end of a shameful cycle
จุดจบของวงจรที่น่าอับอาย
historical humiliation
ความอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหนึ่งในความพยายามของสื่อกีฬาทั่วโลกเพื่อหาคำจำกัดความให้กับ "ความหายนะ" ในค่ำคืนหนึ่งของยอดทีมฟุตบอลแห่งยุค ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องจนตัวแทบลอยว่า พวกเขาคือ "ทีมของมนุษย์ต่างดาว" ผู้ไร้เทียมทาน

แต่ไม่ว่าจะเป็นคำพาดหัวข่าวใดๆ ที่พยายามบอกเล่าถึงค่ำคืนแห่งความอดสูนั้น สุดท้าย มันจะแปลได้ความหมายเดียวว่า "Shame" ความน่าอับอาย!

เพราะมีไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่ทีมแห่งแคว้นคาตาโลเนียจะต้องแทบเอาปี๊บคลุมหัวเหมือนตอนนี้

การถูกทีมจากเยอรมนีอย่าง "บาเยิร์น มิวนิก" ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยร่ายเวทมนตร์เอาชนะในนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนลีกส์ ฤดูกาล 2014-2015 อย่างชนิดที่เรียกว่า ชั้นบอลต่างวรรณะ แต่แล้วทุกอย่างมันกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรในปี 2020

ไม่เชื่อคุณลองดูคลิปนี้

จากความเหนือชั้นที่นำไปสู่การทำ MEME ที่สุดโด่งดังในปีนั้น ตัดภาพกลับมาปัจจุบัน...8 ประตูต่อ 2 คือ จำนวนประตูบนสกอร์บอร์ดในสนามเอสตาดิโอ ดา ลุช ซึ่งถูกใช้เป็นสนามกลางในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้าย มันคือ ภาพแห่งความแตกต่างที่ช็อกหัวใจแฟนบอลบาร์ซาทั่วโลก

...

แต่โชคดีอยู่บ้างที่การแพร่ระบาดโรค Covid-19 ทำให้เหล่าอาซูลกรานาไม่ต้องมาทนเป็นประจักษ์พยานในฟอร์มการเล่นอันฟอนเฟะและไร้ซึ่งเกียรติยศของเหล่านักเตะยอดขวัญใจของพวกเขาในค่ำคืนนั้น

"เห็นได้ชัดเลยว่า 'บาเยิร์น มิวนิก' ฝึกซ้อมกันมาเป็นอย่างดี ทุกคนในทีมฟิตกันเต็มที่ ผิดกับเหล่านักเตะสูงวัยของบาร์ซาที่เอาแต่จะพึ่งพาความมหัศจรรย์ของ 'เมสซี' เพียงคนเดียว" แฟนบอลผู้ภักดีหล่นความเห็นถึงทีมรัก

สโมสรแห่งนี้กำลังเต็มไปด้วยความระส่ำระสายและปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความมืดมิดจากหายนะ ณ ค่ำคืนวันนั้น

THE CLUB NEEDS CHANGE

ใช่! ถึงเวลาแล้วที่ทีมบาร์เซโลนา "ต้องเปลี่ยนแปลง" เพราะทีมนี้ต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น หากต่ำกว่านั้น คือ 'ล้มเหลว' และมหาชนชาวคาตาลันไม่อาจยอมให้มันเกิดขึ้นได้

ฤดูกาลแห่งความล้มเหลว ว่างเปล่า และไร้ซึ่งเกียรติยศ

แพ้ 'บาเยิร์น มิวนิก' 2 ประตูต่อ 8 คาบ้าน ตกรอบแชมเปียนส์ลีก

ได้อันดับที่ 2 ศึกลาลีกา ตามหลังคู่อริตลอดกาล 'รีล มาดริด' ถึง 5 แต้ม

และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ไม่ได้ Trophies ใดๆ ติดมือเป็นรางวัลปลอบใจ แม้แต่ถ้วยเดียวในฤดูกาลนี้!

อะไรคือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความล้มเหลวอย่างชนิดหมดรูปนี้?

มรสุมปัญหาทางการเงิน

ใครจะเชื่อว่า สโมสรที่ถูกตั้งฉายาว่า "เจ้าบุญทุ่ม" ที่แต่ไหนแต่ไรขึ้นชื่อลือชาเรื่องหอบฟ่อนธนบัตรไปฟาดหัวเหล่าซุป'ตาร์จากทั่วทุกมุมโลก กำลังประสบปัญหาในเรื่องนี้

สิ่งที่สามารถยืนยันในประเด็นนี้ได้อย่างเด่นชัด คือ

โปรเจกต์ Espai Barça ความทะเยอทะยานในการรีโนเวตสนาม 'คัมป์ นู' และพื้นที่โดยรอบ ซึ่งมีรายงานว่า ต้องใช้เงินมากมายถึง 500-670 ล้านยูโร ซึ่งมีกำหนดว่าจะต้องเสร็จสิ้นภายในปีหน้า แต่จนถึง ณ ปัจจุบัน มันยังคงไร้สัญญาณว่าเมื่อไหร่จะเริ่มต้นนับหนึ่ง!

นั่นเป็นเพราะ 'บาร์ซา' สูญเสียรายได้ก้อนโตจากค่าบัตรเข้าชม และส่วนแบ่งการถ่ายทอดสดจากปัญหาการแพร่ระบาดโรค COVID-19 และเมื่อถูกผสมโรงเข้าไปจากตัวเลขการจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะที่สูงลิบลิ่ว สโมสรเจ้าบุญทุ่มจึงต้องเจอเข้ากับคำว่า "ปัญหา"

ค่าเหนื่อยนักเตะ 'บาร์ซา' ที่สูงล้นจนเว่อร์?

หากใครยังไม่รู้?

บาร์เซโลนา คือ สโมสรฟุตบอลที่จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะสูงที่สุดในโลก

ยืนยันได้โดยรายงานของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ 'ยูฟ่า' ยอดทีมยักษ์ใหญ่แห่งสเปนจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะในปีงบประมาณ 2018 มากมายถึง 529 ล้านยูโร! ทั้งๆ ที่ในปีงบประมาณ 2017 นั้น 'บาร์ซา' จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะรวมกันทั้งสิ้นเพียง 151 ล้านยูโรเท่านั้น ส่วนอันดับที่ 2 คือ สโมสร 'รีล มาดริด' คู่กัดตลอดกาลของบาร์ซา ที่หมดเงินไปกับค่าเหนื่อยนักเตะมากมายไม่แพ้กัน 431 ล้านยูโร!

...

ด้าน Global sports salaries survey รายงานว่า ฤดูกาล 2019-2020 จากจำนวนนักเตะทีมชุดใหญ่ 23 คน เมื่อนำไปคิดเป็นค่าเฉลี่ยเงินเดือนนักเตะต่อคนแล้วจะอยู่ที่ตัวเลขสูงถึง 10.3 ล้านยูโร!

ปัญหาด้านการเงินของ "เจ้าบุญทุ่ม" มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?

แม้ว่าตัวเลขค่าเหนื่อยนักกีฬาจากสารพัดทีมในเครือ ไม่ว่าจะเป็นทีมฟุตบอล บาสเกตบอล แฮนด์บอล และอื่นๆ มารวมกันแล้ว 'บาร์ซา' จะมีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเหนื่อยนักกีฬารวมกันทั้งสิ้นถึง 671 ล้านยูโร ซึ่งในจำนวนนี้แน่นอนมันถูกนำไปใช้กับนักเตะชุดใหญ่ของทีมฟุตบอลมากที่สุด (ข้อมูลจากบัญชีรายรับรายจ่ายสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2019 According to Barcelona's last accounts)

แต่เนื่องจากในปีนั้น 'บาร์ซา' มีรายรับกลับมาอย่างงดงามถึง 990 ล้านยูโร สารพัดโปรเจกต์แห่งความฝันจึงถูกผุดขึ้น ซึ่งแน่นอนทั้งหมดนั้น มันต้องแลกมาด้วยจำนวนเงินก้อนมหึมา แต่แล้วมันก็อย่างที่เรารู้ๆ กัน เรื่องที่ไม่คาดฝันอย่าง COVID-19 ทำให้ทุกอย่างมลายหายไปในอากาศ โดยเฉพาะรายได้ที่ควรจะได้ เพื่อนำมาปะค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลที่จ่ายออกไป

...

ทำให้ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สโมสรถึงกับต้องร้องขอให้นักเตะและเจ้าหน้าที่ทุกคนยอมลดเงินเดือนลงถึง 70% เพื่อฝ่าฟันวิกฤติที่กำลังเผชิญหน้าและอนาคตที่ไม่แน่นอนจากนี้เป็นต้นไป

เมื่อถูกร้องขอให้ได้เงินน้อยลง มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดานักเตะส่วนหนึ่งจึงอาจจะมี "ใจ" ที่ไม่เต็มร้อยนักเวลาที่ลงไปเตะบอลในสนาม

การใช้เงินทุ่มซื้อนักเตะที่เกินพอดี แถมสุดแสนจะล้มเหลว

อีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้ 'บาร์ซา' ต้องประสบปัญหาทางการเงิน คือ การใช้จ่ายเงินซื้อนักเตะ

หากใครยังไม่รู้?

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2013 จนถึง 2019 'บาร์เซโลนา' ใช้เงินสำหรับเรื่องนี้ไปแล้วถึง 840 ล้านยูโร!

เอาล่ะแม้จะได้เงินก้อนโตจากการขาย 'เนย์มาร์' ให้กับ 'ปารีส แซงต์ แชร์แมง' มาถึง 220 ล้านยูโร ในปี 2017 แต่เงินก้อนนั้นก็แทบจะหมดไปในทันทีกับดีลที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร อย่าง 'ฟิลิปเป คูตินโญ' จากลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัวถึง 145 ล้านยูโร!

นอกจากนี้ 'บาร์ซา' ยังหมดเงินก้อนใหญ่ไปกับ 'อุสมาน เดมเบเล' จาก 'โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์' ที่มีค่าตัวมหาศาลถึง 147 ล้านยูโร แต่สิ่งที่ได้รับการตอบแทน คือ ปัญหาอาการบาดเจ็บแบบเจ็บซ้ำเจ็บซ้อน จนทำให้นับตั้งแต่ย้ายทีมมา นักเตะผู้นี้เพิ่งลงเล่นให้กับสโมสรไปได้เพียง 74 นัด และเมื่อบวกกับอาการดังแล้วขี้เกียจซ้อม ทำให้ยอดปีกความเร็วจัดผู้นี้ถูกตีค่าว่า "ไม่คุ้มค่า" เช่นกัน

เดี๋ยวๆ ยังไม่หมด 'บาร์ซา' เซ็นเช็กอีก 120 ล้านยูโร กับ 'อองตวน กรีซมันน์' ยอดกองหน้าชาวฝรั่งเศสจาก 'แอตเลติโก มาดริด' ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้น 'คูตินโญ' คือ คำตอบ!

...

แต่เอาเถอะ! แต่กับอีก 71 ล้านยูโร กับ 'แฟรงกี เดอ ยอง' มิดฟิลด์หนุ่มสัญชาติดัตช์จาก 'อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม' ซึ่งถึงจะแพงอยู่ไม่น้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับอนาคตได้พอสมควร

ความขัดแย้งภายในที่กั้นขวางสมาธิของ 'ลิโอเนล เมสซี' ไปจากฟลอร์หญ้า

ท่ามกลางฤดูกาลอันสับสนของบาร์เซโลนา มันได้บังเกิดสิ่งที่แทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน จนทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามที่ว่า บางที...ฤดูกาลนี้ 'เมสซี' อาจไม่ได้มีสมาธิอยู่กับลูกฟุตบอลมากนัก...

ย้อนกลับเมื่อช่วงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กองหน้าอันดับหนึ่งของโลกผู้นี้ เปิดศึกปะฉะดะออกสื่อกับ 'เอริค อบิดัล' อดีตเพื่อนร่วมทีม ที่ปัจจุบันนั่งตำแหน่ง SPORTING DIRECTOR หลัง 'อบิดัล' กล่าวหาว่า นักเตะชุดใหญ่หลายคนเล่นล้มเก้าอี้ 'เอร์เนสโต บัลเบร์เด' (Ernesto Valverde) อดีตผู้จัดการทีม จนกระทั่งถูกไล่ออกจากตำแหน่ง

เหตุการณ์นี้รุนแรงถึงขนาด ทำให้ 'โจเซฟ มาเรีย บาร์โตเมว' ประธานสโมสร ต้องเรียกประชุมด่วน เพื่อให้ทั้งคู่มาเคลียร์ใจกันเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ความขัดแย้งจะลุกลามบานปลายออกไปใหญ่โต

จากนั้นกัปตันทีมชาติอาร์เจนตินายังได้ออกสื่อพูดถึงสโมสรอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ช่วงที่สโมสรพยายามเจรจาให้เหล่านักเตะภายในทีมยอมลดค่าเหนื่อยลงถึง 70% หลังสโมสรขาดรายได้อย่างหนักในช่วง COVID-19

ซึ่งการออกสื่อกล่าวพาดพิงสโมสรออกสู่สาธารณะอย่างเปิดเผยเช่นนี้ สำหรับ 'เมสซี' ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น "น้อยครั้งมาก" ตลอด 15 ปี ในถิ่น 'คัมป์ นู' ของสุดยอดนักเตะผู้นี้

และผลของการที่มีผู้บังอาจทำให้พระเจ้าของชาวคาตาลันไม่พอใจ มนุษย์ผู้นั้นย่อมถือเป็นศัตรูของชาวอาซูลกรานาไปด้วย "ผ้าเช็ดหน้าสีขาว" สัญลักษณ์แสดงความไม่พอใจ ถูกโบกสะบัดรอบสนามคัมป์นูทันที เพื่อต่อต้าน 'อบิดัล' พร้อมๆ กับเสียงตะโกนให้ 'บาร์โตเมว' ลาออก! จากข้อกล่าวหาที่ว่า ได้ว่าจ้างบริษัททำสื่อโซเชียลมีเดียโจมตีนักเตะของตัวเอง จากประเด็นที่ 'อบิดัล' เป็นผู้จุดขึ้น

และแน่นอนผลสืบเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เมื่อถูกนำไปผสมกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในฤดูกาลนี้ จะมีผลต่อการเลือกตั้งประธานสโมสรที่จะมีขึ้นในปี 2021 ซึ่งแน่นอน... หาก 'บาร์โตเมว' ไม่สามารถทำให้ 'บาร์ซา' กลับคืนสู่ความเป็นมหาอำนาจได้ในฤดูกาลหน้า รวมถึงไม่สามารถทำให้ 'เมสซี' กลับมาพึงพอใจได้อีกครั้ง

"ทางสองแพร่ง" เพื่อการฟื้นฟูสำหรับอนาคต บางที 'ลามาเซีย' อาจคือคำตอบที่ว่านั้น

ไม่มีสโมสรใดในโลกอีกแล้วที่จะมีศักยภาพมากพอในการทั้งดึงดูดและปลุกปั้นอัจฉริยะนักเตะวัยเยาว์ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับศูนย์ฝึก 'ลามาเซีย' ของ 'บาร์เซโลนา' แต่หลังสิ้นสุดยุคของ 'ซาบี เฮอร์นันเดซ' และ 'อันเดรส อิเนียสตา' 2 นักเตะจาก ACADEMY ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมได้แล้ว เด็กจากลามาเซียแทบไม่เคยได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างสม่ำเสมอและโดดเด่นได้อีกเลย เพราะผู้บริหารสโมสรแห่งนี้เอาแต่โฟกัสเรื่องการใช้เงินก้อนมหาศาล โกยนักเตะระดับท็อปของโลกมาใส่ทีมท่าเดียว

สิ่งที่น่าเป็นกังวลในเวลานี้ คือ 6 ใน 11 นักเตะตัวจริงของบาร์ซาอายุเกิน 30 ปีเข้าให้แล้ว มันจึงนำไปสู่เครื่องหมายคำถามสำคัญที่ว่า ทีมเจ้าบุญทุ่มแห่งนี้จะตัดสินใจเลือกทางเดินแบบไหนสำหรับก้าวต่อไปของสโมสร

จะใช้สูตรกลับคืนสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็วโดยการทุ่มเงินดึงสตาร์ราคาแพงต่อไป หรือเลือกทางเดินที่ช้าแต่ยั่งยืนกว่าอย่างการหยิบยื่นโอกาสให้เหล่า Wonder Kids ที่มีอยู่แทบจะล้นศูนย์ฝึกลามาเซีย เหมือนเช่นที่ 'โจเซฟ เป๊ป กวาร์ดิโอลา' เคยทำให้เห็นมาแล้ว เมื่อชายผู้นี้ก้าวเท้ามารับหนึ่งในงานที่กดดันที่สุดในโลกเมื่อปี 2008

และสิ่งที่ 'เป๊ป' บันดาลให้กับเหล่าผู้คนแห่งแคว้นคาตาลัน คือ...

14 Trophies ใน 4 ฤดูกาล! ยุคสมัยแห่งความเรืองรองที่สุดยุคหนึ่งของ 'บาร์เซโลนา' ภายใต้อุ้งเท้าของ 'ลิโอเนล เมสซี', 'เซร์คิโอ บุสเกตส์', 'ซาบี เฮอร์นันเดซ', 'อันเดรส อิเนียสตา' และ 'เคราร์ด ปิเก้' เหล่านักเตะที่ถูกทำคลอดมาจาก 'ลามาเซีย' อย่างแท้จริง

แต่แล้วหลัง 'เป๊ป' ก้าวลงจากตำแหน่ง 8 ปีที่ผ่านพ้นไป 'บาร์ซา' ผลิตแชมป์ได้ยอดรวมเพียง 15 แชมป์เท่านั้น นี่คือความแตกต่างที่เด่นชัดเสียเหลือเกิน!

More than a Club!

ทวงหาจิตวิญญาณที่หายสาบสูญ "บาร์เซโลนาเป็นมากกว่าสโมสรฟุตบอล"

ย้อนกลับไปในปี 2012 หลัง 'เป๊ป' ประกาศวางมือ ตำนานกุนซือขวัญใจอาซูลกรานาผู้นี้ถูกแทนที่ด้วย 'ติโต บิลาโนบา' (Tito Vilanova) ตอนนั้น 11 นักเตะตัวจริงของบาร์ซาส่วนใหญ่ยังคงเป็นเหล่านักเตะที่ผ่านการฝึกฝนปรัชญา 'ติกี ตาก้า' จากลามาเซียมาอย่างขึ้นใจ จนแทบจะแทรกซึมเข้าไปใน DNA

แต่แล้วคล้อยหลังไปเพียง 8 ปี ผลผลิต WONDER KIDS จาก 'ลามาเซีย' แทบไม่เคยได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่อีกเลย คนเดียวที่สามารถโผล่พ้นน้ำขึ้นมาในช่วง 8 ปีนี้ มีเพียง 'เซร์จิ โรแบร์โต' แบ็กจอมบุกเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆ

หลังเป๊ปวางมือ กุนซือที่มาทำหน้าที่ต่อจากเขาล้วนแล้วแต่คิดเพียงทำอย่างไรให้ทีมชนะเท่านั้น ในขณะที่ บอร์ดบริหารเองก็ไม่ได้รู้สึกไยดีอะไรกับเด็กๆ ในศูนย์ฝึกลามาเซียเอาเสียเลย เพราะเหตุนี้ มันจึงเป็นคำตอบที่ว่า เหตุใดจิตวิญญาณแห่งอาซูลกรานาจึงหายสาบสูญไปจากสโมสรแห่งนี้เสียแล้ว

'บาร์ซา' กำลังสูญเสียตัวตนและจิตวิญญาณไปจากปรัชญาที่ทำให้พวกเขาเป็นผู้ชนะเสมอมา ที่ว่า...

"บาร์เซโลนาเป็นมากกว่าสโมสรฟุตบอล"

เมื่อผู้บริหารเอาแต่หว่านเงินก้อนใหญ่ไปกับการเซ็นสัญญาซื้อนักเตะ BIG NAME โดยเพิกเฉยต่อคำมั่นสัญญาที่มีต่อเหล่า WONDER KIDS ในลามาเซีย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จึงค่อยๆ ตีจากทีมไปทีละคนสองคน

'เชส ฟาเบรกัส' โดน 'อาแซน เวนเกอร์' ฉกไป 'อาร์เซนอล' ตอนอายุเพียง 16 กรณีนี้อาจจะเก่าไป งั้นในปัจจุบันล่ะ?

'เอริค การ์เซีย' แบ็กจอมทักษะ ย้ายไปร่วมงานกับเป๊ปที่ 'แมนเชสเตอร์ ซิตี้'

'ซาบี ซิมมอนส์' อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามที่ชาวโลกกำลังจับตา ย้ายไป 'ปารีส แซงต์ แชร์แมง'

'มาร์ค ฆูราโด' อีกหนึ่งแบ็กอนาคตไกล ย้ายไปอยู่กับ 'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด'

ทั้งๆ ที่เด็ก 3 คนนี้ คือ นักเตะแถวหน้าของ 'ลามาเซีย' ที่ 'บาร์ซา' ควรจะเอาไว้ใช้งานเพื่ออนาคตแท้ๆ

การค้นหา 'เมสซี อิเนียสตา' และ 'ซาบี' คนต่อไป

แน่นอนในเมื่อคุณคือ WONDER KIDS แห่งลามาเซีย มันย่อมหลีกหนีไม่พ้นแรงกดดันที่ว่า คุณกำลังจะเป็น 'เมสซี' คนต่อไป 'ซาบี' คนต่อไป หรือ 'อิเนียสตา' คนต่อไป ฉะนั้น ในท่ามกลางของแท้ทำเหมือน มันย่อมมีของจริงที่รอวันเจิดจรัสอยู่ แต่แน่นอนมันย่อมคาดหวังถึงขนาดว่า ในทุกๆ ปี หรือภายใน 5 ปี จะมีนักเตะจาก 'ลามาเซีย' เล่นในทีมชุดใหญ่ 4 คนได้

เพราะนักเตะที่ทำได้ในระดับเหนือมนุษย์อย่าง 'ซาบี' หรือ 'อิเนียสตา' มันไม่ใช่ว่าจะค้นหาได้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยที่สุด สโมสรควรเริ่มต้นกระบวนการนี้อย่างจริงจังได้แล้ว เพราะทุกครั้งที่ลงมือทำ 'บาร์ซา' มักจะสามารถเฟ้นหาคนอย่าง 'ซาบี', 'อิเนียสตา' หรือแม้กระทั่ง 'เมสซี' ได้เสมอ

แต่องค์ประกอบสำคัญที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นนี้ได้ มันต้องมีทั้งความอดทน ความเชื่อมั่น เอาจริงเอาจัง การให้โอกาส รวมถึงโชคอีกเล็กน้อย เพื่อบ่มเพาะ WONDER KIDS เหล่านั้น

อย่างไรก็ดี กระบวนการเฟ้นหา "คนที่ใช่" คนต่อไป ควรจะต้องเริ่มนับหนึ่งอย่างจริงจังได้แล้ว เนื่องจากปัจจุบัน 'เมสซี' ได้เข้าสู่ช่วงท้ายๆ ของอาชีพการค้าแข้ง อีกทั้งกำลังเกิดเสียงเลื่องลือที่น่าหนักใจขึ้นว่า บางทีมนุษย์อัจฉริยะผู้นี้อาจจะขอโบกมือลาจากกลิ่นสาบเสื้ออาซูลกรานา เพื่อไปหาความท้าทายใหม่ๆ

และก็อย่างที่ เราๆ ท่านๆ ทราบกัน คนที่จะมาแทนที่ชายผู้นี้ได้ บางทีอาจต้องใช้เวลานานนับ 10 ปี ก็เป็นได้!

นายฮกหลง
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

END CREDIT

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลังหายนะ 8-2 ของ 'บาร์เซโลนา'

นี่คือ ประสบการณ์ความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับที่สุดของ 'ลิโอเนล เมสซี' นับตั้งแต่พาทีมชาติอาร์เจนตินา พ่ายให้กับทีมชาติโบลิเวียในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกเมื่อปี 2009

ก่อนหน้าความพ่ายแพ้ที่น่าอดสูนี้ 'บาร์ซา' เคยมีประสบการณ์ถูกยิงตาข่ายกระจุยที่ใกล้เคียงนัดนี้มาแล้วถึง 4 ครั้ง

ปี 1931 แพ้ แอตเลติก บิลเบา 12-1
ปี 1940 แพ้ เซบีญา 11-1
ปี 1943 แพ้ รีล มาดริด 11-1
ปี 1946 แพ้ เซบีญา 8-0

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นอกจาก 'บาร์ซา' แล้ว มี 2 ทีมที่เคยผ่านประสบการณ์ถูก 'บาเยิร์น' ยิงกระจุย 8 ประตูมาก่อน

'ซังต์ เพาลี' ปี 2011 และ 'ฮัมบูร์ก' 3 ครั้ง ในปี 2013, 2015 และ 2017

และเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี สำหรับรอบรองชนะเลิศ ศึก UCL ที่ไม่มีทั้ง 'ลิโอเนล เมสซี' และ 'คริสเตียโน โรนัลโด'

ข่าวน่าสนใจ: