"ตอนที่อยู่ ‘ยูไนเต็ด’ เขาเป็นเด็กที่ฟิตที่สุดในทีม ขยันและบ้าฝึกซ้อมอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีพละกำลังที่สั่งสมมาตั้งแต่วัยหนุ่ม จนสามารถค้าแข้งได้จนกระทั่งถึงอายุ 38 ปี!" เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัว

และทั้งหมดที่ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ กล่าวมานี้ คือ จุดเริ่มต้นของ THE LEGEND STORY DAVID BECKHAM PART 3 ซึ่งเป็นบทสรุปเรื่องราวทั้งหมดของอีกหนึ่งนักฟุตบอลผู้เป็นตำนานคนนี้...

เหตุใด "เรา" จึงอยากเริ่มต้นประโยคของ ‘ป๋า’ เป็นจุดเริ่มต้นของ PART 3 น่ะหรือ?

คำตอบก็คือ ในโลกฟุตบอลปัจจุบันที่มีสปีดบอลเร็วขึ้นกว่าในอดีตมากมายนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีนักฟุตบอลคนใด โดยเฉพาะที่ไม่ใช่ตำแหน่งผู้รักษาประตู สามารถยืนระยะเล่นในระดับท็อปได้ยาวนานเกินกว่าอายุ 35 ปี (อาจจะยกเว้น ‘ไรอัน กิกส์’ หรือมนุษย์จอมพลังอย่าง ‘โรนัลโด’ เอาไว้สัก 2 คน)

แต่ ‘เดวิด เบคแคม’ เป็นหนึ่งในนักเตะน้อยคนนักที่สามารถทำมันได้ นั่นจึงน่าจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ภาพลักษณ์การทำตัวเยี่ยง POP STAR ที่ฉาบเคลือบไว้ภายนอกนั้น แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน คือ ความตั้งใจที่จะผลักดันตัวเองให้เป็นสุดยอดนักฟุตบอลอย่างแท้จริง

และจากบรรทัดนี้ไป คือ บันทึกหน้าสุดท้ายในชีวิตนักฟุตบอลของชายผู้เป็นอีกหนึ่งตำนาน...

"ผมทั้งรู้สึกช็อกและเสียใจ หลังรู้ว่า ‘ยูไนเต็ด’ ตัดสินใจขายผมให้กับ ‘มาดริด’ เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเลิกดูสโมสรที่ผมรักมากที่สุดยาวนานถึง 3 ปี นั่นเป็นเพราะผมไม่เคยมีความคิดที่จะอำลา ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ไปไหน และมีแผนจะแขวนสตั๊ดที่ ‘โอลด์แทรฟเฟิร์ด’ เท่านั้น!" ‘เบคแคม’ เพิ่งเปิดปากรับสารภาพกับสำนักข่าว BBC เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อถูกถามถึงวินาทีที่รู้ตัวว่า ต้องเดินออกจากรั้วโรงละครแห่งความฝันเมื่อหลายสิบปีก่อน...

...

2 มิถุนายน ปี 2003

ออกจากรั้ว ‘โอลด์แทรฟเฟิร์ด’ มุ่งหน้าสู่หนึ่งในสมาชิกกาลาติกอส

ทีมที่ประกอบไปด้วย นักเตะนามอุโฆษอย่าง ‘ซีเนดีน ซีดาน’ ‘หลุยส์ ฟิโก้’ ‘ราอูล กอนซาเลซ’ ‘โรแบร์โต คาร์ลอส’ และเทพเจ้าแห่งปรากฏการณ์ ‘โรนัลโด’ (อ้วน) อาจจะยังไม่สาแก่ใจของท่านประธาน ‘ฟลอเรนติโน เปเรซ’

ถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว จำต้องมีอีกหนึ่งจิ๊กซอว์มาเติมเต็มให้คำว่า "กาลาติกอส" มันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบให้มากขึ้น

การมาถึงของ ‘เดวิด เบคแคม’ จึงกลายเป็นข่าวครึกโครมของวงการกีฬาโลกไปในบัดดล หนุ่มหล่อผมทองยาวสลวย สวมสูทสีฟ้าสุดเท่ วัย 28 ปี เปิดตัวชูเสื้อสโมสร ‘รีล มาดริด’ หมายเลข 23 ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวของ ‘อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน’ นักฟุตบอลแห่งตำนานราชันชุดขาว ท่ามกลางสื่อมวลชนกว่า 500 คน จาก 25 ประเทศทั่วโลก

"ผมแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ลงเล่นร่วมกับ ซีดาน, โรนัลโด, ฟิโก้ และราอูล" ไอ้เด็กหัวดื้อกล่าวด้วยความตื่นเต้น

โดยเจ้าของค่าตัว 25 ล้านปอนด์ จะได้รับค่าเหนื่อยจาก ‘รีล มาดริด’ ถึงปีละ 17 ล้านปอนด์ ภายใต้สัญญา 4 ปี แถมยังจะได้เงินค่าโฆษณาบวกเพิ่มอีก 12.6 ล้านปอนด์ เมื่ออายุครบ 30 ปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าบรรดาสตาร์เพื่อนร่วมทีมอย่าง ‘โรนัลโด’ ที่ได้เพียง 13.3 ล้านปอนด์ต่อปี และ ‘ซีดาน’ ที่ได้รับเพียง 8.8 ล้านปอนด์ต่อปีเท่านั้น

หากแต่ค่าเหนื่อยและค่าตัวก้อนมหาศาลที่ ‘รีล มาดริด’ ยอมจ่ายนี้ ได้รับกลับคืนมาภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเสื้อหมายเลข 23 ปักชื่อ BECKHAM ถูกขายได้นับล้านตัวทั่วโลก (และขายดีเอามากๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่ง ‘รีล มาดริด’ ปรารถนาที่จะขยายการทำธุรกิจมาให้ถึงเสียเหลือเกิน) เพียงในปีแรกที่เจ้าพ่อฟรีคิกย้ายมาร่วมทีม

อย่างไรก็ดี เพียงก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้า ซานติอาโก เบร์นาเบว ‘เบคแคม’ ก็ดูจะกลายเป็นหัวข้อที่ทำให้บรรดาสื่อจอมเสี้ยมทั้งหลายพยายามหาทางเสี้ยมให้กลายเป็นอริกับบรรดาซุป'ตาร์เพื่อนร่วมทีมในฉับพลัน อาทิ การโยนคำถามใส่ ‘ราอูล กอนซาเลซ’ เจ้าชายน้อยแห่งเบร์นาเบว ถึงเสื้อเบอร์ 7 ที่ถือครองอยู่ว่าจะยอมให้ ‘เบคแคม’ ได้เบอร์นี้ไปหรือไม่? รวมถึงพยายามกวนน้ำให้ขุ่นเรื่องการแย่งตำแหน่งปีกขวากับ ‘ฟิโก้’ แล้ว ‘โรแบร์โต คาร์ลอส’ ล่ะ จะยอมให้ใครมาแย่งยิงฟรีคิกไหม?

แต่ความพยายามทั้งหมดดูจะล้มเหลว เพราะไม่ว่าสื่อจะพยายามหาทาง "ขายข่าว" ประเภทนี้แค่ไหน แต่ตลอดระยะเวลา 4 ปี กับมาดริด ‘เบคแคม’ ไม่เคยมีปัญหากับเหล่าสตาร์ชื่อดังในทีมเลยสักคนเดียว เรียกว่า ‘พี่เบค’ รับมือกับสื่อ (ประเภทเจ้าปัญหา) ได้เป็นอย่างดี

...

ปี 2006 ฤดูกาลแห่งความยุ่งเหยิง และการ (ต้อง) กล่าวอำลาอีกครั้ง

‘เบคแคม’ ลงเล่นกับ ‘รีล มาดริด’ 4 ฤดูกาล ลงเตะรวมทุกถ้วย 159 นัด ยิงประตูรวมทั้งหมด 20 ประตู ASSIST รวมทั้งหมด 51 ลูก พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ ‘สแปนิช ซุปเปอร์คัพ’ ในปี 2003 และแชมป์ลาลีกา ในปี 2007

3 ปีแรกที่อยู่กับราชันชุดขาว แม้จะอยู่เคียงข้างกับแข้งระดับเหนือมนุษย์เต็มทีมและเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยในปี 2005 เทพบุตรแข้งทองรายนี้สามารถทำ ASSIST ได้สูงสุดในลีก แต่ ‘รีล มาดริด’ กลับไม่ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (ท่ามกลางปัญหาเก้าอี้ดนตรีในตำหน่งกุนซือที่มีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมถึง 6 คน ในรอบ 4 ปี)

จนกระทั่งในปี 2006 ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 และปีสุดท้ายของสัญญา เมื่อราชันชุดขาวดันไปพ่ายให้กับ ‘อาร์เซนอล’ ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกแชมเปียนส์ลีก รวมถึงหมดหวังในทุกถ้วยที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนั้น ‘ฟลอเรนติโน เปเรซ’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสร (จริงๆ คือถูกบีบให้ออกมากกว่า) เพื่อรับผิดชอบต่ออภิมหาโปรเจกต์ (ที่ต้องใช้ต้นทุนมหาศาล) แต่แล้วมันกลับล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง

‘รีล มาดริด’ จึงได้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและถือเป็นการสิ้นสุดลงของ "ยุคกาลาติกอส" (รอบแรก) ทันที ทำให้สถานะในทีมของ ‘เบคแคม’ เริ่มไม่มั่นคงอีกต่อไป อายุที่มากขึ้น และทีมกำลังต้องการความเปลี่ยนแปลง สัญญาที่ควรจะมีการพูดคุย (อย่างจริงใจ) เพื่อหาทางขยายมันออกไป (หากคิดว่าจะทำจริงๆ) ในเมื่อเหลืออีกเพียง 6 เดือน มันจะหมดลง...

และในเมื่อ ‘ฟลอเรนติโน เปเรซ’ ไม่อยู่ ‘ซานติอาโก เบร์นาเบว’ อีกต่อไปแล้ว...

...

‘เบคแคม’ จึงกลายเป็นพาดหัวใหญ่อีกครั้งในโลกกีฬา ไม่ต่างเมื่อครั้งที่ย้ายจาก ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ มาอยู่ ‘รีล มาดริด’

11 มกราคม 2007

‘แอลเอ กาแล็กซี’ สัญญา 5 ปี (ครึ่ง) ค่าเหนื่อย 128 ล้านปอนด์ กับนักเตะวัย 31 ปี

เมฆหมอกแห่งความขมุกขมัว เรื่องจะต่อหรือไม่ต่อสัญญากับ ‘รีล มาดริด’ กลายเป็นความกระจ่างชัดขึ้นในทันที หลังเจ้าพ่อฟรีคิกแถลงอย่างเอิกเกริกถึงอนาคตการค้าแข้งบนดินแดนใหม่ที่แทบไม่รู้จักฟุตบอล แถมประชาชีในประเทศนั้นพร้อมใจกันเรียกขานมันว่า SOCCER

"He will never play for me again"

หลังข่าวใหญ่พาดหัวไปทั่วโลกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ‘ฟาบิโอ คาเปลโล’ กุนซือทีมชุดขาว (ณ เวลานั้น) ประกาศต่อหน้าธารกำนัลทันทีว่า นับจากวินาทีนี้ต่อไปจะไม่มีที่ว่างใน 11 ตัวจริง หรือแม้กระทั่งตัวสำรองให้กับ ‘เบคแคม' อีกต่อไปแล้ว นั่นเป็นเพราะเจ้าพ่อเพรสซิ่งสัญชาติอิตาเลียนผู้นี้อ้างว่า เขาไม่อาจให้ความไว้เนื้อเชื่อใจนักเตะที่ไปเซ็นสัญญากับทีมอื่นล่วงหน้าได้อีกต่อไป

...

ในขณะที่ ‘รามอน กัลเดรอน’ ประธานสโมสรคนใหม่ ผลิตวาทะสาปส่ง ‘พี่เบค’ แบบเจ็บแสบว่า...

"เดวิด เบคแคม จะไปเป็นนักแสดงหนังและใช้ชีวิตในฮอลลีวูด นี่คือ เครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราตัดสินใจถูกต้องกับการไม่ต่อสัญญาในครั้งนี้ ซึ่งมันก็คงจะเช่นเดียวกับทุกทีมในโลก ที่ไม่เห็นมีใครแสดงความปรารถนาที่จะได้ตัวนักเตะค่าตัวฟรีแบบนี้เลย"

อึม…และเพียงเท่านี้เกรงว่า อดีตลูกรักของป๋าเฟอร์กี้จะช้ำไม่พอ ‘สตีฟ แม็คลาเรน’ อดีตมือขวาป๋าและผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ณ ขณะนั้น ยังประกาศต่อธารกำนัลในเวลาใกล้เคียงกันด้วยว่า ในทีมชาติอังกฤษไม่มีที่ว่างให้กับนักเตะที่กำลังมุ่งหน้าไปดินแดนแห่งเสรีภาพด้วยเช่นกัน!

‘เบคแคม’ กำลังมุ่งสู่ขาลง (เหว) อย่างเห็นได้ชัด สถานการณ์ ณ เวลานั้น ดูยังไงก็ยากยิ่งนักที่จะเห็นชายผู้นี้ฟื้นคืนสู่อาชีพนักฟุตบอลที่เคยรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ ทุกอย่างสิ้นหวัง เรือยักษ์สุดหรูไททานิกกำลังจะอับปางลงในไม่ช้านี้แล้ว...

แต่คนทุกคนในโลกใบนี้ นอกเสียจาก ‘เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ล้วนแล้วแต่คิดผิด เพราะไอ้หนูจอมดื้อดึงของป๋าผู้ไม่เคยมีแต่วินาทีเดียวในชีวิตที่คิดว่าตัวเองเล่นบอลได้แย่ในนัดไหนก็ตาม กลับดิ้นสุดชีวิตเพื่อทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมา โดยเฉพาะบรรดาคนที่เคยหยามหน้าเขาเอาไว้!

แม้จะถูกประกาศใส่หน้าว่า "ไม่มีที่สำหรับแกอีกต่อไป" แต่ ‘เบคแคม’ เพิกเฉยต่อคำประกาศนั้น เขายังคงแสดงทัศนคติถึงความมุ่งมั่นในแบบผู้ชนะอย่างแรงกล้า ด้วยการเดินทางไปซ้อมกับทีมในแบบฉบับมืออาชีพทุกวัน แถมยังซ้อมพิเศษเกินกว่าโปรแกรมปกติชนิดนักเตะคนอื่นๆ ในทีมอายด้วยซ้ำไป!

การประกาศถึงเจตนารมณ์เรื่องความมุ่งมั่นในแบบฉบับของชายที่ชื่อว่า ‘เบคแคม’ นั้น มันทำให้บรรดาขาใหญ่เจ้าถิ่นที่มีเสียงหนักแน่นในทีม ‘รีล มาดริด’ อย่าง ‘ราอูล กอนซาเลซ’ และ ‘กูตี คาเปลโล’ เห็นใจ และเดินเข้าไปขอพบกับ ‘คาเปลโล’ เพื่อร้องขอโอกาสให้กับ ‘เบคแคม’ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเขาที่ไปเซ็นสัญญากับทีมอื่นทั้งๆ ที่ยังเป็นนักเตะชุดขาว (เพราะมาดริดเองก็ไม่ได้แสดงความชัดเจนว่า จะต่อสัญญากับ ‘เบคแคม’ สักหน่อย) ฉะนั้น จึงควรคืนโอกาสในการกลับสู่สนามให้กับคนที่มุ่งมั่นแบบนี้อีกครั้ง

"เราสงสัยว่า เขาจะยังซ้อมแบบกระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่ หลังจากรู้ว่าจะได้คืนสู่ทีมชุดใหญ่อีกครั้ง แต่ ‘เบคแคม’ ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม มันเป็นการซ้อมในแบบที่เรียกว่า โ_ตร จะยอดเยี่ยม นอกจากนี้ บรรดาเพื่อนร่วมทีมทุกคนยังยินดีที่จะให้การสนับสนุนอีกด้วย บอกได้เลยว่า ‘เบคแคม’ คือ แบบฉบับของมืออาชีพที่แท้ทรู นอกจากนี้ ความจริงคือ พวกเราคิดผิดมาโดยตลอด" คาเปลโล ยอมกลืนน้ำลาย หลังได้เห็นด้วยตาถึงฤทธิ์เดช ของไอ้เด็กจอมดื้อแบบ FULL HD

"ผมคิดว่า คงหมดหวังที่จะกลับไปลงสนามได้อีกครั้งแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมจะขอตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมต่อไป เพราะผมอยากจะช่วยทีม และอยากจะออกจากสโมสรแห่งนี้ ทั้งที่ยังเป็นนักเตะในระดับท็อปอยู่"

และในที่สุดการเลือก "เชื่อใจ" ‘เบคแคม’ ของ ‘คาเปลโล’ ก็ผลิดอกออกผล เมื่อจบฤดูกาล ‘ราชันชุดขาว’ ได้หวนคืนสู่บัลลังก์อีกครา ด้วยการเฉือนคู่ปรับตลอดกาล ‘บาร์เซโลนา’ เถลิงแชมป์ลีกได้สำเร็จในแบบเส้นยาแดงผ่าแปด จากการที่มีคะแนนสะสมเท่ากัน คือ 76 แต้ม แต่มีสถิติ Head-to-Head ในลีกดีกว่า คำครหาต่างๆ ที่มีต่อตัวไอ้เด็กจอมดื้อ ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนสุดท้ายในถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว ได้รับการชำระล้างจนสิ้นมลทิน!

และหลังจากการรูดม่านปิดฉากในฐานะนักเตะทีมชุดขาวของ ‘เบคแคม’ นิตยสาร FORBES ได้รายงานว่า ตลอดระยะ 4 ปี ในการค้าแข้งกับ ‘รีด มาดริด’ ยอดสินค้าที่ระลึกแปะยี่ห้อไอ้หนุ่มหล่อหัวทอง มียอดขายสูงถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!

1 กรกฎาคม 2007

ความท้าทายใหม่บนดินแดนที่ไม่รู้จัก "ฟุตบอล"

"ซอคเกอร์ (เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม) ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก ยกเว้นแต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และนั่นคือ สิ่งที่ผมปรารถนาจะทำให้เกิดความแตกต่าง" ‘พี่เบค’ ประกาศในวันแรกที่เหยียบเมืองลุงแซม ท่ามกลางฝูงชนและกองทัพสื่อที่มารอต้อนรับมากกว่า 5,000 คน

แม้ว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะไม่ใส่ใจกับกีฬาฟุตบอลมากนัก หากแต่เพียงทันทีที่ได้รับการ CONFIRM ว่า ‘แอลเอ กาแล็กซี’ สามารถปิดดีลกับ MEGASTAR รายนี้ได้สำเร็จ ตั๋วปีมากกว่า 5,000 ใบ ถูกจำหน่ายออกไปภายในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง จนกระทั่งทำให้ยอดคนดูเฉลี่ยในสนามเพิ่มสูงขึ้นถึง 40% รวมถึงยังทำให้ลีกที่แทบไม่มีใครรู้จักอย่าง MAJOR LEAGUE SOCCER หรือ MLS เนื้อหอมขึ้นมาในทันที จนกระทั่งถูกติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันออกไปถึง 190 ประเทศทั่วโลก

นอกจากนี้ เมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ‘เบคแคม’ จะเลือกใช้เบอร์ 23 เป็นหมายเลขประจำตัว สำหรับการลงฟาดแข้งให้กับ ‘แอลเอ กาแล็กซี’ เสื้อที่ปะชื่อพร้อมเบอร์ของนักฟุตบอลมากสีสันผู้นี้ ก็มีบรรดาแฟนเดนตายมาแย่งกันซื้อไปมากถึง 250,000 ตัวทันที!

ทั้งๆ ที่ในตอนแรกไม่มีใครบนแผ่นดินอเมริกาสักคนเดียว จะเชื่อว่า ‘เบคแคม’ จะมาเตะฟุตบอลที่นี่ได้!

นั่นเป็นเพราะค่าเหนื่อยในฤดูกาลสุดท้ายกับมาดริดนั้น ราชันชุดขาวต้องเซ็นเช็กจ่ายให้กับ ‘เบคแคม’ ซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 29.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเงินค่าจ้างที่นักเตะทั้ง 12 ทีม (ปัจจุบัน 24 ทีม) ในลีก MLS ได้รับรวมกัน ถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!

เนื่องจากในปี 2006 นักเตะในลีก MLS ถูกกำหนดเพดานเงินเดือนเอาไว้ว่า แต่ละทีมจะต้องใช้เงินสำหรับค่าเหนื่อยนักเตะน้อยที่สุด 18 คน หรือมากที่สุด 20 คน ได้ไม่เกินเพียง 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น! (ปัจจุบันอยู่ที่ 4.24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทำให้เพียงเฉพาะค่าเหนื่อยที่จะต้องหามาประเคนให้พ่อหนุ่มสุดหล่อ มันก็แทบจะเป็นเรื่องที่ "เป็นไปไม่ได้" อยู่แล้ว

แต่แล้ว ดีลที่เป็นไปไม่ได้ กลับเป็นไปได้ จากฝีมือของ ‘ทิม’ (TIM LEIWEKE) CEO และประธาน (CEO and President of AEG) Anschutz Entertainment Group (AEG)

ซึ่งเป็นเจ้าของ 5 ใน 12 (13) สโมสรของ MLS (ในยุคนั้น) โดยเขาได้ประกาศด้วยความมั่นใจถึงเมกะดีลนี้เอาไว้ว่า "เราเหมือนสุนัขที่กำลังพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่กลางทะเลสาบ โดยมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ 1. ยอมถอดใจไปซะ หรือ 2. คิดการใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลง MLS ไปตลอดกาล เพราะมันจะไม่มีใครหน้าไหนในโลกใบนี้แล้วที่จะทำให้ ‘เบคแคม’ มาอยู่ที่นี่ได้!"

ด้วยเหตุนี้ THE BECKHAM RULE จึงอุบัติขึ้น เพื่อปฏิบัติการในครั้งนี้โดยเฉพาะ!

TIM LEIWEKE ล็อบบี้ให้ผู้บริหาร MLS ยอมเปลี่ยนแปลงกฎเพดานเงินเดือนนักเตะ จากเดิมที่กำหนดเอาไว้ว่า แต่ละทีมต้องใช้งบจ้างนักเตะประมาณ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อฤดูกาล ไปเป็นการอนุญาตให้แต่ละทีมสามารถจ้างนักเตะด้วยค่าจ้างที่เกินเพดานกำหนดไว้ได้สูงสุด 3 คน (แต่จะต้องไม่เกิน 400,000 เหรียญสหรัฐฯต่อปี แต่หากยังเกินอยู่ ส่วนต่างที่เหลือเจ้าของทีมจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ (จ่ายเอง) ทั้งหมด ข้อมูล ณ ปี 2007 ปัจจุบันอยู่ที่สูงสุด 530,000 เหรียญสหรัฐฯต่อปี)

เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลีกเกิดใหม่อย่าง MLS (ก่อตั้งครั้งแรกในปี 1993) สามารถดึงนักเตะระดับ BIGNAME มาสร้างสีสันให้กับลีกได้ และแน่นอน ‘เบคแคม’ คือ นักเตะที่ประเดิมกฎที่ว่านี้ ด้วยค่าจ้างประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อสัปดาห์! หรือ 1 ปี 52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี บทสรุปสำหรับการค้าแข้งในลีกที่ใครๆ ต่างมองว่าเป็นเพียงฟุตบอลลีกสำหรับการหาเงินในช่วงปลายชีวิตการค้าแข้งนั้น ‘เบคแคม’ ลงเล่นไปรวมทั้งสิ้น 98 นัด ยิงไป 18 ประตู และ ASSIST อีก 40 ลูก นำทีมคว้าแชมป์ MLS CUP 2 สมัย ในปี 2011 และ 2012 (จากสถิติของ Mlssoccer.com)

2009 ยืมตัว (ขอไปเล่น) กับ AC MILAN เพื่อความหวังในฟุตบอลโลก 2010

"บนฟลอร์หญ้า ‘เบคแคม’ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างก่อนนักเตะทุกๆ คน วิสัยทัศน์ในการเล่นตอนนี้มันดีกว่าตอนที่เขาเล่นอยู่กับ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ เสียอีก เอาล่ะ แม้อาจจะดูเชื่องช้าลงบ้าง (‘เบคแคม’ ในวัย 33 ปี) แต่หมอนี่ยังแข็งแกร่งทั้งเรื่องเทคนิคส่วนตัวและแท็กติกในการเล่นฟุตบอล รวมถึงยังมีมันสมองที่ยอดเยี่ยม" ‘คาร์โล อันเชล็อตติ’ กุนซือ ของเอซีมิลาน กล่าวชมเชย

หลังกลับไปเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมชาติอังกฤษ และกลายเป็นขุนพลคู่ใจของ ‘ฟาบิโอ คาเปลโล’ ผู้จัดการทีม (ณ เวลานั้น) ‘เบคแคม’ ถูกยืมตัว (ขอไปเล่น) กับสโมสรเอซีมิลาน ยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี โดยมีเป้าประสงค์เพื่อรักษาระดับการเล่นของตัวเอง เพื่อทีมธงอังกฤษไปลุยฟุตบอลโลกปี 2010 ซึ่งจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเจ้าตัวแล้ว

อย่างไรก็ดี แม้การยืมตัวครั้งนี้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เพื่อรักษาระดับการเล่นสำหรับไปลุยบอลโลก รวมถึงเจ้าพ่อฟรีคิกยังให้คำมั่นว่าจะกลับมาลงเตะเมื่อ MLS เปิดฤดูกาลในเดือนมีนาคม 2009 แน่นอน แต่บรรดากองเชียร์ของ ‘แอลเอ กาแล็กซี’ ก็ยังคงไม่ไว้วางใจอยู่ดี ในขณะที่ บรรดาสาวกรอสโซเนรีเองก็ไม่พึงพอใจนัก เนื่องจากมองว่า สโมสรอาจต้องการซื้อนักเตะที่ใกล้ปลดระวางมาเพื่อหวังผลทางการตลาด (ขายเสื้อและสินค้าที่ระลึก) เท่านั้น

หากแต่ ‘เบคแคม’ ที่คราวนี้สวมเสื้อหมายเลข 32 ได้แสดงฝีเท้าให้ทุกคนที่ชอบดูหมิ่นเขาได้เห็นอีกครั้งว่า

"ข้ายังไม่แก่นะโว้ย"

‘เบคแคม’ ในวัย 33 ปี ยังคงสามารถลงเล่นเคียงข้างนักเตะระดับ TOP ของโลกที่มีอยู่เกลื่อนถิ่นซาน ซิโร อย่าง กาก้า อเล็กซานโดร, ปาโต คริสเตียน, วิเอรี โรนัลดินโญ, เปาโล มัลดินี, คาเรนซ์ ซีดอร์ฟ และอันเดร เชฟเชนโก ได้อย่างไม่มีความแตกต่าง การันตีได้จากคำให้การของกุนซือปิศาจแดงดำ ดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ เสียงร่ำร้องให้พี่เบคอยู่ต่อจึงเริ่มดังกระหึ่มขึ้น หากแต่มิลานไม่สามารถตกลงค่าตัวที่แอลเอ กาแล็กซี ต้องการคือ 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสูงมากสำหรับนักเตะที่เหลืออายุการใช้งานอีกไม่นานนัก และกำลังจะหมดสัญญาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มันจึงทำให้ดีลนี้จบลงอย่างน่าเสียดาย (โดยเฉพาะหากมิลานรู้อนาคตล่วงหน้าว่า เบคแคมยังสามารถเล่นฟุตบอลได้ถึงอายุเกือบ 38 ปี)

โดยสถิติของเบคแคมในซานซิโร คือ ลงเล่นไปรวมทั้งหมด 31 นัด ยิงไป 2 ประตู

"ผมเชื่อว่า เดวิดคงรู้ตัวเองดีแล้วว่าได้ทิ้งอาชีพนักฟุตบอลส่วนหนึ่งที่เขารักไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงฝึกซ้อมอย่างหนักเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ฟอร์มการเล่นกลับคืนเหมือนเมื่อตอนรุ่งโรจน์ แถมยังแสดงออกถึงความกระตือรือร้นเวลาอยู่ในฟลอร์หญ้าเสียยิ่งกว่าในช่วงท้ายๆ ก่อนที่จะจากยูไนเต็ดไปเสียอีก" คำจำกัดความของป๋าเฟอร์กี้ หลังเห็นอดีตลูกรักกลับมาเป็นนักฟุตบอลคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก

31 มกราคม 2013

ปารีส แซงต์ แชร์แมง บ้านหลังสุดท้าย และการโบกมืออำลา (จริงๆ สักที)

หลังหมดสัญญากับ แอลเอ กาแล็กซี ในวันที่ 31 มกราคม 2013 เบคแคมกลับคืนสู่ยุโรปอีกคำรบ เมื่อได้เซ็นสัญญาระยะสั้น 5 เดือน มูลค่า 1 ล้านปอนด์ กับสโมสรปารีส แซงต์ แชร์แมง แต่ที่เท่กว่านั้น คือ เงินค่าจ้างก้อนมหึมานี้ พี่เบคจะขอบริจาคให้กับโครงการเพื่อการกุศลสำหรับเด็กๆ ในนครปารีส เรียกได้ว่า เป็นการเซ็นสัญญาแบบเอาเท่ เป็นครั้งสุดท้ายก็น่าจะว่าได้

การลงเล่น 14 นัดสุดท้ายในชีวิตนักฟุตบอล ในเมื่อมี "พระเจ้า" อย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เคียงข้าง อีกทั้งการที่ ปารีส แซงต์ แชร์แมง เป็นถึงทีมระดับอภิมหาเศรษฐีกำเนิดใหม่ที่สามารถจะซื้อนักเตะคนไหนในโลกก็ได้ มันจึงไม่แปลกที่ในท้ายที่สุด เบคแคมในวัย 38 ปี จะได้แชมป์ลีกประเทศที่ 4 มาประดับเกียรติยศเพิ่มเติมอีก 1 สมัย

และในวันที่ 18 MAY 2013 มันก็ถึงวันสิ้นสุดการเดินทาง...

เบคแคมได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเปแอสเช ในการลงเตะนัดอำลาอาชีพที่รักที่สุด กับสโมสรแบรสต์ ก่อนที่เจ้าตัวจะใช้ท่าไม้ตายในตำนานเตะลูกเตะมุม ทำ ASSIST ให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูเป็นครั้งสุดท้าย...

จากนั้น ในนาทีที่ 80 สนามปาร์ค เดส์ แปรงส์ ก็เต็มตื้นไปด้วยเสียงปรบมือ อ้อมกอด น้ำตา และ STANDING OVATION เพื่อเป็นเกียรติยศ ให้กับการอำลาสนามเป็นครั้งสุดท้ายของชายผู้เป็นตำนาน...

"ผมขอขอบคุณสำหรับโอกาสที่เปแอสเชมอบให้ แต่ผมรู้สึกว่า มันถึงเวลาสำหรับการยุติเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลที่จะยังคงสามารถลงเล่นในระดับสูงได้อีกต่อไปแล้ว..." คำกล่าวอำลา

ลูกชายแห่งอังกฤษนามว่า เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบคแคม หมดธุระกับกลิ่นสาบลูกหนัง ที่มีทั้งความงดงามและเต็มเปื้อนไปด้วยคราบไคล รวมถึงเสียงชิงชังและริษยาถึงภาพลักษณ์สำรวยสวยกรากจนไม่น่าจะเล่นฟุตบอลได้ มาเกือบครึ่งชีวิตลงเสียที...

และนี่คือ THE LEGEND SERIES คนแรกของเรา บอกชื่อเขาอีกสักครั้ง เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบคแคม (DAVID ROBERT JOSEPH BECKHAM)

END CREDIT

ข่าวอื่นๆ: