำสถิติ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระยะอันใกล้นี้ และก่อนปิดปี 2563 อาจพุ่งขึ้นมากกว่า 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับปกติ ไปอยู่ที่ 2,275 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า ก็อาจอยู่ที่ 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แต่ยังไงก็ตาม...สำหรับช่วงนี้ มองว่า "ราคาทองคำ" มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบบริเวณ 1,845-1,882 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแนวต้านแรกที่ 1,882 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจมีแรงเทขายออกมา ถ้าผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากไม่ผ่านแนะนำเปิดสถานะขายเพื่อรอซื้อคืนเมื่อราคาอ่อนตัวลง
ไม่เพียงแค่การลงทุนใน "ทองคำจริง" เท่านั้น การซื้อ "หุ้นทองคำ" ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่นักลงทุนมองเห็นกำไร และอาจทำกำไรได้มากกว่า "ทองคำจริง" ด้วยซ้ำ
แต่ก็ใช่ว่า "หุ้นทองคำ" จะประสบความสำเร็จทั้งหมด!
วันนี้...เราคัดสรรมา 3 ตัว จากการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ที่มองว่า นี่จะเป็น "หุ้นทองคำ" ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
...
แน่นอนว่า 1 ใน 3 ตัว ก็คงหนีไม่พ้น "หุ้นเหมืองทอง" นั่นคือ 'บาร์ริค โกลด์' (Barrick Gold: GOLD) หนึ่งในบริษัทเหมืองทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตทองคำมากกว่า 5 แสนออนซ์ต่อปี ซึ่งคาดว่า ผลผลิตทองคำเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านออนซ์ต่อปี ไปจนถึงปี 2572
ตัวที่ 2 คือ 'ฟรานโก-เนวาดา' (Franco-Nevada:FNV) บริษัทสตรีมมิงทองคำที่เป็นที่ครอบคลุมทั้ง ทองคำ เงิน ทองคำขาว หรือแม้แต่น้ำมันและก๊าซ โดยปี 2562 รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจาก "ทองคำ" ถึง 65%
ตัวสุดท้าย คือ 'กองทุนเอสพีดีอาร์' (SPDR Gold Trust: GLD) กองทุนประเภทหนึ่งใน 'กองทุนอีทีเอฟ' (ETF) ที่ถือครองทั้งหุ้นเหมืองทองคำและหุ้นสตรีมมิงทองคำ และหากย้อนไปวันที่ 3 และ 4 สิงหาคม ก็ได้กว้านซื้อ "ทองคำ" มาถือครองกว่า 15 ตัน รวมทั้งหมดมีมากถึง 1,258 ตัน มากกว่าเงินสำรองของธนาคารแห่งอังกฤษถึง 4 เท่า
จากภาพที่เกิดขึ้น แนวโน้ม "ทองคำ" ยังคงเป็นไปในทิศทางบวก ที่ตอนนี้เข้ามาถึงระยะกลางของ "ตลาดกระทิง" แล้ว ส่วนใครอยากลงทุนแบบไหน ก็ขอให้ระมัดระวังในการลงทุน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง.
ข่าวอื่นๆ :
...