‘เดวิด เบคแคม’ ค้าแข้งในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด ยาวนานถึง 11 ฤดูกาล พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 ครั้ง, เอฟเอ คัพ 2 ครั้ง, แชมเปียนส์ลีก 1 ครั้ง รวมถึงยังเป็นหนึ่งในนักเตะกำลังหลักของ ‘ยูไนเต็ด’ ที่ช่วยพาทีมคว้าแชมป์ในแบบที่โลกต้องจดจำ ภายใต้การเรียกขานอย่างยิ่งใหญ่ว่า ‘ทริปเปิลแชมป์’ นั่นก็คือ การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เอฟเอ คัพ และแชมเปียนส์ลีก ในปี 1999

ฉะนั้น ใน PART 2 นี้ หากขืน ‘เรา’ เล่าชีวิตในสถาบันโอลด์แทรฟฟอร์ดของพ่อหนุ่มคนนี้อย่างละเอียด ‘เรา’ อาจจะต้องพิมพ์ตัวอักษรให้ ‘คุณ’ อ่าน ด้วยระยะทางที่อาจจะเท่ากับโลกไปดวงจันทร์ก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ ‘เรา’ จึงขอเล่าในแบบเฉพาะที่เป็นจุดสำคัญของนักเตะสุด POP แห่งยุค 90 ก็แล้วกันนะ!

ประตูแจ้งเกิดในฐานะ ‘ปีกขวา’ ตัวจริง!(เสียที)

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

"ตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอล ‘เดวิด เบคแคม’ เป็นคนที่เต็มไปด้วยความมาดมั่น ขยัน และตั้งใจฝึกซ้อมยิ่งกว่าใคร เพื่อรีดเค้นความสามารถทั้งหมดที่มีของตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด

เจ้าลูกชายของผมคนนี้ยิงประตูให้ ‘ยูไนเต็ด’ ถึง 85 ประตู ในการลงเล่นเป็นตัวจริง 394 นัด แต่หนึ่งในประตูที่สวยที่สุดและเปรียบดั่งการแจ้งเกิดของ ‘เขา’ กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือ ประตูนี้..."

17 สิงหาคม 1996 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 วิมเบิลดัน 0

...

ลูกยิงไกลจากครึ่งสนาม ระยะทางร่วม 60 หลา ที่ ‘เขา’ ค่อยๆ บรรจงตั้งท่ายิง จนลูกบอลปลิวข้ามหัว ‘นีล ซัลลิแวน’ นายประตูวิมเบิลดัน เข้าประตูไปอย่างสวยงาม ราวกับให้ ‘โอโซรา ซึบาสะ’ มายิงลูกไดรฟ์ชู้ตในโลกของความเป็นจริง!

"ผมรู้ดีว่าประตูนี้มีความสำคัญขนาดไหน สำหรับเส้นทางต่อไปในอาชีพนักฟุตบอล แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากยิ่งไปกว่าการทำประตูนี้ได้ก็คือ การที่ ‘เอริค คันโตนา’ จอมราชันแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด เดินเข้ามาหาแล้วพูดกับผมว่า ‘GOOD GOAL’..."

ถูกต้อง! และประตูแจ้งเกิดนี่เองที่ทำให้ชีวิตจากการค้าแข้งของ ‘เบคแคม’ ที่ลุ่มๆ ดอนๆ ณ THEATER OF DREAM สิ้นสุดลงเสียที และเมื่อบวกกับการที่ ‘แคนแคน’ อังเดร แคนเชลสกี ปีกจรวดรัสเซีย ถูกขายออกไป (ฤดูกาล 1995-1996) หลังอ้างหน้าตาเฉยกับ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ ว่า เจ็บท้องโดยไม่ทราบสาเหตุบ่อยครั้ง (แต่ความจริงในเวลาต่อมาคือ พี่แกอยากจะย้ายทีมออกไป เพื่อรับส่วนแบ่งหนึ่งในสามของค่าตัวตามสัญญา)

ทำให้ ‘ตำแหน่งปีกขวา’ กลายเป็นตำแหน่งที่ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ เปิดโอกาสให้ ‘ไอ้หนูจอมดื้อ’ ลงไปประจำการแทนทันที (ทั้งๆ ที่ในตอนแรกบรมครูแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ดยังไม่แน่ใจดีนักว่า จะให้พ่อหนุ่มคนนี้ลงเล่นเป็น ‘ปีก’ หรือ ‘มิดฟิลด์ตัวกลาง’ กันแน่)

ด้วยเหตุนี้ ฤดูกาล 1996-1997 จึงถือเป็น TURNING POINT ครั้งสำคัญที่ทำให้ ‘เจ้าพ่อฟรีคิก’ ที่ ณ เวลานั้นมีอายุเพียง 21 ปี ได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ในฐานะปีกขวาตัวจริงแบบถาวร(เสียที) ของยูไนเต็ด!

และการที่ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่องนี้เอง ทำให้ ‘เบคแคม’ ทำประตูได้ถึง 12 ลูก จากการลงเล่นตลอดทั้งฤดูกาล

เปลี่ยน ‘คำหยาม’ ให้กลายเป็นพลัง

ปี 1995 รายการ MATCH OF THE DAY

YOU CAN’T WIN ANYTHING WITH KIDS

คุณไม่สามารถเอาชนะได้ ด้วยทีมเด็กน้อยแบบนี้

อีกหนึ่งวลีอมตะแห่งโลกฟุตบอล จากปากของ ‘อลัน แฮนแซน’ กองหลังระดับ WORLD CLASS ของ ‘ลิเวอร์พูล’ ที่ ณ เวลานั้นทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์เกมฟุตบอลทางโทรทัศน์ ซึ่ง ‘หยามหยัน’ ใส่หน้า ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ โฉมใหม่ ที่เต็มไปด้วยนักเตะวัยรุ่น ทั้งๆ ที่เพิ่งสูญเสียผู้เล่นหลักอย่าง ‘แคนแคน’ อังเดร แคนเชลสกี ปีกจรวดรัสเซีย ‘พอล อินซ์’ และ ‘มาร์ค ฮิวส์’ ไปจากทีม และเด็กๆ ของเฟอร์กี้เหล่านี้ยังเริ่มต้นฤดูกาล 1995-1996 ด้วยการบุกไปพ่ายแพ้ให้กับ ‘แอสตัน วิลลา’ ถึง 3 ประตูต่อ 1

...

ซึ่งการหล่นทัศนะวิจารณ์แบบนี้ ทำให้เหล่าไอ้หนูจาก CLASS OF 92 ที่หนึ่งในนั้นมี ‘เบคแคม’ รวมอยู่ด้วย เกิดอาการ ‘ของขึ้น’ กันทั่วหน้า

ด้วยเหตุนี้ ‘การกระทำ’ เพื่อตอบโต้ ‘คำหยามหยัน’ ของอดีตปราการหลังคู่อริ จึงช่างมีดาเมจรุนแรงเสียยิ่งกว่า ‘ดาวหางพุ่งชนโลก’ โดยบรรดาเด็กๆ ของป๋าเฟอร์กี้ปฏิบัติการเอาคืนวลี "คุณไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยทีมเด็กน้อยแบบนี้" ด้วยการแซงหน้า ‘นิวคาสเซิล’ ที่เคยทำคะแนนนำในลีกถึง 10 แต้ม จนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แถมในนัดชิง ‘เอฟเอ คัพ’ ยังสามารถเอาชนะ ‘ลิเวอร์พูล’ ทีมรักของ ‘อลัน แฮนแซน’ ได้ที่เวมบลีย์เข้าให้อีก

ถูกต้อง ‘ยูไนเต็ด’ ทีมเด็กน้อย ซึ่งมี ‘เบคแคม’ ร่วมทีม คว้าดับเบิลแชมป์ได้ในปีนั้น! จนทำให้ ‘อลัน แฮนแซน’ ยังคงถูกล้อเลียนจากบรรดา RED ARMY มาจนถึงทุกวันนี้

โดย ‘เซอร์อเล็กซ์’ กล่าวยอมรับในภายหลังว่า ‘วลีเด็ด’ ของ ‘อลัน แฮนแซน’ เป็นแรงผลักดันชิ้นดีที่ทำให้เหล่าบรรดาไอ้หนูของเขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะล้มล้างคำสบประมาทเพื่อไปให้ถึงความสำเร็จให้จงได้ รวมถึง อืม...อะไรที่แฟนๆ หงส์แดงอยากจะลืมอย่างสิ่งที่เรียกว่า ‘ทริปเปิลแชมป์’ ในปี 1999 นั่นด้วย...

อ่อ...ลืมบอกไป ในฤดูกาลนั้น ‘เบคแคม’ ยังสามารถทำประตูรวมได้ถึง 8 ลูก จากการลงเล่นตลอดทั้งฤดูกาลอีกด้วย

การได้สวมเสื้อ ‘หมายเลข 7’ ในตำนาน ของยูไนเต็ด

ฤดูกาล 1996-97 การโบกมืออำลาของ ERIC THE KING CANTONA

...

เมื่อนักเตะเพียงคนเดียว(เท่านั้น) ที่ได้รับ ‘สิทธิพิเศษ’ เหนือนักเตะคนอื่นๆ ในทีม ตลอดชีวิตการทำงานในฐานะผู้จัดการทีมของกุนซือไดร์เป่าผม และเจ้าของวลีแห่งการจากลาที่โลกยังคงไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริงที่ว่า...

"When seagulls follow the trawler it is because they think sardines will be thrown into the sea"

ถูกต้องแล้ว! เมื่อ Ooh Aah CANTONA ประกาศ...ขออำลาทีม โดยทิ้งความยิ่งใหญ่ที่หาใครเสมอเหมือนมิได้ เอาไว้กับ ‘หมายเลข 7’ ของ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ และสุดท้ายหมายเลขแห่งตำนานนี้ได้ตกถึงมือของ ‘ไอ้หนุ่มหัวดื้อ’ ของ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ ไปในที่สุด

โดย ‘เบคแคม’ ยอมรับว่า ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจาก ‘คันโตนา’ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า ‘การฝึกซ้อม’ โดย ERIC THE KING นั้น ในสายตาของเขาถือเป็นคนที่ทั้งซ้อมหนักและทุ่มเทให้กับการอยู่ในสนามซ้อมมากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น และมักจะกล่าวย้ำกับ ‘เขา’ อยู่เสมอๆ ว่า ‘เบคแคม’ แกจะต้องขยันซ้อมนะ จำไว้ว่า...แกต้องซ้อมทุกวัน แล้วแกจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้อยู่ในวงการค้าแข้งได้ต่อไปยาวๆ

...

แต่เดี๋ยวก่อน จุ๊ๆ... ‘รอย คีน’ อดีตกัปตันขาโหดของยูไนเต็ด กล่าวอ้างในหนังสือ THE SECOND HALF อัตชีวประวัติส่วนตัว โดยระบุถึงเรื่องนี้ว่า "ตอน ‘เอริค’ ประกาศรีไทร์ ‘ป๋า’ ดันผมเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนจะบอกกับผมว่า ฉันต้องการให้แกสวมเสื้อเบอร์ 7 แทน ‘คันโตนา’ แต่ ‘ผม’ บอกกับป๋าไปว่า ‘ไม่’ ผมไม่ได้ใส่ใจมัน จากนั้น ‘ป๋า’ ได้ตอบกลับมาชนิดทำเอาผมอึ้งไปเลยว่า ฉันรู้ดีว่า ‘เบคแคม’ ต้องการไอ้หมายเลขบ้าๆ นี้ และฉันไม่ต้องการให้ ‘ไอ้หมอนั่น’ ได้มันไป ผมเลยต้องยืนกรานกลับไปว่า ตั้งแต่ผมมาเล่นที่นี่ ผมก็ใช้เบอร์ 16 มาโดยตลอด ฉะนั้น ‘ป๋า’ ให้เบอร์ 7 กับ ‘เบคแคม’ มันไปเหอะ!"

จบนะป๋า!

1998 จากเทพบุตรแห่งอิงลิชชน สู่ซาตานอันต่ำตม ไอ้ตัวต้นเหตุทำอังกฤษตกรอบฟรองซ์ 98!

แม้จะเป็นคนมั่นใจในตัวเองอย่างชนิดล้นเว่อร์ หรือจะเรียกว่าดื้อดึง(ก็ได้) แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะทำให้ ‘เบคแคม’ ถึงกับ ‘จิตตก’ ในความพลาดพลั้งแสดงความโง่เขลา ซึ่งอาจจะพูดได้เลยว่าเป็นความโง่เขลาบนฟลอร์หญ้าเพียงครั้งเดียวในชีวิตการค้าแข้ง จากอาการ ‘หลุด’ หลงกลเล่ห์เหลี่ยมยั่วยุอันแพรวพราว จนกระทั่งไปเอาเท้าเตะ ‘ดิเอโก ซิเมโอเน’ (กุนซือ ‘แอตเลติโก มาดริด’ คนปัจจุบัน) จนถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และทำให้พลพรรค THREE LIONS ต้องตกรอบฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส

การกระทำที่โง่เขลานั้น ทำให้ ‘เบคแคม’ ถูกทั้งสื่อมวลชนและประชาชีชาวอังกฤษถล่มด่ายับชนิดไม่มีชิ้นดี แต่สิ่งที่ย่ำแย่มากยิ่งไปกว่านั้นคือ การที่ ‘เกล็น ฮอดเดิล’ กุนซือสิงโตคำราม ณ พ.ศ.นั้น และยังเป็นอีกหนึ่งไอดอลนักเตะ ‘พี่เบค’ คลั่งไคล้ในวัยเด็ก ดันเอา ‘แพะรับบาป’ อย่างเขา ไปร่วมนั่งแถลงข่าวหลังเกม เพื่อให้บรรดาสื่อเมืองผู้ดีเรียงหน้านัดคำถามเชือดใจถล่มซ้ำ ซึ่งเป็นการกระทำไม่ต่างจากดึงตัวไปตบหน้ากลางสี่แยกเหม่งจ๋ายดีๆ นี่เอง

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน ‘เบคแคม’ เพิ่งถูกสื่อมวลชนอังกฤษเขียนเชียร์อย่างหนักให้ลงเล่นเป็นตัวจริงในทีมชาติ แทนเด็กปั้นของ ‘ฮอดเดิล’ อย่าง ‘ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน’ และถูกชมจนตัวลอย หลังยิงประตูเอาชนะ ‘โคลอมเบีย’ พาอังกฤษเข้ารอบ จนมาเจอกับอาร์เจนตินาแท้ๆ

พายุแห่งความเกลียดชัง ชายที่ชื่อว่า ‘เดวิด เบคแคม’ ลุกลามขยายวงกว้างไปทั่วประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะในสนามฟุตบอล และมันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดนายกรัฐมนตรี ‘โทนี่ แบลร์’ ของอังกฤษ (ณ เวลานั้น) ยังถึงกับต้องออกมาเตือนสติผู้คนว่า การโทษนักเตะเพียงคนเดียวว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบฟุตบอลโลกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และทุกคนควรหยุดได้แล้ว...

โดย ‘ไอ้หนุ่มจอมดื้อ’ ที่ ณ วินาทีนั้นกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง บอกเล่าเหตุการณ์ ณ วินาทีที่เห็นใบแดงจากผู้ตัดสินว่า...

"ผมเดินก้มหน้าออกจากสนาม ผมไม่กล้าสบตา ‘เกล็น ฮอดเดิล’ และผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ม้านั่งข้างสนาม และไม่มีแม้ใครสักคนเดียวที่พยายามจะเข้ามาปลอบประโลมผม ซึ่งนั่นมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่เข้าไปอีก

หลังจากเราแพ้จุดโทษอาร์เจนตินา ทุกคนเดินคอตกเข้าห้องแต่งตัว ไม่มีใครยอมพูดกับผมเลยสักคน มันยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่ทันใดนั้นเอง ‘โทนี อดัมส์’ กองหลังอาร์เซนอล และพี่ใหญ่ในทีมชาติชุดนั้นก็เดินเข้ามาปลอบผม เขาพูดขึ้นว่า ‘ไอ้หนู’ แกอย่าไปคิดให้เสียเวลาว่าแกคือต้นเหตุทำให้ทีมเราแพ้ในวันนี้ แกเป็นผู้เล่นที่เก่ง ฉันชอบการเล่นของแกในวันนี้มากไอ้หนู คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกได้เลยทันทีว่า ผมติดหนี้บุญคุณของ ‘โทนี’ และ ‘เขา’ คือพี่ใหญ่ที่ควรให้ความเคารพยำเกรง"

และแม้จะปะทะคารมจนเกิดความระหองระแหงกันบ่อยครั้ง จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ในเมื่อ ‘ลูกรักจอมดื้อดึง’ ไม่ต่างจาก ‘นกปีกหักเซถลา’ มาแบบนี้ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ ย่อมไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป พ่อใหญ่แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ดออกมากางปีกปกป้อง ‘เบคแคม’ ทันที!

"SON GET BACK TO MANCHESTER YOU’II BE FINE"

"กลับบ้านเราที่แมนเชสเตอร์ เถอะลูก แกสบายดีใช่ไหม?"

‘ป๋าเฟอร์กี้’ คือ คนแรกที่โทรศัพท์หาไอ้เด็กจอมดื้อ หลังถูกใบแดงอัปยศ และยังเช็ดคราบน้ำตาไม่ทันหมด พร้อมกับหล่นวาทะเตือนสติว่า "ไอ้หนูใจเย็นๆ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว แกต้องกลับมาที่โอลด์แทรฟฟอร์ด พวกเราทุกคนรอแกอยู่"

แถมเมื่อวันแรกที่ ‘เบคแคม’ เดินทางมาถึง ‘เดอะคลิฟฟ์’ ป๋าก็เรียกไอ้ลูกชายไปปลอบโยน พร้อมให้คำมั่นว่า ฉันจะปกป้องแกเองทันที ซึ่งคำว่าปกป้องในที่นี้ มันไม่ใช่แค่เพียงลมปาก เพราะ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ ทำมันจริงๆ ไม่ว่าจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์(ด่า) การกระทำของ ‘เกล็น ฮอดเดิล’ ที่ทำกับแพะรับบาป รวมถึงโทรศัพท์ไปล็อบบี้บรรดาสื่อมวลชนในอังกฤษไม่ให้เล่น ‘พี่เบค’ ของเราให้หนักหนามากจนเกินไป

พร้อมกับหล่นวาทะที่ ‘ควรจดจำ’ กับ ‘ไอ้ลูกชายจอมดื้อดึง’ ว่า...

"ไอ้หนู ต่อไปนี้สมาธิของแกจะต้องอยู่ที่ลูกฟุตบอลเท่านั้น อย่าไปสนใจว่าสื่อมวลชนหรือคนอื่นจะพูดถึงแกว่าอย่างไร และหากแกเป็นของจริง แกก็จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปให้ได้ แต่ถ้าหากแกเป็นของปลอม แกก็จงยอมรับและพ่ายแพ้ให้กับสิ่งที่แกกำลังเผชิญอยู่นี้ไปเสีย!"

หนึ่งในนักเตะกำลังหลัก ‘ผู้สร้างประวัติศาสตร์’ คว้าทริปเปิลแชมป์อันน่าภาคภูมิ

ฤดูกาล 1998-1999

หลังถูกโขกสับ และกลายเป็นแพะรับบาป ‘เบคแคม’ สามารถฟื้นจากความตาย และเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ ด้วยการพาทีมรักประสบความสำเร็จอย่างชนิดไม่เคยมีทีมไหนในประเทศอังกฤษทำได้มาก่อน ด้วยการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ, แชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดย ‘ไอ้เด็กจอมดื้อ’ ลงสนามรวมทุกถ้วยในฤดูกาลนั้นไปทั้งสิ้น 53 นัด ยิงประตูได้รวม 9 ลูก

และ ‘พี่เบค’ ยังเป็นผู้รับเหมาเตะมุมทั้ง 2 ลูก ที่นำไปสู่ 2 ประตูแห่งประวัติศาสตร์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก จนทำให้ ‘ปิศาจแดง’ กระชาก BIG EAR มาจากอ้อมกอดของ ‘บาเยิร์น มิวนิก’ ได้อย่างสุดเหลือเชื่อด้วย

IF YOU WANNA BE MY LOVER YOU HAVE GOT TO GIVE

1997 พบรักกับสาว POP STAR ที่ป๋าเฟอร์กี้ไม่ชอบขี้หน้า!

ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา ฝีเท้ากำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง แถมยังอยู่กับต้นสังกัดที่กำลังโด่งดังที่สุดทีมหนึ่งของโลก ชื่อเสียงเงินทองเริ่มพุ่งเข้ามาหา ‘ไอ้เด็กหัวดื้อ’ อย่างไม่หยุดหย่อน มันมากมายเสียจน...บรมครูแห่งโรงละครแห่งความฝัน ต้องพยายามเตือนสติหนุ่มน้อยหลายต่อหลายครั้งว่า...

"แกต้องเก็บเนื้อเก็บตัวให้ดี ห้ามนั่งตามผับบาร์เด็ดขาด และต้องอดทนกับนักข่าวให้มาก และอืม...แน่นอน แกต้องมีวินัยห้ามขาด ลา มาสาย อย่างเด็ดขาด เพราะมีแต่มืออาชีพเท่านั้นที่จะอยู่ในวงการนี้ได้ ฉะนั้นฉันจะปฏิบัติกับแกแบบผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เพราะทั้งหมดที่ฉันทำลงไปก็เพื่อตัวของแกเอง"

แต่แล้ว...เมื่อ ‘ไอ้เด็กหัวดื้อ’ ดันไปพบรักกับผู้หญิงที่สุดโด่งดังแห่งยุค 90 อะไรๆ ที่ ‘ป๋า’ กำชับนักกำชับหนา มันก็ดูจะกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญมากขึ้นๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ...

"ผมหลงรักเธอแบบถอนตัวไม่ขึ้น เธอรู้ใจผมไปเสียทุกเรื่อง มันไม่ใช่แค่เพียงความรักวูบวาบแบบหนุ่มสาว ทั้งๆ ที่ผู้หญิงผมดำแบบเธอไม่ใช่สเปกผู้หญิงที่ผมคลั่งไคล้ ซึ่งจะต้องเป็นผู้หญิงผมทองและขายาวเรียวเซ็กซี่ ผมรู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่อกันและกัน มันคือ DESTINY"

จากปากคำถึงความรักที่มีต่อ ‘วิคตอเรีย อดัม’ หรือ ‘พอช’ สาวสุดมั่นตาจิกแห่งวง SPICE GIRLS ของไอ้หนุ่มจอมดื้อ ‘คุณ’ รู้แล้วใช่ไหมว่า ทำไม ‘ยันต์’ ที่แปะเอาไว้ป้องกัน ‘เบคแคม’ จากการคุกคามโดยอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ ‘ลูกฟุตบอล’ จึงเสื่อมลง!

และเส้นทางที่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกระหว่าง ‘ป๋า’ และ ‘ไอ้เด็กจอมดื้อ’ มีรอยปริร้าว มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อ...

‘เบคแคม’ ได้มีโอกาสพบกับ ‘วิคตอเรีย’ ครั้งแรก หลังเกมที่แมนยูฯ ไปหวดกับเชลซีที่ลอนดอน โดยตอนนั้นทั้งคู่ทำเพียงส่งเสียงทักทายว่า "HI!" ท่ามกลางฝูงนักเตะของปิศาจแดง และพระเอกของเรามันก็ดันเขินอายมากเสียจนไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่แล้วอีกเพียง 2-3 สัปดาห์ต่อมา ให้บังเอิญว่า ‘พอช’ ไปดูเกมที่แมนเชสเตอร์ และทั้งคู่ก็ดันได้มา ‘ป๊ะกัน’ ที่เลานจ์ คราวนี้ด้วยความหมั่นไส้นิดๆ POP STAR สาวคนดังจึงเดินเข้าไปทัก ‘สามีในอนาคต’ ด้วยตัวเองมันซะเลย

แต่ก็อีกนั่นแหละ...กว่า ‘พี่เบค’ แกจะรวบรวมความกล้าออกปากขอเบอร์ ‘พอช’ ได้ ก็โน่นเลยเกือบเลยเวลาเคอร์ฟิว เอ๊ย! ร้านเกือบปิด แถมพ่อหนุ่มยังบอกด้วยความเขินอายด้วยว่า "ผมขออนุญาตโทรหาคุณตอน 11 โมงเช้าพรุ่งนี้นะ" จากนั้นก็กลับบ้านมานั่งๆ นอนๆ ตื่นเต้น จนไม่หลับทั้งคืน (โอว....พี่เบคเราใสกว่าที่คิด)

แต่แล้วเมื่อโทรไปจริงๆ กลับเจออีกฝ่ายตวาดกลับมาว่า "ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ จะไปตายที่ไหนก็ไป" ซึ่งต่อมาภายหลัง ‘พอช’ สารภาพว่า ที่พูดไปแบบนั้น เพราะรำคาญที่สามีท่าเยอะ เอาแต่เล่นองค์มากจนเกินงาม

แต่แล้วพอ ‘พี่เบค’ เราโทรไปงอนง้อขอโทษ และสารภาพว่า ‘พอช’ พี่หลงรักน้องตั้งแต่แรกพบเลยนะจ๊ะ ทุกอย่างก็ END GAME และได้ออกเดตกันครั้งแรกภายในอีกเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา...(จริงๆ บอกไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง)

และจากนั้น ตำนานรักบันลือโลก ‘เบค-พอช’ หนุ่มสาวที่ HOT ที่สุดแห่งยุค 90 ก็เริ่มสปาร์กอย่างเป็นทางการ

ในตอนแรก ทั้งคู่พยายามปิดเรื่องความสัมพันธ์ที่วัยรุ่นยุคนี้เรียกว่า "ก็ดูๆ กันอยู่ แต่อยู่ด้วยกันแล้ว" อย่างมิดชิด ชนิดที่เรียกว่า แม้แต่บรรดานักเตะผีแดงก็ยังไม่รู้ และคิดว่าข่าวที่เล็ดลอดออกมาบ้างตามหน้าหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ต่างๆ เป็นพวก FAKE NEWS ตีไข่ใส่สี เพื่อหวังขายข่าวไปวันๆ แต่แล้วเมื่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งจับภาพหวานของทั้งคู่ พร้อมด้วยรายละเอียดยิบประหนึ่งไปแอบอยู่ใต้เตียงมาเป็นข่าวพาดหัวได้สำเร็จ ทุกอย่างจึงชัดเจน...ว่า ชีวิตของ ‘เบคแคม’ จะไม่ใช่เพียงนักฟุตบอลธรรมดาๆ อย่างที่ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ คาดหวังอีกต่อไป!

‘เบคแคม’ ถูกฝูงปาปารัสซีไล่ติดตามเกาะติดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อหวังจะได้ภาพโดนๆ เช่นอะไรบ้างล่ะ รอยสักใหม่ ผมทรงใหม่ และไอเทมประจำตัวใหม่ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในสนามซ้อม ราวกับเป็นสมาชิกวงบอยแบนด์อะไรสักวง ทำให้ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ ไม่ถูกใจสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั้งคู่เกิดการปะทะกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเรื่องการติดโทรศัพท์ ที่ไอ้หนุ่มเอาแต่จะโทรหาแฟนสาวที่อยู่นิวยอร์ก ในขณะที่อยู่ในห้องแต่งตัวก่อนลงเตะเกมสำคัญ จนถูกสั่งให้ "แกต้องปิดเครื่องบัดเดี๋ยวนี้" หรือการพยายามเตือนสติที่ ‘พี่เบค’ เดินทางไปไอร์แลนด์ถึง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อไปหาแฟนสาว จนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนและฝึกซ้อมเหมือนอย่างเคย

แต่จุดที่กุนซือจอมเฮี้ยบที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลสิ้นหวังกับ ‘เบคแคม’ อย่างที่สุด ก็คือ เหตุการณ์ที่อดีตลูกรักสวมหมวกไหมพรมตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนกินข้าวกับเพื่อนร่วมทีม และกำลังอบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมลงไปเตะในนัดสำคัญนัดหนึ่ง

"เดวิดแกจะไม่ได้ลงเตะ ฉันจะตัดชื่อแกออก หากแกยังไม่ยอมถอดไอ้หมวกไหมพรมบ้าๆ นี่!" ป๋าสั่งอย่างเฉียบขาด

เอาล่ะแม้ ‘เบคแคม’ จะยอมทำตามคำสั่ง แต่สิ่งนั้นกลับทำให้หนุ่ม POP โกรธจัด นั่นเป็นเพราะเขามีแผน GRAND OPENING สกินเฮดที่ตัดมาใหม่กับบรรดาสื่อมวลชนในตอนที่เริ่มลงเตะมากกว่า

‘จอมกุนซือ’ ยอมรับว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ความคาดหวังว่า ‘เบคแคม’ จะพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นสุดยอดนักเตะของโลกพังทลายลง การเลือกที่จะพยายามเป็นเซเลป แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาอยู่ในโรงยิมและฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนตอนที่อายุ 16 ปี ในแบบที่ป๋าเคยเห็น มันไม่มีอีกแล้ว เพราะเขาทิ้งชีวิตนักฟุตบอล เพื่อจะไปเป็น POP STAR แทน

"เดวิด แกกำลังทำอะไรอยู่ลูกเอ๊ย"

และทั้งหมดที่เกิดขึ้น แม้จะไม่เคยเอ่ยออกมาตรงๆ แต่ก็เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่า ‘บุคคล’ ที่ป๋าเฟอร์กี้ต้องการจะสื่อถึงว่าเป็นคนที่ทำให้ลูกรักคนนี้เปลี่ยนไปก็คือ หญิงสาวที่เบคแคมแต่งงานด้วยในปี 1998 นั่นเอง...

ความขัดแย้ง ที่นำมาสู่การ(จำต้อง)อำลา โรงละครแห่งความฝัน

"บางทีคนเราต้องสูญเสียอะไรไปเสียก่อน จึงจะรู้ค่าของสิ่งนั้น ผมไม่เคยถือโทษโกรธ เดวิด เลย อันที่จริงผมชอบเขามาก เขาเหมือนกับลูกชายของผม แต่คนเราไม่ควรละทิ้งสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี"

วาทะของป๋าเฟอร์กี้ในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัว คือ คำจำกัดความของสิ่งที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังต่อมาจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป...

ปี 2003

การถูกไล่ล่าตามติดชีวิตแบบ 24 ชั่วโมง หลังแต่งงานกับ ‘พอช’ เริ่มกลายเป็นเรื่องเลยเถิด มันเลยเถิดขนาดที่ว่า หาก ‘เบคแคม’ ไปร้านฟาสต์ฟู้ด แล้วสั่งแฮมเบอร์เกอร์มากิน ก็จะเป็นข่าวหน้าหนึ่งไปได้ หรือ เอาล่ะ! หากต้องการความเป็นส่วนตัว โดยการเรียกช่างผมมาตัดผมที่บ้าน ก็จะโดนสื่อขุดคุ้ยว่า ตัดผมทรงอะไร ค่าจ้างเท่าไร ก่อนจะไปจบว่า สองผัวเมียคู่นี้ใช้เงินฟุ่มเฟือย โอเวอร์เกินเหตุอยู่เป็นเนืองนิตย์

อ่อ...รวมถึงเมื่อครั้งหนึ่ง ‘พอช’ รำคาญที่ถูกตามตื๊อ จึงพูดไปส่งๆ ว่า "พี่เบคชอบเอซีมิลานและบาร์เซโลนา" รุ่งขึ้นก็กลายเป็นพาดหัวทันทีว่า ‘เบคแคม’ กำลังจะย้ายไปมิลานหรือบาร์เซโลนา จนถูกป๋าเรียกไปอบรมชุดใหญ่

และถึงแม้ ‘เบคแคม’ จะเรียนรู้มาเยอะจากภรรยาสาวสวยในการรับมือกับฝูงยุง และรับมือได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ข่าวคราวที่ออกมาแต่ละเรื่อง มันยิ่งสร้างความขุ่นเคืองระหว่างความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกกับ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองเริ่มมีปากเสียงใส่กันถี่ขึ้น และการที่ ‘เดวิด’ ซึ่งปกติก็เป็นคนดื้อ ไม่ค่อยฟังใครอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ระหองระแหงกันมากขึ้นเข้าไปอีก

จนกระทั่งมันมาถึงจุดสิ้นสุด...

ที่นี่...แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องไม่มีนักเตะคนไหน (ยกเว้น คันโตนา) ยิ่งใหญ่ไปกว่าผู้จัดการทีมและสโมสรแห่งนี้ไปได้ ปรัชญาการทำทีมที่ ‘เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ยึดมั่น และนำพาทีมประสบความสำเร็จมาตลอด 20 กว่าปี

ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่มีข้อยกเว้นกับไอ้ลูกชายที่ชื่อ ‘เดวิด เบคแคม’ ด้วยเช่นกัน!

‘เดวิด’ เริ่มเปลี่ยนไปตอนอายุ 22-23 ปี เขาเริ่มตัดสินใจหลายๆ เรื่อง ที่จะนำไปสู่อุปสรรคต่อการพัฒนาเพื่อให้กลายเป็นสุดยอดนักเตะของโลก นั่นคือ เรื่องที่ ‘เขา’ ทำให้ผมผิดหวังอย่างที่สุด

กุมภาพันธ์ ปี 2003 เอฟเอ คัพ รอบ 5 สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0 อาร์เซนอล 2

‘เดวิด’ ทำไมแกไม่ลงไปช่วยแย่งบอลวะ แกรู้ไหม แกทำให้เราเสียประตู (ลูกที่ 2)? ไดร์เป่าผมอันเร่าร้อนถูกแผดใส่หน้า "ไอ้ลูกชายจอมดื้อ"

‘เบคแคม’ ที่นั่งห่างไปราว 12 ฟุต ยังดื้อเงียบ ไม่แยแสกับถ้อยคำอันเดือดดาลนั้น แถมยังเลือกที่จะสบถใส่เสียด้วย แต่คราวนี้ป๋าจะไม่ทนอีกต่อไป วิ่งปรี่เข้าหาเจ้าของเสียงสบถ ที่ตรงหน้ามีสตั๊ดมากมายกองกันอยู่ แต่เจ้ากรรมขาข้างหนึ่งของป๋าดันไปเตะเข้ากับสตั๊ดข้างหนึ่งอย่างจัง มันแรงจนกระทั่งปลิวไปโดนที่บริเวณเหนือเบ้าตาอันหล่อเหลานั้นเข้าอย่างจังเบอร์

คราวนี้ เด็กหนุ่มหลุดเหมือนกัน พยายามวิ่งปรี่ไปหาผู้ที่เขาเคารพเยี่ยงบิดา แต่โชคดีที่บรรดาเพื่อนร่วมทีมห้ามไว้ทัน ในขณะที่ ‘ป๋า’ ออกคำสั่ง "นั่งลง แกทำให้ทุกคนผิดหวัง อยากเถียงอะไรก็พูดออกมา!" จากนั้นบรรดาเพื่อนร่วมทีมก็ลากไอ้หนุ่มใจร้อนไปหาหมอประจำทีมเพื่อทำแผลทันที

วันรุ่งขึ้น สถานการณ์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังไม่ดีขึ้น แม้ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ จะเรียกไอ้ลูกชายจอมดื้อมาคุย พร้อมกับถามว่า "แกเข้าใจไหมว่า เรากำลังพูดเรื่องอะไรกัน ทำไมฉันถึงต้องเรียกแกมาเตือน" แต่ ณ วินาทีนั้นไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมาจาก ‘เบคแคม’

หนำซ้ำ เจ้าตัวยังยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง โดยการจงใจใช้ที่คาดผมเปิดหน้า ประจานรอยแผลจากปลายสตั๊ดของป๋าแบบชัดๆ ระดับ FULL HD เพื่อให้บรรดาฝูงยุงที่มาห้อมล้อมอยู่เป็นประจำได้ภาพข่าวไปขึ้นหน้าหนึ่ง

"แกจงใจรนหาที่เองชัดๆ ไอ้ลูกชาย ถึงเวลาที่แกต้องไปจากโอลด์แทรฟฟอร์ดแล้ว"

หลังสิ้นสุดฤดูกาลนั้น มันก็เป็นไปอย่างที่เราทราบๆ กัน ‘เดวิด เบคแคม’ จำใจต้องเช็กเอาต์ออกจากถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด ไปร่วมทัพกับทีมอภิมหารวมดาราโลก ‘กาลาติกอส’ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 24.5 ล้านปอนด์

โดยตอนนั้น ‘เดวิด เบคแคม’ มีอายุ 28 ปี ตอนชูเสื้อทีมชุดขาวราชันแห่งยุโรป!

ติดตามรับชม THE LEGEND SERIES ‘เดวิด เบคแคม’ PART 3 ซึ่งเป็นตอนจบได้เร็วๆนี้...

END CREDIT

คุณรู้หรือไม่? ก่อนหน้าที่ ‘เดวิด เบคแคม’ จะยิงลูกไดรฟ์ชู้ตระยะ 60 หลา แจ้งเกิดได้สำเร็จนั้น 10 นาทีก่อนหน้านั้น เขาพยายามลองทำมันแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ป๋าเฟอร์กี้เดือดดาล ถึงกับหันไปบอกกับ ‘ไบรอัน คิดด์’ ผู้ช่วยมือขวา ว่า "หากไอ้หมอนี่มันทำแบบนั้นอีกที ฉันจะเปลี่ยนมันออก"

แต่แล้วเมื่อ ‘เบคแคม’ ทำมันได้สำเร็จ จนกลายเป็นประตูที่สวยที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ‘ไบรอัน คิดด์’ จึงหันมาหา ‘ป๋า’ แล้วถามว่า เราจะเปลี่ยนตัวมันออกไหมครับเจ้านาย? แต่สุดท้ายกลับไม่มี ‘คำตอบ’ กลับมาจากสวรรค์!

ในขณะที่ ‘แกรี เนวิลล์’ เพื่อนร่วมชั้น CLASS OF 92 การันตีแทนเพื่อนรักว่า ลูกยิงนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ก เพราะเพื่อนผมคนนี้ฝึกซ้อมลูกยิงครึ่งสนามแบบนี้ทุกวัน!

คุณรู้หรือไม่? หลังจาก ‘พอช’ ให้เบอร์กับ ‘พี่เบค’ ไปแล้ว เธอขู่ฟ่อๆ ใส่พ่อหนุ่มนักฟุตบอลสุดฮอตเอาไว้ด้วยว่า หากได้เบอร์ไปแล้ว ไม่ยอมโทรมาล่ะก็นะ คราวหน้าที่เจอกัน ฉันจะเตะผ่าหมากใส่นายแน่ๆ! OOPS! (มิน่าพี่เบคไม่เคยมีข่าวว่าแอบไปมีกิ๊กเลยสักคน)

คุณรู้หรือไม่? เบอร์โทรศัพท์ที่พี่เบคได้จาก ‘พอช’ ไปนั้น ‘พอช’ เขียนมันลงไปในตั๋วรถไฟ ก่อนส่งให้ว่าที่สามี และทุกวันนี้เจ้าพ่อฟรีคิกยังคงเก็บมันเอาไว้อยู่ (วู้ๆ โรแมนติกมากๆ) ‘เบคแคม’ ยืนยันเรื่องนี้ในระหว่างการสัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ ในรายการ THE TONIGHT SHOW ของ JIMMY FALLON เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020

คุณรู้หรือไม่? หลังโดนสตั๊ดปลิวใส่หน้า จนต้องระเห็จไปอยู่กับ ‘เรอัล มาดริด’ ในหน้าร้อนปีนั้น ‘เบคแคม’ ให้สัมภาษณ์กับ BBC ในอีกหลายปีต่อมาว่า...

"ผมไม่เคยมีความคิดที่จะย้ายออกจากยูไนเต็ดเลยสักนิด รวมถึงไม่เคยมีความคิดที่จะล้างแค้นใคร (ป๋าเฟอร์กี้) ตอนนั้นผมแค่รู้สึกเจ็บปวดและโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้น รวมถึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพลาดการลงเล่นในอีกหลายๆ นัดในเวลาต่อมา และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นจะทำให้ผมต้องออกจากสโมสรที่ผมรักไป ทั้งๆ ที่ในฤดูกาลนั้นเราสามารถพิชิตแชมป์ลีกได้อีกสมัย และเพราะเรื่องนี้ทำให้ผมไม่อาจทำใจดูเกมที่ยูไนเต็ดลงฟาดแข้งในเกมไหนๆ ก็ตามยาวนานถึง 3 ปี"

และสุดท้าย (สักที) คุณรู้หรือไม่? ‘เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ให้สัมภาษณ์สื่อหลังเหตุการณ์ ‘สตั๊ดบิน’ ในอีก 3 วันต่อมา โดยยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงอุบัติเหตุ และแ_ง ไม่มีทางที่จะเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นอีกได้อีกแน่นอน

ในขณะที่ ‘เบคแคม’ ให้สัมภาษณ์กับ BBC ในปี 2017 ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังผ่านพ้นความโกรธกริ้วมาอย่างยาวนานหลายปี ว่า มันเป็นเพียงอุบัติเหตุที่ผิดพลาด ‘ป๋า’ ไม่มีทางทำได้แบบนั้นอีกแน่นอน เพราะผมก็ไม่เคยเห็น ‘ป๋า’ ทำอะไรแบบนี้ได้ตอนที่นำลูกทีมลงซ้อมเลยสักครั้ง! OOPS! ตัวใครตัวมันนะพี่เบค...

ข่าวอื่นๆ: