"TikTok มีระบบการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากจากผู้ใช้โดยอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคาม ที่จะทำให้ 'รัฐบาลจีน' สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลด้านการค้าของชาวอเมริกันได้ ด้วยเหตุนี้ 'รัฐบาลสหรัฐอเมริกา' จึงต้องมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติเรา"

คำประกาศอย่างแข็งกร้าว จากเจ้าของถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า "MAKE AMERICA GREAT AGAIN" มีขึ้นหลังท่านผู้นำของประเทศแห่งโลกประชาธิปไตยลงนามคำสั่งประธานาธิบดี แบน APPLICATION ที่กำลังสุด POP บนผืนแผ่นดินแห่งเสรีภาพ เป็นเวลา 45 วัน

โดยผลของคำสั่งประธานาธิบดีที่ว่านี้ จะทำให้ทั้ง TikTok ไม่สามารถ DOWNLOAD จาก STORE ต่างๆ ได้ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงช่วงประมาณกลางเดือนกันยายนเป็นอย่างน้อย

และหากบริษัทสัญชาติจีนอย่าง ByteDance ยังไม่สามารถจบดีล TikTok กับ (Microsoft) หรือบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ อื่นๆ ตามคำสั่งของท่านประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้ภายใต้เส้นตายดังกล่าว

...

TikTok จะถูกทำให้หายไปจากชีวิตของชาวอเมริกันตลอดกาล (หรือเปล่า?)

แต่...จะว่าไป เจ้า APP ที่ถูกท่านผู้นำประชาธิปไตย BAN นี้ มันก็ถูกสื่อทั่วโลก รวมถึงสื่อสัญชาติมะกันเองแท้ๆ มองตรงกันว่า มันมีระบบการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ไม่ได้แตกต่างไปจาก APP สัญชาติอเมริกันอื่นๆ อย่าง Facebook, WhatsApp, Instagram (ซึ่งก็อยู่ภายใต้ร่มธงของ Facebook อีกนั่นแหละ) เลยสักนิดเดียว

รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติมะกัน อย่าง Apple, Google, Microsoft, Twitter หรือ Amazon เอง ก็มีพฤติกรรมเก็บข้อมูล (อันที่จริงน่าจะเรียกว่าการบีบบังคับให้ยินยอมซะมากกว่า) จากผู้ใช้ทั่วโลกแบบไม่เลือกหน้าในลักษณะเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน!

แล้วเหตุไฉน ท่านผู้นำทรัมป์จึง Double Standard เช่นนี้กันล่ะ?

นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่มีการตั้งคำถามถึงคำสั่ง "แบน" ที่ว่านี้อย่างกว้างขวาง คือ...

เหตุไฉน ท่านผู้นำทรัมป์ถึงต้อง "เปิดหน้า" ใช้กลไกอำนาจประธานาธิบดีดังที่ว่า ในช่วงที่ บริษัท ByteDance กำลังเจรจาขาย TikTok (เฉพาะในสหรัฐอเมริกา) กับ Microsoft ที่ในตอนแรกว่ากันว่า MEGADEAL นี้ อาจจะมีมูลค่าสูงถึง 20,000-40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!

ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้มีรายงานว่า MEGADEAL นี้ ต้องชะงักลงชั่วคราว และทำให้ฝ่าย ByteDance ต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้ Microsoft กดราคาซื้อให้ต่ำลงๆ ได้ทุกที และล่าสุดยังมีรายงานด้วยว่า Microsoft ได้เริ่มต้นบีบ ByteDance จนหน้าเขียวหน้าเหลือง ด้วยการขยายการขอซื้อการให้บริการ TikTok จากเพียงแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกาไปสู่การให้บริการทั่วโลกแล้ว และแน่นอนดีลที่ว่านี้มันอาจมีราคาที่ "ต่ำกว่าที่คิดเอาไว้" อันเป็นผลมาจากคำสั่ง "แบน" ของท่านผู้นำที่ว่านั้น

อืม...กรณีนี้ หากเกิดขึ้นในประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง ท่านผู้นำอาจถูกตรวจสอบเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนก็ได้นะ OOPS!

ว่าแต่...หาก Microsoft ซื้อ TikTok ได้สำเร็จ ท่านผู้นำทรัมป์จะยังคงใช้มาตรฐานหรือชุดคำพูดเดิมอีกหรือไม่ว่า TikTok เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาวอเมริกัน จากการที่ "แอบ" จัดเก็บข้อมูลผู้ใช้เหมือนๆ กับที่บริษัทสัญชาติมะกันลงมือทำอย่างกว้างขวางในเวลานี้อยู่อีกหรือไม่? OOPS!

ซึ่งแน่นอน คำสั่ง "แบน" ดังกล่าว ทำให้ 'รัฐบาลปักกิ่ง' ออกมาตอบโต้ท่านผู้นำทรัมป์อย่างดุเดือดทันทีว่า 'วอชิงตัน' กำลังอ้างเรื่องความมั่นคง เพื่อเปิดทางไปสู่การใช้อำนาจรัฐกดขี่ธุรกิจที่ไม่ได้มีสัญชาติอเมริกัน

อ้าว...ก็ไหนเห็นใครๆ เขาก็ว่ากันไม่ใช่หรือว่า 'สหรัฐอเมริกา' เป็นแบบอย่างของการค้าเสรีเต็มรูปแบบ! รัฐบาลปักกิ่งเองก็คงอยากถามแบบนี้กลับไปดังๆ เป็นแน่แท้

มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาสื่อภายใต้การกำกับของรัฐบาลจีนจึงได้ประโคมข่าวเรียกการกระทำของ 'ท่านผู้นำทรัมป์' ในกรณีนี้ว่า...

...

ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเดินหน้าไปสู่การละเมิดข้อตกลงทางการค้า ข้อกฎหมาย ทั้งๆ ที่มักจะอวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศแห่งการค้าเสรีเต็มรูปแบบที่เปิดให้มีการแข่งขันกันอย่างยุติธรรม

ทั้งๆ ที่ปกติข้อกล่าวหานี้ มักจะเป็นนักการเมืองสหรัฐฯ ที่เป็นฝ่ายชี้นิ้วเลคเชอร์ประเทศอื่นๆ (ที่ไม่ยอมให้สหรัฐฯ เอาเปรียบฝ่ายเดียว) อยู่เป็นเนืองนิตย์ มิใช่หรือ!

เรียกว่า 'ปักกิ่ง' ถอนหงอกประเทศแห่งเสรีภาพอย่างชนิดไม่ยอมอ่อนข้อให้

ส่วน 'จาง อี้หมิง' (ZHANG YIMING) CEO ของ ByteDance มองกลยุทธ์ครั้งนี้ของผู้นำสหรัฐฯ เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า... เป้าหมายที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้คำสั่งดังกล่าวน่าจะเป็นความมุ่งหวังให้เกิดผลกระทบในวงกว้างสำหรับการเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปในสหรัฐฯ ของ TikTok ที่ปัจจุบันกลายเป็น SOCIAL NETWORK ที่กำลังเติบโตมากที่สุดในโลก (ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาประมาณ 100 ล้านคน) มากกว่าที่จะเป็นเพียงการบีบบังคับให้ยอมขายธุรกิจให้กับบริษัทสัญชาติมะกันอย่างที่ท่านผู้นำทรัมป์ประกาศปาวๆ

...

ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้ร่อนเอกสารชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยว่า เรารู้สึกช็อกกับคำสั่งดังกล่าว ซึ่งน่าจะถือเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกำลังกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อระบบการค้าโลก รวมถึงความน่าเชื่อถือของประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี เราจะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งรวมถึงในแง่มุมของกฎหมายด้วย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ 'ท่านผู้นำทรัมป์' กระทำลงไปหาใช่เกิดแรงกระเพื่อมเพียงเฉพาะ 'ปักกิ่ง' เท่านั้น เพราะภายในประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็มองการกระทำของ "ท่านผู้นำ" ไปในเชิงลบไม่ต่างกัน

โดยนักวิเคราะห์การเมืองในสหรัฐฯ มองว่า เกมการเมืองของผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ที่พยายามปักหมุดให้ 'ประเทศจีน' กลายเป็นผู้ร้ายในทุกๆ เรื่องตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีในทำเนียบขาว อาจจะกำลังถึงจุดพลิกผันที่ 'ท่านผู้นำทรัมป์' คาดไม่ถึงและอาจจะส่งผลต่อแผนกรุยทางสู่ทำเนียบขาวในเทอมที่ 2 ด้วย

นั่นเป็นเพราะความพยายามป้ายสีรัฐบาลปักกิ่งว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย จากการใช้กลไกของรัฐควบคุมและแทรกแซง เพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในโลกออนไลน์นั้น อาจจะถูกย้อนศรมาหาตัวเองจากสิ่งที่ 'ท่านผู้นำทรัมป์' กำลังทำกับ TikTok

เพราะในหลายๆ ประเทศที่สหรัฐฯ เคยกล่าวหาในประเด็นนี้ ร้ายที่สุดประชาชนอาจจะถูกจับกุม จากการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ แต่กับสิ่งที่ 'ท่านผู้นำทรัมป์' กำลังทำในเวลานี้ คือ การพูดถึงเรื่องการนำบาง APPLICATION ออกไปจากโลกอินเทอร์เน็ตของชาวอเมริกัน ซึ่งมันแทบจะไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่รัฐบาลจีนทำกับ SOCIAL NETWORK สัญชาติมะกัน อย่าง Facebook, Twitter และ Google ที่ถูก "แบน" ในประเทศจีน จากข้ออ้างเรื่องต้องการตรวจสอบและสกัดกั้นข้อมูลข่าวสารบางชนิดเลยสักนิดเดียว (จริงหรือ?)

...

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์การเมืองในสหรัฐฯ ยังมองว่า สิ่งที่ 'รัฐบาลสหรัฐฯ' ทำกับ TikTok ถือเป็นการสะท้อนความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ผ่านบริบทด้านแนวคิดและการทำงานในทำเนียบขาวของ 'ท่านผู้นำทรัมป์' ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาด้วย

เพราะหากลองสังเกตดีๆ ในระหว่างการบริหารประเทศของ 'ท่านผู้นำทรัมป์' นั้น สิ่งที่พบเห็นได้ตลอดเวลา คือ เรื่องต้องห้ามได้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงการทำงานของอัยการสูงสุดสหรัฐฯ ต่อการสืบสวนข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงตัวท่านผู้นำทรัมป์ ที่ปัจจุบันมักจะหายเข้ากลีบเมฆและกลายเป็นความเงียบงันไม่ต่างจากประเทศโลกที่ 3

และ...ที่สำคัญไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น บริษัท Microsoft หรือบริษัทไหนๆ ในสหรัฐอเมริกาก็ตาม ที่จะเข้าไปซื้อ TikTok จาก ByteDance กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ก็ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ (สหรัฐอเมริกา) ด้วยไม่ใช่หรือ?

อย่างไรก็ดี จากรายงานข่าวล่าสุดหาใช่เพียง Microsoft บริษัทเดียว ที่ให้ความสนใจจะซื้อ TikTok แล้วเท่านั้น เพราะ Google อีกหนึ่งยักษ์ไอทีของโลก ก็ถูกดึงเข้ามาเอี่ยวแล้วเช่นกัน โดยสำนักข่าวต่างประเทศได้ลองหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนรายงานข่าวที่ว่านั้นเอาไว้อย่างน่าสนใจ

งั้นเราลองไปทัศนากันดูว่า มันจะมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน?

ทำไม Google จึง (อาจจะ) ต้องเผชิญหน้ากับ Microsoft เพื่อซื้อ TikTok ด้วยมูลค่าที่อาจจะสูงถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เหตุผลที่ 1 ถามจริงๆ คุณรู้จัก Orkut หรือ Google+ กันบ้างไหม?

หากใครนึกไม่ออก ทั้ง 2 ชื่อในบรรทัดด้านบน คือ ความพยายามปั้น APP SOCIAL MEDIA ที่สุดจะล้มเหลวและลงเหวอย่างสุดหายนะ (แทบไม่น่าเชื่อ) ของ 1 ใน 4 เจ้าพ่อไอทีของโลกใบนี้ เห็นแบบนี้คุณรู้แล้วใช่ไหมว่า เพราะอะไร "อากู๋" ของชาวไทย จึง (อาจจะ) หมายตาไปที่ APP ขวัญใจเจน Z อย่าง TikTok

เหตุผลที่ 2 การเชื่อมโยงและขยายธุรกิจ

ในเมื่อ TikTok = คนหนุ่มสาว

มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปใช่ไหมล่ะ... ที่ TikTok จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ ECOSYSTEM ของ Google ที่มีทั้ง YouTube, Google Drive, Docs, Sheets, Chrome และจักรวาล Android ซึ่งเหล่าเจน Z รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ให้ยิ่งซึมลึกสู่วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้นไปอีก ขณะเดียวกัน TikTok ยังจะกลายเป็น "ไม้เท้าวิเศษ" สำหรับ Google ในการลงทำศึกกับ "คู่ขับเคี่ยว" ที่น่าหวาดหวั่น อย่าง Facebook ที่ถือครองความเป็นอันดับหนึ่ง APP SOCIAL MEDIA ของโลกมาอย่างยาวนาน จนแทบไร้คู่ต่อกรไปแล้ว ณ เวลานี้ (หรือเปล่า?)

ทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากว่า TikTok จะสามารถเข้ามาช่วยขยายการเติบโตในการทำธุรกิจ เมื่อพิจารณาจากกลุ่มผู้ใช้งานที่ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว นอกจากนี้ การที่กลุ่มผู้ใช้งาน TikTok ที่เริ่มขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ อาจทำให้ Google’s Cloud Business ที่ปัจจุบันมีผู้ยอมจ่ายเงินซื้อบริการเป็นตัวเลขสูงถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (สถิติปี 2019) ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่ TikTok จะช่วยขยายการทำธุรกิจของ Google ได้เป็นอย่างมาก คือ Video ads ที่ถือเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดของ Google โดยล่าสุดรายได้จากค่าโฆษณาใน YouTube พุ่งขึ้นถึง 36% ในช่วง 2 ปีหลังสุด ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เติบโตเร็วเป็น2 เท่า เมื่อเทียบกับรายได้จากธุรกิจ Google Search รวมถึงค่าโฆษณาจากธุรกิจอื่นๆ ในเครือ

เหตุผลที่ 3 Google รวยพอจะซื้อ TikTok

162,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คือ รายได้ในปี 2019 นอกจากนี้ Google ยังมีค่าเฉลี่ยการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 21% ในช่วง 3 ปีล่าสุด ทำให้มีการคาดการณ์ว่า หากยังสามารถประคับประคองค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตได้ในระดับ 15% จะทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมได้ถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย

แล้วหากจะตัดสินใจซื้อ TikTok ขึ้นมาจริงๆ Google จะต้องใช้เงินเท่าไร?

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า TikTok จะสามารถสร้างรายได้ถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2020 และในปี 2021 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เอาล่ะทีนี้ หากเราประเมินมูลค่ารวมของบริษัทในอนาคต Snapchat ได้รับการประเมินว่าจะมีมูลค่า 10 เท่าของประมาณการรายได้ในปี 2021 ในขณะที่ Facebook จะอยู่ที่อย่างน้อย 7 เท่าของประมาณการรายได้ในปี 2021

เช่นนั้นแล้ว TikTok ก็น่าจะถูกประเมินเอาไว้ที่อย่างน้อย 15 เท่าของประมาณการรายได้ในปี 2021 ดังนั้น TikTok จึงน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ! หากผู้ที่สนใจอยากจะลองเสนอราคาดู

เหตุผลที่ 4 DEAL ที่กำลังถูกตั้งคำถาม?

Microsoft กำลังอยู่ในขั้นตอนเจรจาต่อรองการซื้อ TikTok ผนวกเป็นกิจการของสหรัฐฯ ซึ่งกำหนดเส้นตายประเมินราคาวันที่ 15 กันยายน ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ช่วงราคาตั้งแต่ 20,000-40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ Microsoft จะแถลงยืนยันว่า MEGADEAL ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ในความเป็นจริงแล้วยังคงดูห่างไกลเกินกว่าที่ทั้งคู่จะได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาไม่มีการกำหนดบรรทัดฐานเกี่ยวกับการเข้าซื้อแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย ที่อาจแตกเป็นบริษัทอิสระขึ้นอยู่กับฐานตามภูมิประเทศ จนนำไปสู่ความยุ่งยากในการติดต่อทางธุรกิจของทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตาม นักข่าวรอยเตอร์สรายงานเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า TikTok ได้มีการประเมินยอดขายตามจริงของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงบริษัทสหรัฐอเมริกาด้วย หมายความได้ว่า โอกาสที่ TikTok จะเปิดรับข้อเสนอจาก Google ที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ทั่วโลกก็มีความเป็นไปได้อย่างมาก และจะเป็นการติดต่อธุรกิจอย่างเปิดเผย และหนึ่งในนั้นคือ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok

END CREDIT

FACEBOOK + TIKTOK = WAR

คุณรู้หรือไม่?...ก่อนที่ ByteDance กลืนกิน APP Musical.ly แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น TikTok เพื่อบุกเข้าสู่ตลาดอเมริกาจนประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง ในปี 2017 นั้น มีรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือได้จากหลายแหล่งยืนยันตรงกันว่า 'มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก' (MARK ZUCKERBERG) เจ้าพ่อ Facebook เคยมีความพยายามที่จะเข้าเจรจาเพื่อขอซื้อ APP Musical.ly ก่อน ByteDance เมื่อช่วงกลางปี 2016

แต่แล้ว "ดีล" ดังกล่าวกลับไม่เกิดขึ้น เพราะราคาที่ไม่ลงตัวและ 'ซัคเคอร์เบิร์ก' คาดการณ์ว่า Musical.ly จะเป็นเพียงของเล่นสำหรับวัยรุ่นอเมริกันที่ขึ้นมาวูบวาบแล้วดับลง ภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น

ซึ่งผลที่ตามมาก็อย่างที่เราๆ ท่านๆ รู้กัน 'พี่มาร์ค' มองอนาคตพลาดเป้าไปเป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ!

กลางปี 2018 ByteDance เริ่มรุกหนักตลาดในสหรัฐฯ ด้วยการระดมยิงโฆษณาใน Facebook อย่างหนักหน่วง ซึ่งผลที่ได้รับกลับมามันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ยอด DOWNLOAD ใน APPLE STORE พุ่งสูงขึ้นถึง 22% แถมตัดมาในปี 2019 TikTok กลายเป็น APP แชมป์ขวัญใจวัยรุ่นไปอย่างไร้คู่แข่ง และสามารถสร้างเครือข่ายธุรกิจและรายได้อย่างงดงาม ชนิดสามารถเปิดหน้าสู้กับ Facebook ได้แบบไม่เป็นรอง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 'มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก' จึงเริ่มแสดงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์กับคู่แข่งที่กำลังมาแรงนี้อย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่า TikTok เซนเซอร์บาง CONTENT ของผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจีนในฮ่องกงและ APP คู่แข่งอันร้อนแรงนี้ ยังอยู่ภายใต้การควบคุมและแทรกแซงโดยรัฐบาลจีนอีกด้วย (แหม...แทบไม่ต่างจากท่านผู้นำทรัมป์เลยสักนิด) ซึ่งแน่นอน ByteDance ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาของเจ้าพ่อ Facebook

และล่าสุด สงครามระหว่าง Facebook และ TikTok ได้เพิ่มระดับความร้อนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อ Instagram (ก็ของ 'พี่มาร์ค' เขานี่แหละ) ผุด FEATURE REELS (ซึ่งอาจจะพูดได้เลยว่า "ลอกเลียน" TikTok มาทุกเม็ด) รวมถึงใช้เม็ดเงินอีกมหาศาลซื้อตัวเหล่า STAR ประจำ APP TikTok มาทำ CONTENT ให้ เพื่อหวังดันยอด USER ให้กับ Instagram ที่กำลังถูก TikTok ไล่จี้มาติดๆ

"REELS มันก็แค่ COPYCAT PRODUCT" ผู้บริหารระดับสูงของ ByteDance เฉือนใส่ Facebook พร้อมตามมาด้วยหมัดอัปเปอร์คัต ที่ว่า "ทั้งหมดที่ 'พี่มาร์ค' ทำ มันคือการใส่ร้ายป้ายสีภายใต้เปลือกลัทธิชาตินิยมเท่านั้น" OOPS แรงอะ!...

ข่าวอื่นๆ: