คดีคนหายมีเพิ่มขึ้นทุกวัน ในแต่ละปีมีคนหายออกจากบ้านจากหลายสาเหตุ อาทิ วิกลจริต สมัครใจหนีออกจากบ้าน และอื่นๆ แต่..มีคดีหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2562 ที่มีจุดเริ่มต้นเดียวกันคือ “คนหาย” ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งคือ คดีนี้ตำรวจกองปราบปรามกลับรับทำคดี เนื่องจากญาติที่อยู่ จ.พัทลุง เดินทางมาร้องเรียนด้วยตัวเอง...
นายอัชฌา หรือขิก หนูปทุม อายุ 38 ปี พื้นเพอยู่ ต.หารเทา อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ซึ่งไม่เคยขึ้นมากรุงเทพฯ เลยสักครั้ง แต่กลับตัดสินใจเดินทางขึ้นมาเมืองหลวงครั้งนี้ เนื่องจากมีคนชวนให้มาทำงานที่ร้านวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่ง ที่ตำบลท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ
กระทั่งวันที่ 6 มีนาคม 2562 เขาได้ขาดการติดต่อไปดื้อๆ ทั้งที่ปกติแล้วจะมีการติดต่อกับทางญาติ เพราะต้องส่งเงินเป็นค่าเลี้ยงดูให้กับลูกชาย
คำสัญญาที่ให้ไว้อย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีทางผิดนัด” ในการโอนเงินให้ เพราะลูกชายกำลังรอปัจจัยในการใช้ชีวิต แต่แล้วเขากลับผิดสัญญาแบบน่าสงสัย
ด้วยความแปลกใจของญาติๆ จึงให้คนขึ้นมาดูว่า นายอัชฌา หรือ “นายขิก” หายไปไหน จึงได้ไต่ถามกับญาติอีกคนที่เดินทางมาทำงานพร้อมกัน คือชายที่ชื่อ นายอรรถพล หรือนาย คงนวลใย อายุ 22 ปี
ในเวลาเดียวกัน ทางญาติก็ต้องพึ่งไสยศาสตร์ กลับได้รับคำตอบที่บอกว่า “นายขิก” ไม่อยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับทางญาติพี่น้องอีกคนกลับฝันเห็นว่า “ไปงานศพนายขิก คนในงานศพบอกว่า “เจอศพนายขิกถูกยัดใส่ท่อ ฝังไว้ใกล้ๆ คลอง!”
...
ด้วยความร้อนเนื้อร้อนใจ ญาติจึงเดินทางมาถึงร้านวัสดุก่อสร้าง ที่นายขิกทำงานอยู่ กลับได้รับคำตอบแบบน่าสงสัย และไม่ให้ความร่วมมืออะไรเลย...
หาย...กลายเป็นศพ ฆาตกรในร้านวัสดุก่อสร้าง
พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผู้กำกับ 1 กองบังคับการปราบปราม (ผกก.1 บก.ป.) เล่าเบื้องหลังการทำงานในคดีนี้ว่า หลังจากนายขิกหายไปเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ต่อมา นายประยูน หรือจุ๊บ แก้วพยศ อายุ 47 ปี ผู้ดูแลร้านวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นพี่ชายของเจ้าของร้าน ได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สน.บางเขน ว่านายขิก หายตัวไป
โดยนายประยูน เล่าว่า ได้ชักชวนนายขิก และหลานชายนายขิก คือ นายอรรถพล หรือ “นาย” มาทำงานด้วยกัน
จากนั้น นายขิก ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย...
สิ่งที่ตำรวจทำคือ ตรวจหาหลักฐานต่างๆ ที่น่าแปลกใจคือ เมื่อมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในร้าน พบตัวกล้องที่ถ่ายอยู่ แต่นายประยูน ที่ทำหน้าที่ดูแลร้าน กลับให้การว่า
“กล้องวงจรปิดที่ใช้เป็นเครื่องใหม่และใช้สำหรับดูเหตุการณ์สดเท่านั้น ไม่มีการบันทึกข้อมูลย้อนหลังไว้”
กล้องใหม่อะไร..ฝุ่นเขรอะขนาดนี้...ทีมสืบฯ ได้แต่คิดในใจ
แต่เมื่อไล่ไปตรวจสอบคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่เก็บภาพวงจรปิด ปรากฏว่า คอมพ์ยังร้องดัง “ติ๊ดๆๆ”
“เชื่อไหม..วันนั้นที่เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบดู คอมพิวเตอร์ มันส่งเสียงร้องดังมาก เรียกว่า ถ้าใครอยู่บริเวณนั้น ก็คงต้องรำคาญ...”
สิ่งที่ผิดสังเกตประเด็น “กล้องวงจรปิด” นี่แหละ คือสิ่งที่ค่อนข้างจะแจ่มชัด...ว่าที่นี่ อาจเป็น “ที่เกิดเหตุ”
ความมั่นใจนี้ทำให้โอกาสการมีชีวิตของ “นายขิก” ก็เลือนรางไปด้วย
...
ในระหว่างที่ตรวจสอบที่ร้านวัสดุก่อสร้าง มีอีกข้อพิรุธที่เจ้าหน้าที่ ตั้งข้อสังเกตคือ มีชายคนหนึ่งได้เดินตามสอดส่องการทำงานของตำรวจตลอดเวลา และเมื่อตำรวจถามกับคนงานในร้าน กลับไม่ได้รับความร่วมมือ
เมื่อสืบหาในร้านไม่ได้ ตำรวจก็ต้องหาพยานหลักฐานในทางอื่น..นั่นก็คือ “คนใกล้ชิด”
ตำรวจสืบรู้ว่า “นายขิก” กำลังคบหากับผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 22 ปี หรือ “น้องอ้อย” (นามสมมติ) ซึ่งได้เช่าห้องที่แมนชั่น ที่ห่างจากร้านวัสดุก่อสร้างไม่ไกลนัก
เมื่อตำรวจไปพบ “น้องอ้อย” เธอให้ข้อมูลว่า เดิมทีเธอก็เป็นพนักงานในร้านวัสดุก่อสร้างร้านนี้แหละ..เธอเข้ามาทำงานตั้งแต่ปี 2561
ด้วยที่ความเป็นคนหน้าตาดี ผู้หญิงคนเดียวในร้าน ทำให้หนุ่มๆ หลายคนหมายปอง แซว หยอกล้อ ต่อมา เธอจึงได้คบหากับ นายประยูน ที่เปรียบเสมือนเจ้าของร้าน (พี่ชายเจ้าของร้าน)
หลังจากคบหากันได้เป็นปี ต่อมาเธอจึงทราบความจริงว่า นายประยูน มีเมียอยู่แล้ว และถูกยื่นคำขาดให้เลิกกัน
สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลง..
สิ่งที่พลิกผันคือ เมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลง “น้องอ้อย” ก็ได้มีคนคบหาดูใจใหม่ก็คือ “นายขิก” คนงานในร้านที่ทำหน้าที่ส่งข้าว ส่งน้ำให้กับเธอ ในช่วงเวลาที่คบหากับนายประยูน
ทีมสืบฯ แกะรอยจากหลักฐานกล้องวงจรปิด ไล่กล้องไปตามทาง
...
จึงได้เห็นภาพสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ หลังออกจากห้องพัก “น้องอ้อย” ในช่วงเช้าวันที่ 6 มี.ค. 62 นายขิก ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงาน ก่อนขับกลับมาที่ห้องอีกครั้ง เพื่อกินข้าวกับ “น้องอ้อย” ในช่วงพักเที่ยง
เมื่อออกจากห้องพักหลังกินข้าว..นั่นคือ ภาพสุดท้ายที่เห็น นายอัชฌา หรือ นายขิก
แต่...สิ่งที่ตำรวจทีมสืบดูฯ ตามแกะรอยไม่ได้จบลงแค่นั้น
ตำรวจไล่ดูกล้องวงจรปิดหลายๆ วัน จนกระทั่ง สะดุดกับภาพที่ถูกบันทึกในวันที่ 19 มีนาคม 2562
เมื่อเข้าตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันที่ 20 มีนาคม สิ่งที่ตำรวจเห็นคือ ตัวละครใหม่ นั่นคือ นายวิสิทธิ์ หรืออ๊อด เมฆสุด เพื่อนสนิท นายขิก
ภาพนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องแปลกใจ เมื่อ นายอ๊อด ซึ่งถือเป็นเพื่อนสนิทนายขิก ได้เข้าไปพักในห้องของน้องอ้อย และออกจากห้องในช่วง 06.28 น.ในวันถัดมา
งานจึงเข้านายอ๊อด..ตำรวจได้ขออนุมัติหมายค้นร้านวัสดุก่อสร้างอีกครั้ง พร้อมขอเชิญตัวนายอ๊อดมาสอบปากคำ ในวันที่ 26 มีนาคม
สิ่งที่เจอในตัวนายอ๊อด คือ โทรศัพท์ 3 เครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นของ “นายขิก”..?
...
นายอ๊อดเริ่มเปิดปาก รับว่า เขาได้ข่าวว่า “นายขิก” ได้เสียชีวิตแล้ว โดยเขาเล่าว่าได้ยินมาจาก “นายเก้า” (นามสมมติ) ซึ่งเป็นคนในร้านวัสดุก่อสร้างคนหนึ่ง ในหลายสิบปีก่อน “นายเก้า” เป็นคนติดเหล้ามาก แต่ต่อมาได้เลิกเด็ดขาด เรียกว่าไม่กลับมาแตะมันเลย แต่หลังผ่านวันที่ 6 มีนาคม “นายเก้า” กลับมาดื่มเหล้าอย่างหนักอีก พร้อมเปรยให้นายอ๊อดฟัง ประมาณว่า “นายขิก” จะไม่กลับมาแล้ว นายอ๊อด จึงมั่นใจว่า นายขิก อาจจะตายแล้ว
เมื่อตำรวจไปสอบถามพยานอย่างนายเก้า นายเก้า จึงยอมรับว่า “เห็นศพ” นายขิก ถูกยัดใส่ถัง 200 ลิตร ซึ่งมีอยู่มากมายภายในร้านและนอกร้านวัสดุก่อสร้าง
นายเก้า ถูกเรียกใช้งานในเช้าตรู่วันนั้น โดยถูกสั่งให้มา “ผสมปูน” ให้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร.. และเมื่อผสมปูนเสร็จ ปูนก็ถูกนำมาใช้ใส่ไว้ในถังขนาด 200 ลิตร
ในระหว่างช่วยขนถัง 200 ลิตร ออกมาขึ้นรถกระบะ ที่จะขนไปทิ้ง นายเก้า ได้เห็นอวัยวะบางส่วนของศพโผล่ออกมาจากถัง.. เขามั่นใจทันทีว่าศพนั้นคือ “นายขิก” เพราะจำรูปร่างได้..
นายเก้า..ยังให้การต่อไปว่า คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น นอกจากจะมีนายประยูน ผู้ดูแลร้านแล้ว ยังมี “นาย” ญาติวัย 20 ปี ของนายขิก ที่เดินทางขึ้นมาจากพัทลุงด้วย
ตำรวจรู้ว่า “นาย” อยู่ในเหตุการณ์วันที่ นายประยูน กับ นายอัชฌา หรือ นายขิก มีปากเสียงกัน เรื่องปมหึงหวง “น้องอ้อย” ต่อมา นายประยูน จึงได้ลงมือทำร้าย นายขิก จนเสียชีวิต ก่อนจะนำร่างใส่ลงในถังน้ำมัน 200 ลิตร และใช้ปูนโบกทับใส่ถัง
จากนั้น ได้ให้คนงาน รวมทั้ง “นาย” ช่วยขนขึ้นรถกระบะ นิสสัน รุ่นบิ๊กเอ็ม สีขาว ทะเบียน ยห 4773 กรุงเทพฯ ขนนำไปทิ้งบริเวณหนองน้ำ ซึ่งอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ริมถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ ซึ่งไม่ไกลจากร้านวัสดุก่อสร้างนัก ซึ่งที่ดินดังกล่าวก็เป็นของน้องชายนายประยูน
เมื่อรู้พิกัดแน่ชัด ตำรวจจึงออกหมายค้น เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว จากความรู้และประสบการณ์ของทีมสืบฯ กองปราบ เมื่อเข้าดูที่เกิดเหตุ ถึงแม้จะมีพื้นที่มาก แต่พอลงเดินๆ ดูก็ไปสะดุดบริเวณจุดหนึ่ง แค่ “มองปราดเดียว” ก็รู้ว่า ตรงนี้แหละ..ใช่
เพราะมี “ร่องรอย” ของโคลนที่เหมือนถูกขุดขึ้นมา จากนั้นจึงต้องไปเช่ารถแบ็กโฮมาขุด
ถึงตรงนี้ พ.ต.อ.ธงชัย เล่าให้ฟังว่า “ตอนแรกไปเช่ารถแบ็กโฮ คันเล็กมาขุด ขุดอยู่เป็นวันจนพระอาทิตย์ตกแล้ว ก็ยังไม่เจอ เพราะ “รถแบ็กโฮ” คันนี้ซึ่งเป็นคันไม่ใหญ่นักสู้ไม่ไหว.. กระทั่งไปเอารถแบ็กโฮมาอีกคัน คราวนี้เอาขนาดใหญ่ขึ้น มาขุด...
“เชื่อไหม เราขุดจนสุดแขนแบ็กโฮ ลึกสุดแขนแบ็กโฮ ถึงจะเจอ โดยเจอในสภาพที่ว่า รถแบ็กโฮ คันแรกที่ใช้ไม่สามารถขุดขึ้นได้ เพราะมีแรงไม่พอในการยกคอนกรีตก้อนใหญ่ๆ ที่ทับไว้ เรียกว่า ถ้าไม่มีคนชี้เป้าก็ไม่มีทางเจอ เพราะมันลึกไปมาก มีคอนกรีตหนักๆ ทับอีกมากมาย”
เมื่อเจอถังน้ำมันแล้ว เราก็ช่วยกันนำศพออกมา..โดยพบหลักฐานคือ บัตรประชาชนของนายอัชฌา เงินจำนวน 2,840 บาท กระเป๋าสะพายที่คาดอยู่ที่ตัวศพ
เมื่อชันสูตรพบว่า พบร่องรอยถูกทำร้ายหลายจุด โดยเฉพาะที่กะโหลก พบรอยคล้ายโดนของแข็งทุบจนกะโหลกแตก และที่กระดูกด้านหลัง แต่..จุดที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตอาจจะเป็นที่คอ มีร่องรอยการถูกรัด นอกจากนี้ ที่บริเวณแขน ยังพบว่ามีรอยหัก
แต่..รอยหักตรงนี้แตกต่างจากจุดอื่น เพราะไม่มีรอยช้ำ หรือเลือดไหล จึงคาดว่า เป็นการหักหลังเสียชีวิต โดยอาจจะมาจากขั้นตอนการยัดศพใส่ถัง...
ถึงแม้เหยื่อจะตายในวันที่ 6 แต่ผลการชันสูตร ตำรวจได้หลักฐานมากมาย เพราะความโชคดีที่ว่าศพยังไม่ย่อยสลาย
เมื่อได้หลักฐาน คำให้การทั้งหมด จึงได้มีการออกหมายจับ นายประยูน และนายอรรถพล หรือ “นาย” ซึ่งเป็นหลานของผู้ตาย ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยตั้งข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น และร่วมกันฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือสาเหตุแห่งการตาย”
ทั้งหมดนี้คือ เบื้องหลังการทำงานของตำรวจในการไล่ล่าตัวคนร้าย ที่ใช้ทักษะอาชีพในการก่อเหตุและซ่อนเร้นศพ จนสามารถจับกุมคนร้ายได้ และได้ส่งสำนวนให้อัยการ และอัยการได้ส่งฟ้อง
ในเวลาต่อมา ศาลชั้นต้น พิพากษาว่า... ให้จำคุกตลอดชีวิต นายประยูน หรือ จุ๊บ ข้อหาฆาตกรรม และจำคุกอีก 1 ปี ข้อหาซ่อนเร้นศพ ส่วนนายอรรถพล หรือ “นาย” ศาลยกฟ้องในข้อหา ฆาตกรรม สั่งจำคุกอีก 1 ปี ข้อหาซ่อนเร้นศพ
คดีนี้ถือว่า “ยังไม่สิ้นสุด” เพราะจำเลยทั้งสองยังคงยื่นอุทธรณ์ ส่วนจะจบลงอย่างไร ต้องรอวันพิพากษาต่อไป..
ผู้เขียน : อาสาม