AirPods คือ หูฟังที่ Apple อวดต่อชาวโลกว่าคือ "หูฟังไร้สายขั้นสุด" และนับตั้งแต่เปิดตัวเคียงข้าง Apple Watch Series 2 และ iPhone 7 เมื่อเดือนกันยายน ปี 2016 เป็นต้นมา AirPods ถือเป็น Gadget ที่สุด Pop และกลายเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ขายดีมาตลอด ยืนยันได้จากยอดขายปี 2017 อยู่ที่ 15 ล้านยูนิต, ปี 2018 อยู่ที่ 35 ล้านยูนิต และปี 2019 อยู่ที่ 61 ล้านยูนิต

ทั้งๆ ที่ตอนเปิดตัวมันถือเป็นหนึ่งใน Product ของ Apple ที่บรรดาสาวกและคู่แข่งหยิบยกไปล้อเลียนเรื่องการออกแบบที่ดูชอบกลๆ ในโลกออนไลน์อย่างล้นหลาม รวมถึง Users ส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ ยังไม่เห็นด้วยนักกับการที่ Apple ตัดช่องเสียบหูฟังออกจาก iPhone เพื่อหวังบีบให้สาวกยอมจ่ายเงินซื้อ AirPods ที่มีราคาแพงกว่า EarPods หูฟังมีสายดั้งเดิมของ iPhone ที่มีรูปลักษณ์แทบไม่ต่างจาก AirPods เพียงแต่มีสายหูฟังเท่านั้น ถึงหลายเท่าตัว!

แต่แล้วหลัง Apple เปิดรับคำสั่งซื้อ AirPods ผ่านระบบออนไลน์ครั้งแรกในอีก 1 เดือนต่อมา ผลที่ได้รับคือ คำสั่งซื้อชนิดสร้างปรากฏการณ์ จนถึงขั้น AirPods ขาดตลาด โดย 'ทิม คุก' (Tim Cook) CEO ของ Apple กล่าวถึงความสำเร็จที่น่าทึ่งนี้ว่า หากนำ AirPods Apple Watch และ iPod ออกวางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ยอดขายของ AirPods จะขายดีกว่า 4-6 เท่า

ด้วยเหตุนี้ AirPods คือ เทรนด์ของโลกใบใหม่ที่ Apple บรรจงสร้างขึ้น (อีกครั้ง) และทำให้คู่แข่งที่เคยล้อเลียนอย่างหนักเรื่อง "การตัดสายทิ้ง" ต้องจำใจกลืนน้ำลาย (เหมือนเดิม) หันลอกเลียนเทรนด์ใหม่ที่ Apple สร้างขึ้นจ้าละหวั่น ด้วยเพราะกลัวตกรถไฟขบวนนี้

...

แต่แล้วจู่ๆ ได้ปรากฏ "เค้าลาง" บางอย่างที่กำลังบ่งบอกถึงเวทมนตร์ของ Apple ที่กำลังเสื่อมถอย หลังบริษัทมูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดหูฟังไร้สาย หรือ TWS (True Wireless Stereo) ที่ตัวเองเป็นผู้บุกเบิกและกำลังเติบโตขึ้นทุกทีๆ

ทั้งๆ ที่เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา มันสามารถครองส่วนแบ่งในตลาด TWS ได้เกือบ 50% จนกระทั่งทำให้สำนักวิจัย Counterpoint คาดการณ์ว่า ยอดขายของตระกูล AirPods ภายในปีนี้ (ปี 2020) น่าจะพุ่งทะลุถึง 82 ล้านยูนิต

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ Apple ไม่คาดฝันก็ได้บังเกิดขึ้น หลังการมาถึงของหูฟังไร้สาย "ราคาเอื้อมถึง" ทางเลือกใหม่จากคู่แข่งในประเทศจีน ซึ่งสามารถเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งอันหอมหวานจากบริษัทชื่อดังใน 'ซิลิคอน วัลเลย์' ได้อย่างน่าตื่นตะลึง โดยรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมา AirPods ครองส่วนแบ่งการตลาดลดลงเหลือเพียง 35% ในขณะที่ ม้ามืดมาแรงแบรนด์จีนอย่าง Xiaomi ได้ส่วนแบ่งถึง 10% ส่วน Samsung ที่พยายามจะวิ่งไล่ตาม Apple ไปเสียทุกเรื่อง เฉือนส่วนแบ่งมาได้เพียง 6% ในขณะที่ แบรนด์ Jabra และ JBL ได้ไปในสัดส่วนเท่าๆ กันที่ 3%

ในขณะที่ ส่วนแบ่งการตลาดที่เหลืออีก 43% นั้น สำนักวิจัย Counterpoint แจ้งว่าเป็นแบรนด์เครื่องเสียงชื่อดัง เช่น Sennheiser Beyerdynamic และ Audio-Technica ซึ่งไม่ได้ลงทะเบียนให้ข้อมูลทางการตลาดกับทางสำนักวิจัย Counterpoint เอาไว้ อย่างไรก็ดี แบรนด์ที่เหลือเหล่านี้ต่างมุ่งลงแข่งกันในตลาดกลุ่มพรีเมียมเป็นหลัก และน่าจะครองส่วนแบ่งการตลาดรายละ 0.3% หรือต่ำกว่านั้น

อะไรคือ ตัวการที่ทำให้ AirPods เริ่มมีสัญญาณของความเสื่อมถอย?

คำตอบก็คือ การปรากฏตัวของ Lypertek Tevi หูฟังไร้สายจาก Xiaomi ที่มาพร้อมกับความโดดเด่นทั้งในเรื่องราคาถูก แบตเตอรี่อึด และที่สำคัญ สามารถให้คุณภาพเสียงที่น่าหลงใหล ในขณะที่ หูฟังของ Apple ทั้ง AirPods และ AirPods Pro นั้น นอกจากจะมีราคาสูงกว่ามากแล้ว ยังสามารถใช้งานได้ภายในระยะเวลาที่สั้นกว่ามากด้วย

นอกจากนี้ การที่คู่แข่งสำคัญอย่าง Samsung ออกหูฟังไร้สายรุ่นใหม่ อย่าง Galaxy Buds Live ที่มีรูปโฉมโฉบเฉี่ยว ราคาถูกกว่า และมีสเปกแทบจะไม่ต่างจาก AirPods Pro ออกมาจำหน่าย ก็ยิ่งทำให้อนาคตของ Apple ในตลาด Wireless Earbuds เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น

โดยล่าสุด Samsung อ้างว่า Galaxy Buds Live สามารถทำยอดขายได้ถึง 300,000 ยูนิต ในช่วงเดือนแรกที่ออกวางจำหน่าย (ตัวเลขนี้รวมกับยอดขาย Galaxy Buds Live ที่ถูกนำไปรวมขายเป็นชุดพร้อมกับ Flagship phone ของ Samsung อย่าง Galaxy Note 20 ด้วย)

...

โดยเหตุผลสำคัญที่ทำให้คู่แข่งสามารถช่วงชิงเค้กก้อนงามไปจาก Apple ได้นั้น เป็นเพราะสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์แล้ว จุดเด่นของ AirPods ในเรื่องที่สามารถเชื่อมกับ iPhone ได้อย่าง "สุดคลิก" นั้น ไม่ถือเป็นข้อได้เปรียบใดๆ ฉะนั้น ปัจจัยเรื่อง "ราคา" และ "ฟีเจอร์ต่างๆ" สำหรับหูฟังไร้สายจึงกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการตัดสินใจ "เลือก" ของบรรดาผู้บริโภคไปโดยปริยาย

"ปัจจุบันต้องยอมรับว่า กลุ่มหูฟังไร้สายราคาถูกและราคาปานกลาง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ของประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ต่างจากกรณี Lypertek Tevi (JLab) สามารถเจาะเข้าไปช่วงชิงลูกค้าที่อยู่ในตลาดพรีเมียมเดิมได้แล้ว" ลีซ ลี (Liz Lee) นักวิเคราะห์จาก Counterpoint ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์จาก Counterpoint ยังมองด้วยว่า การแข่งขันระหว่าง Samsung และ Apple ในตลาดหูฟังไร้สายน่าจะดุเดือดเข้มข้นขึ้นในช่วงที่เหลือของครึ่งปีหลัง หลัง Galaxy Buds Live ได้รับเสียงชื่นชมจากสำนักรีวิวต่างๆ มามากมาย พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่า บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติเกาหลีใต้จะสามารถเจาะฐานลูกค้าในตลาดหูฟังไร้สายได้เพิ่มเติม โดยเฉพาะจากบรรดาผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ หากตัดสินใจ ขยายฐานลูกค้าโดยเน้นการจับเป้าหมายไปที่ลูกค้าระดับกลางและ high-end ด้วยหูฟังรุ่นใหม่อีกอย่างน้อย 2 หรือ 3 รุ่น โดยหาก Samsung ขยาย lineup หูฟังไร้สายขึ้นมาจริงๆ นักวิเคราะห์จากสำนักวิจัย Counterpoint คาดการณ์ว่า น่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ Samsung จาก 8 ล้านยูนิตเมื่อปีที่ผ่านมา สู่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือ 17 ล้านยูนิตได้ภายในปีนี้แน่นอน

...

อย่างไรก็ดี การรุกคืบของคู่แข่งที่ใช้วิธี "ทำให้เหมือนแต่ใช้นานขึ้น" อาจจะไม่ทำให้ Apple ต้องไปวิตกอะไรมากนักแล้ว หลังมีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาว่า Apple ได้จดสิทธิบัตรที่น่าจะเชื่อมโยงถึง AirPods Pro รุ่นใหม่ ที่จะมาพร้อมกับระบบเซนเซอร์แบบใหม่ ซึ่งจะแตกต่างจาก "AirPods รุ่นเดิม" ที่บรรดา Users หากต้องการจะรับสายโทรศัพท์ เปลี่ยนเพลง หรือสั่งการ Siri จะต้องใช้วิธีเคาะไปที่ตัวหูฟังก่อน

โดยระบบเซนเซอร์ใหม่นี้ในเบื้องต้น ได้รับการคาดหมายว่า น่าจะสามารถตอบสนองได้รวดเร็วต่อทั้งการสัมผัสและการเคลื่อนไหว เพื่อควบคุม AirPods ยกตัวอย่างเช่น การลดเสียงเพลงลง จากการทำเพียงใช้นิ้วเคลื่อนไหวไปที่หูฟังข้างใดข้างหนึ่ง

นอกจากนี้ Apple ยังมีแผนการจะพัฒนาวิธีการที่จะใช้ Airpods เพื่อแจ้งเตือนในกรณีที่ผู้ใช้เสี่ยงต่ออันตรายในระหว่างการใช้หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ด้วย เช่น การลดเสียงลงอัตโนมัติ จากหูฟังข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง รวมถึงสามารถปิดเสียงทั้งหมดลงโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ยินเสียงรอบข้างชัดเจนขึ้น ในกรณีที่ตำแหน่งการใช้งานของ User กำลังอยู่ในพื้นที่ควรระมัดระวัง เช่น กรณีการข้ามถนน เป็นต้น

...

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็แปลว่า บรรดาสาวกอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับเทรนด์ใหม่ๆ จากเวทมนตร์ของยักษ์ใหญ่แห่ง 'ซิลิคอน วัลเล' อีกครั้ง ก็เป็นได้...

นายฮกหลง
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

End Credit

อะไรคือ เวทมนตร์ที่ทำให้ AirPods กลายเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของ Apple?

หลังถูก Bully อย่างหนัก ทั้งเรื่อง "ราคา" ที่ถูกมองว่าแพงเกินไป และ "Design" ที่ออกจะดูแปลกไปสักนิด ตั้งแต่มีการเปิดตัวเป็นต้นมา (แต่จะว่าไปเกือบทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ก็มักจะโดนข้อหานี้มาโดยตลอดอยู่แล้วนะ)

แต่สุดท้าย AirPods สามารถกลายเป็นเทรนด์ฮิตในระดับปรากฏการณ์ไปซะเฉยๆ ชนิดเหนือความคาดหมาย ทำให้บรรดานักวิเคราะห์พยายามหาคำตอบของคำถามที่ว่านั้นกันอย่างหนัก

โดย 'ทิม บาคาริน' (Tim Bajarin) นักวิเคราะห์ชื่อดังจาก Creative Strategies ได้ให้ความเห็นถึงประเด็นนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า การจับคู่ระหว่างชุดหูฟังและโทรศัพท์มือถือได้อย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังสามารถเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการฟังเพลงและการสนทนาทางโทรศัพท์ รวมถึงสามารถใช้เสียงออกคำสั่งได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่มากๆ (ณ เวลานั้น) จึงทำให้มันแตกต่างจากหูฟังของคู่แข่งอย่างสิ้นเชิง

ส่วนประเด็นเรื่องราคาเปิดตัวที่ 159 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกมองว่า "แพงเกินไป" นั้น สำหรับบรรดาสาวกของ Apple แล้ว มันถือเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคามาตรฐาน สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Apple ด้วยซ้ำไป ฉะนั้น มันจึงไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้เหล่าสาวกยอมเมินเฉยต่อเทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่ๆ ที่บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้นำเสนอต่อชาวโลก

ส่วนคำถามสำคัญที่ว่า AirPods สามารถทำกำไรให้กับ Apple ได้ขนาดไหนนั้น หากอ้างอิงจากที่เซอร์โจนาธาน ไอฟ์ (Jonathan Ives) นักออกแบบผลิตภัณฑ์คู่บารมีบิดาแห่ง Apple อย่าง 'สตีฟ จ็อบส์' (Steve Jobs) เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Fortune โดยประเมินเอาไว้ว่า Apple สามารถทำกำไรขั้นต้นจากส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนในการผลิต AirPods ได้ถึง 90-100 เหรียญสหรัฐต่อทุกๆ ยูนิตที่ขายได้ นั่นก็แปลว่า ต้นทุนของ AirPods ต่อยูนิตน่าจะอยู่ที่เพียง 59-69 เหรียญสหรัฐเท่านั้น

ฉะนั้น หากนับยอดขายของ AirPods ตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีรายงานว่าขายไปได้แล้ว

ปี 2017 อยู่ที่ 15 ล้านยูนิต
ปี 2018 อยู่ที่ 35 ล้านยูนิต
ปี 2019 อยู่ที่ 61 ล้านยูนิต

และปี 2020 คาดว่าน่าจะขายได้ 82 ล้านยูนิต

และเมื่อคำนวณแล้ว Apple จึงน่าจะทำกำไรจากยอดขาย AirPods ไปได้แล้วทั้งสิ้น 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ข่าวน่าสนใจ: