ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและโกลาหลที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นกาตาลุญญาได้บังเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ 'พระเจ้า' ของชาวคาตาลัน ประกาศต่อสาธารณชนว่า I wants to leave Barcelona!

ใช่แล้ว... พระเจ้าที่มีนามว่า 'ลิโอเนล เมสซี' กำลังต้องการไปจากสโมสรบาร์เซโลนา หลังเดบิวต์ในฐานะนักเตะตัวจริงกับอาซูกรานาด้วยวัยเพียง 16 ปี ในวันที่ 16 ตุลาคม 2004 จนถึง ณ เวลานี้ มันกินระยะเวลายาวนานถึง 16 ฤดูกาล พร้อมกับพาทีมกวาดทุกแชมป์ในระดับสโมสรมามากมายนับไม่ถ้วน

34 แชมป์ 634 ประตู 513 ชัยชนะ ทำสถิติโลกใน Guinness World Records 80 สถิติ ทั้งหมดนี้คือผลงานที่เทียบกับระดับพระเจ้าเท่านั้น ที่จะสามารถบันดาลให้กับสโมสรบาร์เซโลนาได้

ออกไป ออกไป ออกไป!

ความโกลาหล ความโกรธเกรี้ยว และเสียงกู่ก้องร้องตะโกนขับไล่ 'โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว' ประธานสโมสรบาร์เซโลนา ให้ลาออกจากตำแหน่ง กึกก้องกัมปนาททั่วแคว้นที่บ้าคลั่งฟุตบอลแห่งนี้ทันที หลังสิ้นคำประกาศของพระเจ้า

ต้องมีผู้รับผิดชอบสำหรับการกระทำที่ทำให้พระเจ้ารู้สึกไม่พึงปรารถนา และไม่ต้องการอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะกับแคว้นแห่งนี้อีกต่อไป!

MORE THAN A CLUB อาจใช้ได้กับยอดนักเตะคนอื่นๆ ที่เคยมาค้าแข้ง ณ สโมสรแห่งนี้ 'ริวัลโด' 'เนย์มาร์' หรือแม้กระทั่ง 'โรนัลดินโญ' แต่มันอาจใช้ไม่ได้กับพระเจ้าที่มีพระนามว่า 'ลิโอเนล เมสซี!'

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นน่ะหรือ?

เราไปเช็กความแนบแน่นและเกียรติประวัติฉบับย่อของ 'พระเจ้า' กับสโมสรแห่งนี้กัน

...

'ลิโอเนล เมสซี' เกิด 24 มิถุนายน 1987 อายุ 33 ปี สูง 170 เซนติเมตร น้ำหนัก 72 กิโลกรัม สัญชาติอาร์เจนตินา อายุเพียง 13 ปี ย้ายจาก 'นีเวลล์ โอลด์บอยส์' สโมสรจากประเทศอาร์เจนตินา มาร่วมทีมบาร์เซโลนา เมื่อปี 2000

และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าใช้ปลายสตั๊ดบันดาลความสำเร็จให้กับบาร์เซโลนา


ผลงานตลอด 16 ฤดูกาล ของ ลิโอเนล เมสซี เช่นนี้มันมากเพียงพอหรือยัง ที่จะเรียกเขาว่า พระเจ้า!

ทำไม 'เมสซี' จึงอยากไปจากบาร์เซโลนา?

เป็นที่รับทราบโดยทั่วกันว่า ฤดูกาลที่ผ่านมา (2019-2020) มีสัญญาณผิดปกติที่แสดงออกถึงความไม่พอใจของ 'เมสซี' ถูกส่งออกมาจากถิ่นคัมป์นูให้สาธารณชนได้รับทราบหลายต่อหลายครั้ง อย่างชนิดแทบไม่เคยปรากฏมาก่อน

อะไรคือความไม่พอใจที่อยู่ภายใต้การส่งสัญญาณผิดปกติที่ว่านั้น?

ประเด็นที่ 1 การปลด 'เอร์เนสโต บัลเบร์เด' (Ernesto Valverde) อดีตผู้จัดการทีม

คำสั่งปลด 'เอร์เนสโต บัลเบร์เด' มีขึ้นหลัง 'บาร์ซา' พ่ายให้กับ 'แอตเลติโก มาดริด' ในศึกซุปเปอร์โคปา เมื่อเดือนมกราคม ปี 2020 โดยทันทีหลังมีคำสั่งดังกล่าวพร้อมๆ กับมีการประกาศแต่งตั้ง 'กิเก เซเตียน' เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

'เมสซี' และเพื่อนคู่หู 'หลุยส์ ซัวเรซ' โพสต์ข้อความลงโซเชียลมีเดียอวยพรให้อดีตบอสโชคดี พร้อมกับยกย่องว่า เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม และเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นทำให้ถูกตีความได้หรือไม่ว่า เขา ไม่เห็นด้วยกับการปลด 'เอร์เนสโต บัลเบร์เด'

นี่อาจคือ...ความขุ่นเคืองใจครั้งที่ 1

ประเด็นที่ 2 ปฏิบัติการดึงหนึ่งในสมาชิก MSN กลับคืนสู่ถิ่นคัมป์นูล้มเหลว

สามแนวรุกที่สุดทรงพลัง MSN (เมสซี, ซัวเรซ, เนย์มาร์) ต้องกลายเป็นอดีต เมื่อ 'เนย์มาร์' ตัดสินใจขอแยกทางไปอยู่กับ 'ปารีส แซงต์ แชร์กแมง' ในปี 2017 แต่แล้วเมื่ออดีตคู่หูคิดได้ และพยายามทุกวิถีทางเพื่อขอกลับมาเป็นสมาชิก MSN อีกครั้ง การเจรจาเพื่อขอซื้อตัวเนย์มาร์จากสโมสรมหาเศรษฐีกลับล้มเหลวลงอย่างเหลือเชื่อในบั้นปลาย เรื่องนี้ทำให้ 'เมสซี' ถึงกับต้องแสดงความผิดหวังออกสื่อที่ว่า

"ผมรักและปรารถนาที่จะเห็น 'เนย์มาร์' กลับคืนสู่บาร์เซโลนาอีกครั้ง ผมรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งกับการที่สโมสรล้มเหลวในเรื่องนี้" ซึ่งคำพูดดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดว่า เมสซีตำหนิ 'โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว' ประธานสโมสรบาร์เซโลนา ว่า ไร้ซึ่งความจริงใจ และยังใช้ความพยายามไม่มากพอ

นี่อาจคือ...ความขุ่นเคืองใจครั้งที่ 2

ประเด็นที่ 3 บอร์ดบริหารกล่าวตำหนินักเตะชุดใหญ่ออกสื่อ

'เอริค อบิดัล' SPORTING DIRECTOR ของสโมสร ออกโรงสับเหล่านักเตะบาร์ซา (จำนวนหนึ่ง) ออกสื่ออย่างดุเดือดว่า เล่นล้มเก้าอี้ 'เอร์เนสโต บัลเบร์เด' อดีตกุนซือ ซึ่งข้อกล่าวหานี้ทำให้เมสซีรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นโพสต์ไอจีส่วนตัวปกป้องเพื่อนร่วมทีม พร้อมกับเรียกสิ่งที่ 'อบิดัล' ทำว่า "การกระทำที่สกปรก" แทบจะในทันที

...

นี่อาจคือ...ความขุ่นเคืองใจครั้งที่ 3

ประเด็นที่ 4 การร้องขอนักเตะช่วยสโมสรด้วยการลดค่าเหนื่อย 70%

แผนการบริหารการเงินที่ล้มเหลว เมื่อถูกผสมเข้ากับปัญหาการแพร่ระบาดโรค Covid-19 ทำให้บาร์ซาประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนถึงกับบอร์ดบริหารต้องร้องขอให้เหล่านักเตะยอมลดค่าเหนื่อยลงถึง 70% และถึงแม้ 'เมสซี' และ 'ผองเพื่อน' จะยินยอมพร้อมใจลดค่าเหนื่อยตามคำขอ หากแต่ยอดนักเตะผู้นี้ได้โพสต์ไอจีที่แฝงไว้ด้วยนัยต้องการกระทบชิ่งถึงใครบางคน (โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว) ว่า "มีบางคนในสโมสรกำลังพยายามส่งแรงกดดันมาที่นักเตะเพื่อให้ทำอะไรบางอย่าง ทั้งๆ ที่พวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าควรจะต้องทำอย่างไร"

นี่อาจคือ...ความขุ่นเคืองใจครั้งที่ 4

ประเด็นที่ 5 การผลักไสคู่หูเพื่อนซี้ 'หลุยส์ ซัวเรซ' ให้พ้นจากสโมสรอย่างชนิดไม่ให้เกียรติ

หลังการประกาศแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ 'โรนัลด์ คูมัน' สิ่งแรกที่ชายผู้นี้ลงมือทำคือ การประกาศว่าไม่มีที่ว่างสำหรับ 'หลุยส์ ซัวเรซ' ในทีมบาร์ซาอีกต่อไป ทั้งๆ ที่เป็นที่ทราบกันดีว่า นักเตะคนนี้สนิทสนมกับ 'เมสซี' ทั้งในและนอกสนามขนาดไหน อีกทั้งที่ตลอดเวลาที่ลงเล่นในคัมป์นู 'ซัวเรซ' ทุ่มเทพลังชีวิตใหักับเหล่าอาซูกรานาอย่างหนักมาโดยตลอด

โดยหลังคำประกาศขับไล่ 'ซัวเรซ' ออกสื่ออย่างเปิดเผย คล้อยหลังเพียงไม่กี่วันต่อมา แฟกซ์ I wants to leave Barcelona จากทนายความส่วนตัวของเมสซีก็ส่งถึงสโมสรบาร์เซโลนาทันที

นี่อาจคือ...ความขุ่นเคืองใจครั้งที่ 5

...

ค่าตัวฟรี หรือต้องจ่าย 700 ล้านยูโร องค์ประกอบสำคัญที่ยังทำให้การย้ายทีมอยู่ภายใต้เครื่องหมายคำถาม?

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าเมื่อพระเจ้าปรารถนาสิ่งใดแล้วมันจะต้องได้ตามที่ปรารถนา นั่นเป็นเพราะความต้องการที่ว่านั้นมันยังคงสวนทางกับสัญญาที่พระเจ้าทำไว้กับสโมสรบาร์เซโลนา!

ที่ผ่านมา...สื่อมวลชนเกือบทุกสำนักรายงานตรงกันว่า แม้ว่าสัญญาฉบับล่าสุดจะมีออปชันเปิดทางให้ 'เมสซี' สามารถออกจากสโมสรในแบบ "ไม่มีค่าตัว" ในซัมเมอร์นี้ได้ แต่บอร์ดบริหารบาร์เซโลนาโต้แย้งว่า ออปชันดังกล่าวจะสามารถใช้ได้ภายในกำหนดวันที่ 10 มิถุนายนเท่านั้น ฉะนั้น หากใครหน้าไหนต้องการได้ตัวนักเตะผู้นี้ จะต้องจ่ายเงินค่าตัวตามที่มีระบุในสัญญา ซึ่งมีมูลค่าสูงล้นถึง 700 ล้านยูโร! ซึ่งราคานี้ไม่มีทางที่จะมีสโมสรใดในโลกยอมจ่ายอย่างแน่นอน หรือหากว่ามี ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำผิดกฎ Financial Fair Play

อย่างไรก็ดี เนื่องจากฤดูกาลนี้ติดปัญหาการแพร่ระบาดโรค Covid-19 จนทำให้มีการเลื่อนตารางการแข่งขันออกไปในเกือบทุกรายการหลายเดือน ทางฝ่าย 'เมสซี' จึงเชื่อมั่นว่าสามารถใช้ออปชันย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัว สำหรับการย้ายทีมได้อยู่ต่อไป

ในเมื่อ 'เมสซี' ไม่ยอมผ่อนท่าที บอร์ดบริหารของบาร์ซาจึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อรั้งสตาร์อันดับหนึ่งไว้ให้ได้

"เราพูดหลายครั้งแล้วว่า 'เมสซี' คือ นักเตะของบาร์เซโลนา สโมสรแห่งนี้กำลังฟื้นฟูตัวเองเพื่อกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนเช่นหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ และไม่มีช่องว่าง หรือความขัดแย้งใดๆ ระหว่าง 'เมสซี' กับ 'บาร์เซโลนา' เพราะทุกคนเข้าใจตรงกันว่า เราต้องการเขาเพื่อการกลับไปเป็นผู้ชนะอีกครั้ง" รามอน พาเนส (Ramon Planes) เลขานุการฝ่ายเทคนิคของสโมสรบาร์เซโลนา ยืนยันถึงกรรมสิทธิ์ในตัว 'พระเจ้า'

...

สำทับด้วย 'โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว' ประธานสโมสร ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคือ คู่กรณีโดยตรงของ 'เมสซี' ได้ส่งสัญญาณ "ถอยสุดซอย" เพื่อฉุดรั้งตัวพระเจ้าให้อยู่กับสโมสรต่อไป ถึงขนาดที่ว่าจะยอมลาออกจากตำแหน่ง หากแม้เพียง 'เมสซี' ยอมเอ่ยปากว่า จะอยู่ภายใต้สีเสื้อสีแดง-น้ำเงิน รวมถึงยังส่ง 'โรนัลด์ คูมัน' กุนซือคนใหม่ มาเคลียร์ใจกับ 'เมสซี' แบบสองต่อสองด้วย

เรียกว่า 'พระเจ้า' ประสงค์สิ่งใด สโมสรยอมทูนหัวทูนเกล้าให้จนหมดสิ้นแล้ว ณ วินาทีนี้!

อีกหนึ่งอุปสรรค ค่าเหนื่อยก้อนมหาศาลที่จะมีสักกี่ทีมยอมจ่าย?

อย่างไรก็ดี นอกจากปัญหาเรื่องสัญญาที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถามแล้ว ค่าเหนื่อยของยอดนักเตะอาร์เจนตินาผู้นี้ยังน่าจะเป็นอีกหนึ่งเงื่อนปมสำคัญ ที่อาจทำให้การย้ายทีมไม่เกิดขึ้น!

หากใครยังไม่รู้? เพียงเฉพาะค่าเหนื่อยจากสัญญาฉบับปัจจุบันกับบาร์เซโลนา 'เมสซี' ก็รับอยู่ที่เกือบ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปีแล้ว!

จากการรายงานของนิตยสาร Forbes สัญญาฉบับปัจจุบันที่ 'เมสซี' ลงนามกับ 'บาร์ซา' ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 มีระยะเวลา 5 ปี (สิ้นสุดสัญญาในฤดูกาล 2020-2021 ซึ่งหากถึงตอนนั้น เมสซีจะมีอายุ 34 ปี) มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นประมาณ 835 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นค่าเหนื่อยต่อปีอยู่ที่ 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่หากรวมโบนัสจากออปชันต่างๆ เช่น การพาทีมคว้าแชมป์ เงินค่าเหนื่อยต่อปีก้อนนี้อาจจะสูงถึง 92 ล้านเหรียญสหรัฐฯ! ด้วยเหตุนี้ เมสซีจึงกลายเป็นนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก ตามมาด้วยอันดับที่ 2 คือ เนย์มาร์ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี และอันดับที่ 3 คือ คริสเตียโน โรนัลโด 64 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี

นอกจากนี้ 'เมสซี' ยังมีรายรับจากสปอนเซอร์และเงินค่าลิขสิทธิ์ส่วนตัวก้อนโตๆ ด้วย โดยนิตยสาร Forbes รายงานว่า ปัจจุบัน 'เมสซี' ได้รับเงินจากสปอนเซอร์หลักๆ ประกอบด้วย อาดิดาส (Adidas), เกเตอเรด (Gatorade), หัวเว่ย (Huawei), มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) และเป๊ปซี่ (Pepsi) ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ที่ 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี ส่วนรายรับจากค่าลิขสิทธิ์ส่วนตัวนั้น นิตยสาร Forbes รายงานว่า เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา 'เมสซี' ทำเงินจากจุดนี้ได้มากมายถึง 127 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เดี๋ยวๆ ยังไม่หมด ยอดนักเตะอัจฉริยะชาวอาร์เจนตินายังมีสื่อโซเชียลมีเดียที่ทรงพลัง และสามารถทำเงินก้อนมหาศาลได้อยู่ในมือด้วย โดยปัจจุบัน 'เมสซี' มียอดผู้ติดตามใน IG อยู่ที่ 125 ล้าน Followers ส่วน Facebook อยู่ที่ 90 ล้าน Subscribe ส่วน ทวิตเตอร์ เจ้าตัวยังไม่มี Account อย่างเป็นทางการ

ปัจจุบันมีกี่ทีมที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับสตาร์วัย 33 ปี?

ค่าเหนื่อยก้อนอภิมหาศาลกับนักเตะวัย 33 ปี ซึ่งถือว่าเข้าสู่เกือบๆ บั้นปลายของอาชีพการค้าแข้ง หากไม่ใช่สโมสรเงินถุงเงินถัง (ของจริง) ซึ่งปัจจุบันคงเหลือไม่กี่ทีม เนื่องจากพิษ Covid-19 ได้ทำลายรายรับก้อนมหาศาลของแต่ละทีมไปมากพอดู ทำให้น่าจะเหลือสโมสรตัวเลือกที่ "คิดกล้าลงทุน" ครั้งใหญ่นี้เพียงไม่กี่ทีม

ทำให้ปัจจุบัน น่าจะเหลือสโมสรที่ตกเป็นข่าวว่าให้ความสนใจอย่างจริงจังกับการดึง 'พระเจ้า' ไปร่วมงานด้วยเพียง 3 สโมสร ประกอบด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และอินเตอร์ มิลาน

แล้วจากทั้ง 3 ทีมนี้ ทีมใดมีโอกาสมากที่สุด?

อันดับที่ 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

สโมสรเรือใบสีฟ้า คือ สโมสรที่มีความลงตัวมากที่สุดแล้ว หาก 'เมสซี' คิดจะย้ายทีมขึ้นมาจริงๆ นั่นเป็นเพราะปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือ ทีมชั้นนำของโลกที่มีศักยภาพสูงมากพอ สำหรับการไล่ล่าคว้าโทรฟีมาประดับเกียรติยศส่วนตัวให้กับ 'เมสซี' ได้เพิ่มอีก

มันจะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อทีมนี้มีขุมกำลังนักเตะระดับท็อปของโลกอย่าง เควิน เดอบรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิง, ริยาด มาห์เรซ และเซร์คิโอ กุน อเกวโร ซึ่งหาก 'เมสซี' ย้ายมาร่วมหอลงโรงกับซิตี้จริงๆ ความฝันเรื่องการคว้าโทรฟีแชมเปียนส์ลีกของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ไม่น่าจะเป็นเพียงความฝันอีกต่อไป

เพื่อนพ้องผู้ใกล้ชิดที่จะทำให้ 'แมนเชสเตอร์ ซิตี้' เป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2

หากไม่นับ เซร์คิโอ กุน อเกวโร เพื่อนซี้ร่วมชาติแล้ว ซิตี้ยังมี เฟร์รัน โซเรียโน (Ferran Soriano) และซิกิ เบกิริสไตน์ (Txiki Begiristain) อดีตเพื่อนร่วมทีมบาร์เซโลนา อยู่ในคณะทำงานสโมสรด้วย ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ สโมสรแห่งนี้อยู่ภายใต้การคุมทีมของสุดยอดกุนซือที่สืบสายเลือดทุกหยดมาจากศูนย์ฝึกลามาเซีย อย่าง โจเซฟ กวาร์ดิโอลา ผู้ที่ให้ความเชื่อถือความมหัศจรรย์ในตัว 'เมสซี' อย่างล้นเหลือมาตั้งแต่วัยเยาว์ ด้วยเหตุนี้นอกจากบาร์ซาแล้วซิตี้จึงน่าจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังที่ 2 ที่แสนอบอุ่นสำหรับ 'เมสซี' ได้เลย นั่นหมายรวมถึงแท็กติกในการเล่น ซึ่ง 'เมสซี' แทบจะไม่น่าต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากนักด้วย เพราะปัจจุบัน ภายใต้การคุมทีมของเป๊ป ซิตี้ก็เล่นไม่ต่างจากบาร์ซาอยู่แล้ว

กำลังทุนทรัพย์

นับตั้งแต่ ชีค มานซูร์ เข้ามาซื้อทีมตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2008 ซิตี้ใช้เงินทุ่มซื้อนักเตะไปแล้วรวม 1,421 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อบวกกับมูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวที่มีมากมายถึง 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามรายงานของนิตยสาร Forbes คงไม่จำเป็นต้องตอบแล้วมั้งว่า 'แมนเชสเตอร์ ซิตี้' มีเงินถุงเงินถังพอสำหรับ 'เมสซี' หรือไม่?

ข้อมูลผลประกอบการของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ปี 2019 (อ้างอิงจากนิตยสาร Forbes)

มูลค่าทีมในปัจจุบัน 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

รายได้ 678 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากการแข่งขัน 290 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากการถ่ายทอดสด 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากสปอนเซอร์ สินค้าที่ระลึก และอื่นๆ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กำไร 168 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ค่าเฉลี่ยค่าจ้างนักเตะต่อคน (เฉพาะนักเตะชุดใหญ่ 23 คน) อยู่ที่ 8,734,375 เหรียญสหรัฐฯ

อันดับที่ 2 ปารีส แซงต์ แชร์กแมง

การมีสหายผู้ใกล้ชิดอย่าง 'เนย์มาร์' อยู่ในทีม อาจจะทำให้ 'เมสซี' ให้ความสนใจกับทีมมหาเศรษฐีแห่งปารีสอยู่พอสมควร อีกทั้งการเป็นศูนย์รวมของซุป'ตาร์นักเตะระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มาร์โก แวร์รัตติ, จูเลียน แดร็กซ์เลอร์, คิเลียน เอ็มบัปเป และเพื่อนร่วมชาติอย่าง อังเคล ดิ มาเรีย ฉะนั้นการใฝ่หาความสำเร็จจึงไม่น่าจะใช่เรื่องยาก เช่นเดียวกับการย้ายไปเล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้

กำลังทุนทรัพย์

เป็นที่ทราบกันดีว่า พลานุภาพทางการเงินของ 'เปแอสเช' ไม่เป็นสองรองใครในโลกใบนี้ หลังได้ 'นาสเซอร์ อัล เคไลฟี' ประธานกลุ่มทุน Qatar Sports Investments หรือ QSI เข้ามาซื้อสโมสรตั้งแต่ปี 2011 และหากนับการใช้เงินทุ่มซื้อนักเตะ โดยเปรียบเทียบกับ 'แมนเชสเตอร์ ซิตี้' ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมานั้น 'เปแอสเช' ใช้เงินไปแล้วทั้งสิ้น 913 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในจำนวนนี้เป็นค่าตัวของ คิเลียน เอ็มบัปเป 158 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอีก 248 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับเนย์มาร์ เพียง 2 คน! และเมื่อบวกกับมูลค่าทรัพย์สินของเจ้าของทีมที่มีมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ฉะนั้น มหาอำนาจแห่งปารีสทีมนี้จึงไม่มีปัญหากับการจ่ายเงินค่าเหนื่อยก้อนโตให้กับ 'เมสซี' เช่นเดียวกัน

สำหรับข้อมูลผลประกอบการของสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ปี 2019 (อ้างอิงจากนิตยสาร Forbes)

มูลค่าทีมในปัจจุบัน 1,092 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

รายได้ 646 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากการแข่งขัน 194 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากการถ่ายทอดสด 247 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากสปอนเซอร์ สินค้าที่ระลึก และอื่นๆ 505 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กำไร 53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ค่าเฉลี่ยค่าจ้างนักเตะต่อคน (เฉพาะนักเตะชุดใหญ่ 23 คน) อยู่ที่ 8,934,220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อันดับที่ 3 อินเตอร์ มิลาน

มีรายงานว่า 'สตีเวน จาง' (Steven Zhang) ประธานสโมสรหนุ่มไฟแรงของ 'เนรัซซูรี' ทายาทกลุ่มทุน Suning Holdings ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 10,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เคยเอ่ยปากว่า 'เมสซี' คือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญสำหรับการพลิกฟื้นพลพรรคงูใหญ่จากใต้ร่มเงาของ 'ยูเวนตุส' ที่ผูกขาดแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มายาวถึง 9 ฤดูกาลติดต่อกัน

นอกจากนี้ หลังดาวเตะอาร์เจนไตน์ประกาศว่า ต้องการไปจากบาร์ซา มีรายงานเล็ดลอดมาว่า พ่อของเมสซี ซึ่งรับหน้าที่ดูแลการเงินให้กับลูกชาย ได้เข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนหนึ่งในเมืองมิลานด้วย

และหากใครยังไม่ทราบ อินเตอร์ มิลาน เคยจัดอีเวนต์ซึ่งถูกตีความว่า แฝงไปด้วยนัยความปรารถนาในตัว 'เมสซี' มาแล้ว จากการฉายภาพเงาที่ดูแล้วคล้ายกับรูปร่างของเมสซีไปที่อาสนมหาวิหารดูโอโม (Duomo) แห่งเมืองมิลาน เพื่อโปรโมตการแข่งขันระหว่าง 'อินเตอร์' และ 'นาโปลี' ที่เล่นเอาเหล่าสาวกอาซูกรานาถึงกับโกรธจนตัวสั่นมาแล้ว

กำลังทุนทรัพย์

สำหรับข้อมูลผลประกอบการของ สโมสรอินเตอร์ มิลาน สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ปี 2019 (อ้างอิงจากนิตยสาร Forbes)

มูลค่าทีมในปัจจุบัน 672 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

รายได้ 335 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากการแข่งขัน 81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากการถ่ายทอดสด 224 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้จากสปอนเซอร์ สินค้าที่ระลึก และอื่นๆ 283 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กำไร 73 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ค่าเฉลี่ยค่าจ้างนักเตะต่อคน (เฉพาะนักเตะชุดใหญ่ 23 คน) อยู่ที่ 4,075,039 เหรียญสหรัฐฯ

THE DARK SIDE OF THE MESSI

ฉันคือผู้เล่นอันดับหนึ่งของทีม อีโก้ของพระเจ้าที่อาจเป็นปัญหา?

ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า 'เมสซี' คือ ผู้เล่นที่มีทักษะสุดมหัศจรรย์ ยืนยันได้จากสารพัดสถิติและคำยืนยันจากปากของยอดกุนซือแห่งยุคอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เรียกนักเตะร่างเล็กผู้นี้ว่า เขาไม่เหมือนนักเตะคนอื่นๆ เขาคือคนที่ต่างออกไป ด้วยเหตุนี้ อัจฉริยะชาวอาร์เจนไตน์จึงถือครองสถานะราชาที่อยู่เหนือราชาทั้งปวงในสนามคัมป์นูมาโดยตลอด ชนิดไม่มีใครกล้าหือ

สำหรับถิ่นคัมป์นู ซึ่ง 'เมสซี' ค้าแข้งมายาวนานถึง 16 ฤดูกาล เขาจึงถือเป็น "ขาใหญ่ผู้มากบารมีคับห้องแต่งตัว รวมจนถึงการเริงระบำบนฟลอร์หญ้าด้วย ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่ 'เขา' เรียกหา 'บอล' มันจะต้องถูกส่งมา ไม่ว่านักเตะที่กำลังเลี้ยงมันอยู่ จะเป็นใครก็ตาม!"

หากใครยังไม่ทราบ นักเตะคนใดที่หาญกล้าท้าทาย THE MESSI RULE ที่ว่านั้น จะถูกกำจัดออกจากถิ่นคัมป์นูทันที!

เช่นนั้นแล้ว เรามาลองนับเหยื่อของ THE MESSI RULE กัน

กันยายน ปี 2012 เมสซี แสดงอาการหงุดหงิดอย่างรุนแรงใส่ ดาบิด บียา ยอดกองหน้าทีมชาติสเปน ดาวซัลโวที่กำลังเจิดจรัส และเพิ่งย้ายมาสังกัดเจ้าบุญทุ่ม หลังบียาเปิดบอลให้เขาพลาด จนเสียโอกาสในการทำประตู การปะทะกันในครั้งนั้นกลายเป็นจุดตั้งต้นของความระหองระแหงที่นำไปสู่ความขัดแย้งจนถึงขั้นที่ทั้งคู่ไม่พูดกันอีกเลยในเวลาต่อมา และบียาก็อยู่ค้าแข้งกับบาร์ซาต่อไปได้อีกไม่นานด้วย โดยเหตุการณ์นี้หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า สาเหตุที่ 'เมสซี' หลุดได้ขนาดนั้น น่าจะเป็นเพราะกองหน้าทีมชาติสเปนไม่ค่อยส่งบอลให้กับเขา

อีกครั้ง มีรายงานข่าวซุบซิบจากสื่อสเปนว่า คริสเตียน เตโย กองหน้าดาวรุ่งที่เพิ่งย้ายมาบาร์ซา ถูก 'เมสซี' ดุในระหว่างการลงซ้อมว่า "แกยังใหม่สำหรับที่นี่ และแกยังไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้น ส่งบอลมาให้ฉัน เพราะอยู่ที่นี่แกต้องเล่นเพื่อฉัน"

และอีกครั้งเมื่อบาร์ซาทุ่มเงินถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อตัว 'อเล็กซิส ซานเชซ' ปีกทักษะสูงชาวชิลี มาร่วมทีมในปี 2011 มีรายงานข่าวซุบซิบอีกเช่นกันว่า 'เมสซี' พูดใส่หน้า 'ซานเชซ' ว่า "ดูดีๆ แล้ว แกไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นเลยสักนิด ฉันยังนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมแกถึงมีค่าตัวแพงได้ขนาดนี้"

แต่ที่พีคของพีคที่สุด คือ กรณีของ 'ซลาตัน อิบราฮิโมวิช' สุดยอดกองหน้าที่มั่นใจในฝีเท้าตัวเองอย่างล้นเหลือชนิดไม่เคยยอมเป็นสองรองใครหน้าไหนในโลก ยกเว้น 'โรนัลโด' (อ้วน) ที่ถือเป็นไอดอลนักเตะของเขาเอง

'ซลาตัน' แสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้า กับการที่ 'เป๊ป' (กุนซือบาร์ซาในเวลานั้น) ให้อาญาสิทธิ์เกมบุกแก่ 'เมสซี' แต่เพียงผู้เดียว และให้เขา ซึ่ง 'เป๊ป' นั่นแหละเป็นคนซื้อมาร่วมทีม ทำหน้าที่เป็นลูกหาบให้กับ 'เมสซี' โดยการให้เขาถ่างออกไปเล่นทางด้านข้าง เพื่อให้ 'เมสซี' หุบเข้ามาเล่นกลางสนามแทน ทั้งๆ ที่ 'อิบรา' ถือเป็นหน้าเป้าที่จบสกอร์ได้เลอเลิศ

โดยยอดกองหน้าชาวสวีเดนได้เขียนถึงเรื่องนี้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองว่า เขาพูดกับเป๊ปอย่างตรงไปตรงมาว่า "เมื่อคุณซื้อผมมา นั่นเท่ากับคุณกำลังซื้อรถเฟอร์รารี่ ฉะนั้นหากคุณคิดจะขับรถเฟอร์รารี่ คุณจะต้องใช้น้ำมันระดับพรีเมียมเติมให้กับมัน แต่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ คือ การเอาน้ำมันธรรมดาเติมรถเฟอร์รารี่ โดยที่หวังว่ามันจะวิ่งฉิวบนทางด่วน!"

หลังสิ้นคำพูดนั้น มันก็อย่างที่เรารู้กัน กองหน้าระดับโลกอย่างซลาตัน ถูกขายพ้นถิ่นคัมป์นูทันที!

นอกจากนี้ สำหรับคู่ปรับคู่แข่งบารมีในโลกฟุตบอล อย่าง 'คริสเตียโน โรนัลโด' แม้จะอยู่คนละทีม แต่ 'เมสซี' ก็ไม่มีทางยอมน้อยหน้า โดยเหตุการณ์ที่เป็นที่เลื่องลือถึงเรื่องนี้ก็คือ เมื่อครั้งที่ 'เมสซี' คว้าบัลลงดอร์ สมัยที่ 4 บาร์ซาได้เสนอสัญญา 5 ปี ซึ่งการันตีรายได้เอาไว้ที่ 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี ให้เจ้าตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013

แต่คล้อยหลังจาก 'เมสซี' จรดปากกาเซ็นสัญญาที่ว่านั้นได้ไม่นาน มีรายงานว่า 'คริสเตียโน โรนัลโด' ได้สัญญาจาก 'เรอัล มาดริด' ซึ่งการันตีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าเขาถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

'เมสซี' มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ทันที เขาจัดการยื่นคำขาดต่อ 'บาร์ซา' ให้เพิ่มค่าเหนื่อยให้ จนถึงขั้นเปิดศึกกับ 'ซาเวียร์ ฟาอุส' (Javier Faus) รองประธานสโมสร (ณ เวลานั้น) ที่ยืนกรานว่า "คำร้องขอดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี เราจะปรับปรุงสัญญาให้กับใครสักคน ทั้งๆ ที่เราเพิ่งทำมันไปเมื่อ 6 เดือนผ่านมาได้อย่างไร" หลังสิ้นคำนั้น 'เมสซี' เปิดหน้าออกสื่ออัดรองประธานบาร์ซาตรงๆ เลยว่า "เคยรู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลบ้าง?"

เมื่อเจอตอกหน้าแรง บวกเหล่าอาซูกรานาพาทัวร์ไปลงไม่กี่วันต่อมา 'ซาเวียร์ ฟาอุส' ถึงกับต้องมาทำหน้าเจื่อนๆ ขอขมาพระเจ้าผ่านสื่อว่า "เมสซีเป็นฝ่ายถูก ผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลยจริงๆ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย และเรา(บาร์ซา) กำลังเสนอสัญญาใหม่ให้กับเขาพิจารณา" และสัญญาฉบับใหม่ที่ว่านั้น มันมีรายได้ต่อปีสูงถึง 38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าโรนัลโดถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!

และอีกเหตุการณ์ที่ยืนยันถึงอีโก้อันล้นปรี่ของ 'เมสซี' ก็คือ เมื่อ 'หลุยส์ เอ็นริเก' อดีตกุนซือบาร์ซา กล่าวหา ยอดกองหน้าผู้นี้ในระหว่างการฝึกซ้อม ว่ากำลังทำตัวเป็นขาใหญ่มีอิทธิพลเหนือเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัว และจัดการจับเขานั่งเป็นตัวสำรองในศึกลาลีกา เพื่อหวังจะให้เข็ดหลาบ

แต่แล้ว...เอ็นริเกก็ต้องถอยกรูดแทบไม่ทัน เมื่อพระเจ้าเมสซีปฏิบัติการเชือดนิ่มๆ กุนซือของตัวเอง ด้วยการแกล้งทำทีไปกด Follow IG ของสโมสรเชลซี และเพื่อนรักอย่าง 'เชส ฟาเบรกัส' ที่เป็นสมาชิกของสิงห์บลู ณ เวลานั้น รวมถึง IG ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือเรื่องการย้ายทีมในปี 2015!

และล่าสุด เมื่อปี 2017 ในขณะที่สัญญาใกล้จะหมดลง การเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่ระหว่าง 'เมสซี' และ 'สโมสรบาร์เซโลนา' เต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังทั้ง 'เมสซี' และ 'หลุยส์ ซัวเรซ' ที่ใกล้จะหมดสัญญาด้วยเช่นกัน ได้ประสานเสียงพยายามเรียกร้องขอขยายสัญญาและค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก และเมื่อ 'ออสการ์ เกรา' (Oscar Grau) หนึ่งในบอร์ดบริหาร ออกมาตอบโต้ด้วยการใช้คำว่า "ทั้งคู่ควรใช้สามัญสำนึกและวิจารณญาณ"

แต่แล้ว สิ่งที่ได้รับการตอบโต้กลับมาจากซัวเรซ ซึ่งก็คงเป็นการพูดแทนใจของ 'เมสซี' ด้วยเช่นกันคือ "สิ่งที่เราต้องการคือ การขยายสัญญา ไม่ใช่การโชว์สามัญสำนึก"

คุณคงเดาออกแล้วใช่ไหมว่า บาร์ซาแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร?

ถูกต้อง! หลังจากนั้นอีกไม่นาน 'เมสซี' ได้รับสัญญาค่าเหนื่อย ที่ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลที่ทำเงินสูงที่สุดในโลกในที่สุด

ฉะนั้น หากท้ายที่สุดของเรื่องนี้ เกมพลิก 'เมสซี' ตัดสินใจอยู่กับ 'บาร์เซโลนา' ต่อไป มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่ไหม?

ผู้เขียน: นายฮกหลง
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: Pradit Phulsarikij

ข่าวน่าสนใจ: