จากบทบาท 'นายแบงก์' สู่ 'ขุนคลัง' ฝ่าด่านหินในยุค PANDEMIC ที่ "เศรษฐกิจไทย" ทรุดหนัก มีแนวโน้มหดตัว 8.5% เรียกว่าเข้าขั้น "เลวร้ายสุด" จนอาจเป็น "ภาวะตกต่ำที่สุด" ในบรรดาชาติอาเซียน การรับช่วงต่อ 'อุตตม' ของ 'ปรีดี ดาวฉาย' มีอะไรรออยู่...
เมื่อขุนพลเศรษฐกิจ 'สมคิด จาตุศรีพิทักษ์' อดีตรองนายกรัฐมนตรี จูงมือ "4 กุมาร" อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.), สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและอดีตเลขาธิการพรรค พปชร., สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาและอดีตรองหัวหน้าพรรค พปชร. และกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและอดีตกรรมการบริหารพรรค พปชร. ไขก๊อกอำลา ครม.ประยุทธ์ ก็ต้องหาคนมานั่งเก้าอี้แทน ที่คนๆ นั้น ก็ไม่พลิกโผ พลิกตัว ไปจากที่ "ข่าวลือ" และ "ข่าวเมาท์" เขาว่ากัน... 'ปรีดี ดาวฉาย'
...
การก้าวมาสู่ตำแหน่ง 'ขุนคลัง' ของ 'ปรีดี' ไร้เสียงวิพากษ์จากสังคม แต่กลับเป็นความกังวลที่สื่อต่างประเทศมองว่า อาจทำงานลำบากกว่าเดิม เพราะนี่เป็น...ขุนคลังคนนอก(สายการเมือง) ที่ไร้พรรคพวกคอยหนุน
'ปรีดี ดาวฉาย' ไม่ได้เป็นตัวแทนจากพรรคไหนในขั้วรัฐบาล แต่มาจาก "สายการเงินและธนาคาร" กับบทบาทนายแบงก์แห่งธนาคารกสิกรไทยและการนั่งเก้าอี้ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ด้วยภาพจำที่ไม่คุ้นเคย บางคนไม่คุ้นหน้า อาจทำให้หลายคนไม่รู้ว่า เขาก็เคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.), คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการนโยบายเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี-EEC)
ฉะนั้นแล้ว ก็ใช่ว่า 'ปรีดี' จะไม่เคยร่วมงานกับ "นายกฯประยุทธ์" เลย
"รมว.คลัง จะมาจากภายนอกก็ไม่เป็นไร หากบริหารตรงประเด็น รวดเร็ว และครอบคลุม ก็ได้คะแนนเพียงพอแล้ว"
เปิดบทวิเคราะห์ "ด่านหินขุนคลังปรีดี" กับ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อนายแบงก์ต้องเข้าสู่เส้นทาง "สายการเมือง"
แม้แต่คนในสายการเมืองเองก็ยอมรับว่า "การบริหารการคลังไม่ง่ายนัก" แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะฝ่าด่านหินไปไม่ได้ ในกรณีนี้ รศ.ดร.สมชาย มองว่าขึ้นอยู่กับ 2 เรื่อง คือ 1. รัฐบาลต้องป้องกันตัว หากเศรษฐกิจแย่ รัฐบาลก็ถูกกระทบด้วย แต่ถ้า รมว.คลัง สามารถบริหารให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างเห็นได้ชัด ทางการเมืองก็จะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลด้วย ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับ รมว.คลัง ว่าจะมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างไร
ข้อ 2. สำคัญมาก คือ รมว.คลัง เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีกลไกที่อาจมาจากรองนายกรัฐมนตรีหรือ "นายกฯประยุทธ์" เอง ที่จะขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ และการดูแลที่เป็นเอกภาพ ต้องเป็นความร่วมมือของรัฐมนตรีทั้งชุด เพื่อให้มาตรการต่างๆ อยู่ในทิศทางเดียวกัน
"ทีมสมคิดออกไป ไม่ได้หมายความว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ได้เป็นทีมเดียวกัน แต่การออกไปของทีมสมคิดเกี่ยวเนื่องกับการตั้งพรรค (พปชร.) ของเขา ที่บางคนมองว่า พรรคมาจากบารมีของ 'นายกฯประยุทธ์' เพราะอยู่ดีๆ คนๆ หนึ่งที่ชื่อ 'อุตตม' จะมาตั้งพรรคได้อย่างไร พอตั้งมาเรียบร้อยก็เป็นทางผ่าน เขาก็เรียกคืนเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ 'ทีมสมคิด' เป็นปัญหาการเมืองมากกว่าปัญหาเอกภาพ"
...
ปัญหาเศรษฐกิจไทย ณ เวลานี้ หากมองจาก 'จีดีพี' (GDP) ก็มีแนวโน้มติดลบประมาณ 8-10 ไม่หนักเท่ากับ 'วิกฤติต้มยำกุ้ง' ที่ระยะเวลา 2 ปี ติดลบประมาณ 12 แต่หากมองจากภาพกว้าง คราวนี้ "หนักที่สุดในประวัติศาสตร์"
การฝ่าฟัน "ด่านหิน" ของ "ขุนคลังปรีดี" และทีมเศรษฐกิจ ครม.ประยุทธ์ 2/2 จะต้องเจอกับอะไรบ้าง?
เปิดด่านแรก
ทีมเศรษฐกิจจะต้องมีทรัพยากร คือ "การเงินการคลัง" ที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเพียงพอในช่วงการป้องปรามไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 (COVID-19) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการล็อกดาวน์ทั่วไป ฉะนั้น ต้องเตรียมทรัพยากร
...
ด่านที่ 2
การใช้ "การเงินการคลัง" และมาตรการที่จะฟื้นตัวเศรษฐกิจช่วงปีนี้และปีหน้า (2564) เพราะครึ่งปีแรก เศรษฐกิจติดลบเกิน 10 แน่นอน และหลังจากนี้จะเกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญมาก คือ 1. การเริ่มชะลอการล็อกดาวน์ลง ซึ่งจะทำให้เห็นปัญหามากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ ธุรกิจค้าปลีกหรืออาหารยังคิดว่า ถ้ามีการชะลอล็อกดาวน์ก็คงจะเริ่มเปิดได้ ก็โอเค แต่เอาเข้าจริงๆ ในต่างประเทศเห็นชัดเลยว่า พอทันทีที่ธุรกิจค้าปลีกและอาหารเริ่มกลับมาเปิด ก็พบความจริงที่ว่า เจ๊งกว่า 10% และ 2. พวกที่ไม่เจ๊ง เมื่อเปิดแล้ว ปรากฏว่ามีคนเข้ามาเพียงแค่ 20-30% นี่จึงเป็นปัญหา ธุรกิจล้ม คนตกงาน โดยเฉพาะค้าปลีกรายย่อย
เพราะฉะนั้น ทีมเศรษฐกิจจะต้องใช้ทรัพยากรทางการเงินและยุทธศาสตร์ คือ 1. ผ่อนปรนหรือลดความลำบากของผู้ที่กำลังตกงานที่เพิ่มมากขึ้น กับบริษัท โดยเฉพาะ SMEs ต้องมีมาตรการในการเยียวยาช่วยเหลือ และ 2. มาตรการในการกระตุ้นที่เข้มแข็งและรวดเร็ว เพราะถ้าไม่เข็มแข็ง ธุรกิจจะค่อยๆ ล้มลง และหากไม่รวดเร็ว เกิดมีการเชื่องช้า ธุรกิจที่ทำท่าจะแย่ ถึงจุดหนึ่งก็ล้มได้
...
ด่านที่ 3
ต้องบริหารให้เกิด 'เอกภาพ' ต้องยอมรับว่า "ทีมเศรษฐกิจ" มาจากพรรคต่างๆ ที่มีความแตกต่างกัน ในกรณีนี้มาตรการที่มีประสิทธิภาพอย่างเดียวไม่พอ ต้องมี 'เอกภาพ' ด้วย เพราะทีมเศรษฐกิจจะต้องบริหารภายใต้แรงกดดัน ที่นอกจากการฟื้นเศรษฐกิจแล้ว ภารกิจของชุดเศรษฐกิจที่เข้ามาต้องพัฒนาประเทศจากปีนี้ ไปสู่ปีหน้า และปีต่อไป คือ พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขัน ที่ยังมีงบประมาณเก่าที่เหลือประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท, พ.ร.ก. วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท และงบประมาณปี 2564 ถ้าบริหารดีก็ช่วยประครองการฟื้นตัวได้ แต่การพัฒนาเศรษฐกิจให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันจะมีปัญหาแล้ว เพราะมีหนี้สาธารณะที่ขึ้นไปถึง 59% ของจีดีพี เพราะฉะนั้น ทีมเศรษฐกิจจะต้องมีความสามารถในการหางบประมาณหรือ "หาเงิน" ที่จะฟื้นเศรษฐกิจของไทยให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันได้
แต่เท่านี้ยังไม่พอ!!
ยังต้องมีการพัฒนายุทธศาสตร์ของไทยให้รองรับกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้วย
ตัวอย่างคือ ปัญหา Pandemic หรือการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่ไวรัสโคโรนา แต่คือ โรคติดต่อที่ทุกๆ 3-4 ปีจะกลับมา ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ต่างประเทศเห็นถึงความไม่เพียงพอของระบบสาธารณสุข ฉะนั้น มาตรการที่ต้องเตรียม คือ รองรับเรื่องของโรคติดต่อ
สำคัญอีกอันหนึ่ง จากนี้ไปจะมี "คนตกงาน" อีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่ตกงานจากไวรัสโคโรนา แต่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ๆ
ลองวาดภาพดู... เราทำได้แต่ระดับล่าง ตัวอย่าง "ไอที" ที่เราต้องนำเข้า ทั้งลาซาด้า ไลน์ ซูม หรือเกม ทุกอย่างเรานำเข้าหมด ต้องพัฒนาขีดความสามารถในการส่งออก ทุกวันนี้เรานำเข้าระดับกลางและสูง แต่ส่งออกระดับล่าง ขีดความสามารถเราลด
สุดท้าย จีนและสหรัฐอเมริกา รวมถึงทั่วโลก กำลังมีปัญหาปีนเกลียว ที่ไม่ใช่แค่สงครามการค้า แต่เป็น "สงครามเย็น" ที่ "กระทบทุกมิติ" นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจหลังไวรัสโคโรนายังมีปัญหาเรื่องการกีดกันทางการค้า การชะลอของเศรษฐกิจจีน และความขัดแย้งต่างๆ เหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง Supply Chain
ฉะนั้น นี่คือ สิ่งที่รัฐบาลต้องมีการเตรียมมาตรการกลุ่มสุดท้ายที่จะมารองรับการพัฒนาขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทย ที่จะเกี่ยวข้องกับการหาเงินให้เพียงพอ มาตรการร่วมมือกับภาคเอกชน ยุทธศาสตร์ที่จะส่งเสริมความเข้มแข็ง
อันนี้...ด่านหินที่ยากที่สุด สำหรับ "ทีมเศรษฐกิจ" และ "ขุนคลังปรีดี".
ผู้เขียน: เหมือนพระอาทิตย์