ว่ากันว่า...บรรดา "ประเทศร่ำรวย" ทั้งหลาย กั๊ก "วัคซีนไวรัสโคโรนา" หรือ "วัคซีนโควิด-19" (COVID-19) ไว้เพียงกลุ่มเดียว ปริมาณมากกว่าพันล้านโดส!

จนมีคำถามตามมาว่า "นี่คือ 'การผูกขาด' ใช่หรือไม่?"

คำตอบจะเป็นอย่างไร?...มาไล่เรียงกัน

แต่แน่นอนว่า ประโยคข้างต้นได้เพิ่มความกังวลให้กับประเทศอื่นๆ ที่เหลือเรียบร้อยแล้ว และอาจต้องถอยกลับไปอยู่ในจุดที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับการเอาชนะโควิด-19 ด้วยตัวเองต่อไป

เอาล่ะ!...กลับมาว่ากันต่อกันที่ "การผูกขาดวัคซีนโควิด-19"

"ประเทศร่ำรวย" ที่ว่านั้น รู้ไหมว่ามีประชากรรวมกันคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 13% ของประชากรโลกทั้งหมดเท่านั้น!

แต่ 13% กลับ "ผูกขาด" การทำสัญญากับแคนดิเดตวัคซีนโควิด-19 มากกว่า 51% หรือปริมาณ 5,303 ล้านโดส เพียงพอต่อประชาชนแค่ 2,728 ล้านคนเท่านั้น

ที่มาที่ไปเกิดจากคำเตือนอย่างตรงไปตรงมาของ "ออกซ์แฟม" (Oxfam) ที่ได้หยิบยก "ดีลธุรกิจ" ของบริษัทเภสัชกรรม (ยา) และผู้ผลิตวัคซีนต่างๆ ทั่วโลก มาวิเคราะห์และพบว่า ปัจจุบันมีแคนดิเดตวัคซีนเพียง 5 รายเท่านั้น ที่กำลังทดลองระยะที่ 3 คือ แอสทราเซเนกา (AstraZeneca), กามาเลยา (Gamaleya), โมเดอร์นา (Moderna) ไฟเซอร์ (Pfizer) และซิโนแวค (Sinovac) โดยมีกำลังการผลิตรวมกันอยู่ที่ 5,940 ล้านโดส จึงเป็นไปได้ว่า กำลังการผลิตวัคซีนไม่มีทางที่จะเพียงพอต่อความต้องการของคนทั้งโลก

...

และแม้ว่าสุดท้าย 5 แคนดินเดตโควิด-19 จะประสบความสำเร็จ แต่เกือบ 2 ใน 3 หรือ 61% ของประชากรโลก ก็จะไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนไปจนถึงอย่างน้อยปี 2565

จากการประเมินของ "ออกซ์แฟม" ทำให้พบว่า "ระบบป้องกันการผูกขาด" ได้พังทลายลงแล้ว และบริษัทยาต่างมุ่งไปสู่เส้นทางการสร้างกำไร พร้อมกับเชิดชู "ประเทศร่ำรวย"

และใช่! แม้แต่สถานการณ์ที่หายนะที่สุดของโลก การถูกเชื้อโรคร้ายโจมตี แต่อำนาจของ "เงิน" ก็บันดาลได้ทุกอย่าง

โดย "โมเดอร์นา" (Moderna) หนึ่งในผู้พัฒนาวัคซีน ที่ได้รับเงินจากการทำสัญญามากถึง 7.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีวัคซีนให้เลือกหลายราคาตั้งแต่ 374-499 บาทต่อโดส แต่ราคานี้เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ส่วนประเทศอื่นๆ ราคาสูงถึง 1,090 บาทต่อโดส เรียกว่าไกลเกินเอื้อมสำหรับประชาชนในประเทศยากจน

นี่เป็นเพียง 1 ตัวอย่างของบริษัทยาที่ผลิตวัคซีนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า บริษัทอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน...

ทำให้ "ออกซ์แฟม" และองค์กรอื่นๆ ทั่วโลก รวมตัวส่งเสียงเรียกร้อง "วัคซีนประชาชน"

"วัคซีนประชาชน" คืออะไร?

"วัคซีนประชาชน" คือ วัคซีนที่ทุกคนเข้าถึงและสามารถใช้ประโยชน์ได้โดยปราศจากค่าใช้จ่าย และยังแจกจ่ายอย่างยุติธรรมบนพื้นฐานของความจำเป็น

แต่ "วัคซีนประชาชน" จะเป็นไปได้ บริษัทยาทั้งหลายก็ต้องร่วมมือด้วย โดยการยินยอมให้นำ "วัคซีน" ไปผลิตได้ในวงกว้างและมีการแบ่งปันภูมิความรู้อย่างเสรีปราศจากสิทธิบัตร

เพราะหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป แทนที่จะป้องกันระบบผูกขาด ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิด "วัคซีนเก็งกำไร" ผ่าน "การประมูล" และประเทศที่จะได้ไปก็คือ กลุ่มกระเป๋าหนักที่ยกป้ายราคาสูงที่สุด!

นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่า "ดีลวัคซีน" ระหว่างประเทศก็ไม่มีความยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรที่มีกำลังมากพอในการดีลบริษัทหลายๆ แห่งในการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนได้ถึง 5 โดสต่อคน แตกต่างจากบังกลาเทศ ที่จัดหาได้เพียง 1 โดสต่อประชาชน 9 คน

แล้วประเทศพัฒนาแล้วที่แสนร่ำรวยที่ทำสัญญาดีลวัคซีน 5,303 ล้านโดส มีใครบ้าง? ก็ตั้งแต่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, ฮ่องกง/มาเก๊า, ญี่ปุ่น, สวิตเซอร์แลนด์ และอิสราเอล รวมถึงสหภาพยุโรป (อียู)

ส่วนที่กำลังทำสัญญา คือ อินเดีย, บังกลาเทศ, จีน, บราซิล, อินโดนีเซีย และเม็กซิโก

โดยจากการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกของกองทุนระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้เห็นชัดว่า ในปี 2563-2564 เศรษฐกิจทั่วโลกจะเสียหายรุนแรงถึง 373 ล้านล้านบาท ขณะที่ การประมาณการต้นทุนค่าใช้จ่ายการวิจัย ผลิต จัดซื้อ และแจกจ่ายวัคซีนให้ทุกคนบนโลก อาจอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท

คิดง่ายๆ ได้ว่า ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดหา "วัคซีนโควิด-19" ให้กับทุกคนบนโลก คิดเป็นเพียง 0.59% ของต้นทุนค่าใช้จ่ายโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจทั่วโลกเท่านั้น

...

ดังนั้น คงจะดีกว่ามาร่วมกันทำให้เกิด วัคซีนประชาชน ที่มีต้นทุน 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อป้องกันสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาลมูลค่ามากกว่าร้อยล้านล้านบาท.

ข่าวน่าสนใจ :