"เท่าเทียมที่มีกฎเกณฑ์" ความเจ็บปวด ความโกรธ ฝังรากลึกกว่า 400 ปี ... สู่คดี ‘จอร์จ ฟลอยด์’ และเมื่อ ‘ทรัมป์’ กลายเป็นตัวปัญหา ที่เติมเชื้อไฟความขัดแย้งจนลุกลาม ทางเดียวที่หยุดยั้ง คือ รื้อระบบยุติธรรม
ความเจ็บปวด ความโกรธ ไม่เคยหายไปไหน ยังคงฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของพวกเขามานานนับ 400 ปี แม้ข้ามผ่านสู่ศตวรรษที่ 20 สังคมเสรี ระบบโลกทุนนิยม กลับไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้เพียงเศษเสี้ยว และในวันนี้ คดี ‘จอร์จ ฟลอยด์’ ชายผิวสี ที่ถูกตำรวจจับกุมในข้อกล่าวหาพยายามใช้ธนบัตรปลอมในร้านค้า ด้วยการจับนอนแล้วใช้เข่ากดทับที่ลำคอกดลงกับพื้น ... เสียชีวิต ... ก็กลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวอเมริกัน ที่ไม่ใช่แค่การเรียกร้องเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
ถอดรหัส "ม็อบสหรัฐฯ" กับการ "เหยียดผิว" ที่ฝังรากลึก 400 ปี กับ ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และการเมืองสหรัฐอเมริกา
ย้อนสู่ต้นตอ "ทาส" และ "ความเจ็บปวด"
ในประวัติศาสตร์ ‘อเมริกา’ มีแต่บอกว่าเป็น ‘คนผิวขาว’ มาจากอังกฤษ แต่จริงๆ แล้วในกลุ่มคนที่มาร่วมตั้งอเมริกามี ‘คนผิวสี’ มาด้วย มาแบบเป็นทาส ถูกซื้อมา และมาตั้งแต่ปี 1619 (พ.ศ.2162) เป็นทาสกลุ่มแรก 20 คน ที่อาณานิคมเวอร์จิเนีย
และเมื่อ ‘คนผิวขาว’ จะเอา ‘คนผิวสี’ เป็นทาส ก็ได้เขียนกฎหมายที่ห้าม ‘คนผิวสี’ ประท้วง ... จนกระทั่ง ทำให้เหมือนกับว่า "ไม่มีความเป็นคน"
...
แม้ว่าภายหลังจะมีการ "เลิกทาส" ไปแล้ว แต่ ‘คนผิวขาว’ โดยเฉพาะทางภาคใต้ กลับไม่ยอม มีการสร้างกฎหมายที่เรียกว่า Segregation คือ การแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรม ... แต่เมื่อรัฐธรรมนูญให้เลิกทาสแล้ว ‘คนผิวสี’ ต้องเป็น "พลเมือง" และการเป็นพลเมืองเท่ากับมีสิทธิตามกฎหมาย ดังนั้น จึงมีการแก้กฎหมายลูก กฎหมายรัฐ ที่จะมา "แบ่งแยก" พวกเขาออกไป
นึกภาพออกหรือไม่ว่าการ "แบ่งแยก" เป็นอย่างไร?
"แบ่งแยก" ที่ว่าคือ สถานที่ที่เป็นของทางราชการ หรือของส่วนรวม เช่น รถโดยสารสาธารณะ ห้ามไม่ให้ ‘คนผิวสี’ มานั่งในที่ที่ไม่ได้แบ่งให้ ส่วนสถานที่ที่จัดแบ่งให้ก็ให้ใช้ร่วมกัน เช่น โต๊ะคนผิวสี โรงอาหารคนผิวสี ส่วนรถไฟก็มีการแบ่งชั้นคนผิวสี ชั้นคนผิวขาว ทุกแห่งหนในอเมริกามีการ "แบ่ง" หมด
เรียกว่า "เท่าเทียม" แบบ "แบ่งแยก"
ที่สำคัญ ศาลรัฐธรรมนูญของอเมริกาก็ "ยอมรับ" ด้วยเหตุผลว่า "ถูก" สามารถใช้ได้ ทำได้ เพราะ ‘คนผิวสี’ มีระดับสติปัญญาน้อยกว่า พร้อมกับอ้างทฤษฎี ‘ชาร์ลส์ ดาร์วิน’ ว่า การอยู่รอดของมนุษยชาติต้องให้คนที่ได้เปรียบเป็นคนสร้าง ช่วยเหลืออุปถัมภ์คนที่ด้อยปัญญา ด้อยโอกาส นี่คือ ทฤษฎีอุปถัมภ์ที่ใช้กับ ‘คนผิวสี’ มาตลอด
ชาวอเมริกันไม่ได้เกลียด ‘คนผิวสี’ แต่ต้องการให้ "เชื่อฟัง"
หมายความว่า หาก ‘คนผิวสี’ อยู่แบบเชื่อฟัง ก็สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่มีปัญหา แต่ทันที่ ‘คนผิวสี’ ไม่ยอมรับฐานะนั้น เรียกร้องความเท่าเทียมทางกฎหมาย ความเท่าเทียมทางมนุษย์ ...การทุบตีก็จะเกิดขึ้น!!
การมองคนไม่เป็นคน... จากระบบทาส สู่ระบบ Racism (เหยียดเชื้อชาติ)
แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะให้ความเท่าเทียม รวมถึงสิทธิทางการเมืองด้วย แต่ ‘คนผิวสี’ กลับไม่เคยได้รับ เพราะกฎหมายลูกของแต่ละรัฐมีการขีดไว้ว่า ถ้า ‘คนผิวสี’ จะเลือกตั้งต้องลงทะเบียน เมื่อลงทะเบียนแล้วก็ต้องสอบความรู้ทางภาษา และคำถามที่ว่า "จ่ายภาษีกี่บาท?"
แน่นอนว่า ‘คนผิวสี’ สอบตกหมดเลย!!
นั่นเพราะ ‘คนผิวสี’ ไม่มีเงิน ภาษีก็จ่ายไม่ถึงเกณฑ์ เมื่อไปสอบความรู้ เจ้าหน้าที่ก็นำหนังสือพิมพ์กลับหัวกลับหางมาให้อ่าน หรือหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ตัวหนังสือเล็กมาก
...
จงใจกีดกันไม่ให้ ‘คนผิวสี’ ลืมตาอ้าปาก แม้แต่นิด ‘คนผิวขาว’ ก็ไม่ยอม ...จนกระทั่ง ปี 1960 (พ.ศ.2503) ที่ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นำขบวน Civil Rights Movement ถูกเจ้าหน้าที่ทุบตีเกือบตาย ในที่สุดแล้ว... กลายเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก
รัฐบาลเสียหน้า!!
ประกาศให้ออกกฎหมายเลือกตั้ง ปี 1964 (พ.ศ.2507) เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ ‘คนผิวสี’ ได้ไปเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ได้สิทธิเต็มที่ ... ยังคงอยู่ข้างล่างของสังคมตลอดเวลา
‘คนผิวสี’ เป็นพลเมืองอเมริกันที่เสียเปรียบมากที่สุดในกลุ่มคนที่อาศัยในอเมริกา ทุกกลุ่มก้าวผ่านไปหมดเลย ไม่มีคนผิวสีไหนที่ติดชะงักนานเท่ากับ ‘คนผิวสี’
แม้ศตวรรษที่ 20 จะดูเหมือนความเจ็บปวดใกล้จางหาย แต่กลับไม่ใช่... ทุกความรู้สึกเพียงแค่ถูกกดไว้ภายในใจเท่านั้น
หมอกควันความเท่าเทียม... "ความเท่าเทียมที่มีกฎเกณฑ์"
ศ.ดร.ธเนศ ขยายความนิยามนี้ว่า ‘คนผิวสี’ โดนหนักกว่าคนผิวเหลือง เพราะมี ‘อคติ’ แล้วฝังแน่นเป็น Racism (เหยียดเชื้อชาติ) ที่อยู่ในหัวของ ‘คนผิวขาว’ ว่า ‘คนผิวสี’ ทำอะไรก็เชื่อไม่ได้ หลอกลวง โกง ใช้กำลังรุนแรง พูดง่ายๆ ไม่มีอะไรที่มองในแง่บวก (Positive) เลย และในแง่สังคมต่างๆ ระบบการศึกษาก็จะอธิบายว่า ‘คนผิวสี’ เป็นเชื้อชาติที่มีปัญหาตลอดในอเมริกา คือ ‘คนผิวสี’ ตกเป็นผู้ต้องหาทั้งในแง่ทางการเมือง กฎหมาย การปราบปราม และอาชญากรรม รวมถึงทางวิชาการด้วย แม้ว่า คนผิวเหลือง คนเอเชีย จะถูก Racism ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถูก Racism แบบเป็นระบบ เกิดจนตาย ทุกๆ ก้าว ถูก Racism เป็นชั้นๆ ตลอดเวลา
...
การเรียกร้องจึงบังเกิดขึ้น สะท้อนความลึกซึ้งของปัญหา
ปัญหาที่ลึก... เป็นปัญหาโครงสร้าง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาวัฒนธรรม และที่สำคัญ คือ กระบวนการยุติธรรม
ที่เป็นใจกลางของการเรียกร้อง ปี 2020 (พ.ศ.2563)
ปัญหาเศรษฐกิจช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา คนที่แบกรับความไม่เท่าเทียม หรือแม้แต่การกระจายรายได้ที่ไม่ได้เท่าที่ควรจะได้ คือ ‘คนผิวสี’
ศ.ดร.ธเนศ มองว่าการออกมาเรียกร้องที่ลุกลามในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งสะท้อนถึงความขัดกัน ที่เรียกว่า Paradox ของระบบยุติธรรมแบบใหม่
เมื่อเมืองขยายตัวขึ้น ก็มีคนอพยพเข้ามาในอเมริกามากขึ้น เกิดความขัดแย้งในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา รวมถึงการทำมาหากินต่างๆ แล้วก็เกิดคดีอาชญากรรมมากขึ้นด้วย กลายเป็นสูตรสำเร็จที่ว่า "ที่ไหนมีความไม่พร้อม ขาดแคลนอะไรต่างๆ จำนวนมาก ก็จะมีความไม่ยุติธรรมมาก ยาเสพติดเข้าได้เร็วที่สุด"
ความยากจน ผลัก ‘คนผิวสี’ เข้าสู่ช่องทางยาเสพติด และกลายเป็น "เหยื่อ"
ทำให้นโยบายรัฐบาลอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ‘บิล คลินตัน’ เน้นการใช้ระบบยุติธรรมแบบใหม่ หรือ Criminal Justice System ที่พยายามปฏิรูประบบตำรวจ ศาล อัยการ ลูกขุน ที่ว่า "ถ้ากฎหมายแข็งแรง อาชญากรรมต้องลด"
...
และอาชญากรรมในอเมริกาก็ลดจริง!!
แต่... เป็นการลดที่เพิ่มการบังคับใช้ความยุติธรรมการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะตำรวจกระทำต่อผู้ต้องหา ซึ่งหลายคดีพบว่า ตำรวจแค่สงสัย ก็สามารถหยุด แล้วใช้ทุกวิธีทางเพื่อนำไปสู่การจับ
ตัวอย่างที่ ศ.ดร.ธเนศ ยกให้เข้าใจง่ายๆ คือ ตำรวจขอหยุดรถ ขอตรวจเอกสารต่างๆ และห้ามวางบุหรี่หรือสูบภายในรถ แต่คนที่ถูกเรียกกลับมองว่า รถของเขา สูบไม่ได้เหรอ เมื่อตำรวจบอกนี่เป็นคำสั่ง ต้องหยุด พอไม่หยุดก็จะเปิดประตูลากออกมา แล้วทุบตี และตาย... เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา ทีนี้ก็มีการคิดต่อมาว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิบัติลักษณะดังกล่าว เป็นเพราะ "ระบบศาล" ตั้งแต่ศาลท้องถิ่นไปจนถึงศาลสูง ที่มีการตัดสินในทางที่เป็นคุณกับตำรวจผู้ใช้อำนาจทางกฎหมาย ถือว่าทำตามหน้าที่
"อัยการและศาลบอกว่า เขาทำไปตามกระบวนการ มีการขัดขืน จึงใช้กำลัง ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่า การใช้กำลังเป็นการตั้งใจที่จะ Discriminate คือ กระทำเพื่อเหยียดผิว"
ภายหลังรัฐบาลอเมริกาออกมาบอกว่า เขาใช้กฎหมาย Color-Blind คือ "ไม่มีสี" นี่เป็นศัพท์ใหม่ของพวก Racism (เหยียดเชื้อชาติ) เขารู้ว่าอะไรที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสีผิว เกี่ยวกับการเหยียดหยาม ต้องไม่พูด เพราะถือเป็นหลักฐานที่จะมัดได้ว่า คุณทำด้วยความรู้สึกที่ Discriminate (แบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว ชาติพันธุ์) นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ศาลลงโทษไม่ได้
ผ่านมาจนถึงยุค ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีอเมริกาคนแรกที่ส่งเสริม ‘คนผิวขาว’ ให้ออกมาใช้ Supremacy (อำนาจสูงสุด) คือ ความเหนือกว่า
ซึ่ง ‘ทรัมป์’ ไม่ฉลาดที่เลือกใช้คำนี้!!
ในอดีต สมัยที่ยังมีทาสอยู่ ศัพท์ White Supremacy ใช้ในการต่อต้าน ‘คนผิวสี’ ดังนั้น มันเป็นคำที่เชื่อมโยงไปกับการดูถูกเหยียดหยาม ‘คนผิวสี’
White Supremacy มีกระบวนการที่เรียกว่า KKK หรือ Ku Klux Klan ก่อตั้งมาเพื่อฆ่าล้างพันธุ์ ‘คนผิวสี’ อย่างเดียวเลย
และในวันนี้ ปี 2020 (พ.ศ.2563) ‘ทรัมป์’ ก็ได้ออกมาสนับสนุนกระบวนการในทางอุดมการณ์
จากข้อความที่ ‘ทรัมป์’ ทวีตมีคำว่า looting การปล้นร้านต่างๆ ตามมาด้วย Shooting ตำรวจก็ต้องยิง เป็นคำพูดของตำรวจในไมอามี่เมื่อปี 1967 (พ.ศ.2510) นั่นเท่ากับว่า ‘ทรัมป์’ กำลังบอกให้ตำรวจจัดการขั้นเด็ดขาดเลยอย่างนั้นใช่หรือไม่?
"รื้อฟื้นระบบยุติธรรม" หยุดยั้งปัญหาฝังราก "เหยียดผิว"
ศ.ดร.ธเนศ มองว่า ปัญหาแรกที่จะเกิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งนี่เป็น "โจทย์แรก" ที่จะให้มีการ "รื้อฟื้นระบบยุติธรรม" แต่การจะทำได้ "รัฐบาลกลาง" ต้องเอาด้วย และต้องส่งสัญญาณ ฉะนั้น การเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนจะสามารถเปลี่ยน ‘ทรัมป์’ ได้ไหม
แต่การชนะเลือกตั้ง ชนะ ‘ทรัมป์’ อย่างเดียวไม่พอ เพราะย้อนไปสมัย ‘บารัค โอบามา’ คนผิวสีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอเมริกา ก็ทำให้หลายคนผิดหวังจากการที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้ ดังนั้น คนที่ชนะเลือกตั้งจึงต้องไปนั่งฟังชาวบ้านที่ถูกกระทำ แล้วเอาความเจ็บปวด (Pain) และความโกรธ (Angry) มาทำเป็นกฎหมาย.
ข่าวอื่นๆ :
- 30 วิฯ มีมูลค่า คุยกับ "เบลล์" นักพากย์โฆษณา หน้าเป๊ะ เสียงหล่อ
- เรื่องเล่าน้ำตาซึม "เจ ชนาธิป" ฝันใหญ่ จากนักฟุตบอลตัวเล็ก
- ฮึด ซ้อม กร่อย! เปิดใจ "กวินทร์" มือกาวซัปโปโร ผจญโควิดในญี่ปุ่น
- The World of the Married ผู้หญิงเกาหลีใต้ ตราบาป "การหย่าร้าง"
- รื้อ! สมการทุนนิยม เปลี่ยน Supply Chain สู่ชาตินิยม โลกแตกแยก 5 ปีฟื้น