ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘พญามังกร’ และ ‘พญาอินทรี’ กำลังถูกสั่นคลอนอีกครั้ง หลัง "สงครามการค้า" ที่ทั้งคู่เคยเปิดศึกแลกหมัดกันมาก่อนหน้านี้ และอยู่ระหว่างพักรบชั่วคราว มีแรงกระตุ้นครั้งใหม่จากสิ่งที่ "มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า" แต่ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วนับล้านๆ ศพ หนำซ้ำ! ยังทำให้สิ่งมีชีวิตผู้ทรงภูมิปัญญาต้องทนทุกข์ทรมานจากการต้องตกงานอีกหลายสิบล้านคนทั่วโลก
1. Chinese Virus!
2. อุบัติเหตุในห้องแล็บเมืองอู่ฮั่น ทำให้ ‘โควิด-19’ (Covid-19) ที่ผ่านการตกแต่งพันธุกรรม หลุดออกมา
3. เป็นเพราะรัฐบาลจีนปกปิดข้อมูล ทำให้ ‘โควิด-19’ ระบาดลุกลามไปทั่วสหรัฐฯ
4. WHO เข้าข้างรัฐบาลจีน เป็นผลให้การทำงานเกิดความผิดพลาด จนทำให้สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ
5. ไวรัส ‘โควิด-19’ เกิดขึ้นในประเทศจีน เพราะฉะนั้น จีนต้องรับผิดชอบและจ่ายค่าเสียหายให้กับชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบ
นี่เป็นแค่เพียง "น้ำจิ้ม" ที่ประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ แห่งสหรัฐฯ และ ‘ไมค์ ปอมเปโอ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ งัดขึ้นมาฟาดใส่ ‘พญามังกร’ หลังโรคโควิด-19 (Covid-19) คร่าชีวิตอเมริกันชนไปแล้ว 91,981 ศพ และติดเชื้อ 1,550,294 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 19 พ.ค. 63 โดย worldometer) ตกงานอีกร่วมประมาณ 36.6 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พ.ค. 63 โดย FINANCIAL TIMES)
...
เมื่อฟาดมาใส่ซะแรงขนาดนี้ มีหรือ "พญามังกรแห่งเอเชีย" จะนิ่งเฉยอยู่ได้... ปรากฏการณ์ China strikes back จึงอุบัติขึ้น!
"คุณหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา
และหลอกบางคนได้ตลอดเวลา
แต่คุณไม่สามารถหลอกทุกคนได้ตลอดเวลา"
คำคมของประธานาธิบดี ‘อับราฮัม ลินคอล์น’ ผู้ปลดเปลื้องประเทศสหรัฐอเมริกาจากการ "กดขี่ทางชนชั้น" จึงถูกปล่อยออกมาจากปากของ ‘จาว ลี เจียน’ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน จากนั้นจึงตามด้วย "ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง" ทะลวงกรีดซ้ำ ด้วยการเรียกทุกสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาป้ายสีว่า "ความโป้ปด 24 ข้อ" (นี่เป็นฉบับย่อเพื่อความเข้าใจ ส่วนข้อมูลทั้งหมดสามารถติดตามอ่านได้ ดังลิงก์นี้ : Reality Check of US Allegations Against China on COVID-19 By Ministry of Foreign Affairs of the People’s Republic of China)
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศ ดำเนินมาถึง "จุดขัดแย้ง" จนถึงขั้นเปิดสงครามน้ำลายสาดใส่กัน และน้ำลายที่ว่านี้กำลังจะนำพาไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชาติ ที่อาจจะตกทอดจาก "รุ่นสู่รุ่น" ในบั้นปลาย...
การเปิดศึก "วันดวลน้ำลาย"
มันเริ่มขึ้นเมื่อไร?
ในช่วงแรกๆ รัฐบาลจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั้งภายในและภายนอก ในเรื่องการจัดการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (Covid-19) และมันเริ่มหนักขึ้น เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาร่วมผสมโรงด้วย แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงนั้นรัฐบาลปักกิ่งยังคงพยายาม "นับหนึ่งถึงสิบ" ไม่ค่อยออกมาแสดงท่าทีตอบโต้ต่อข้อกล่าวหาใดๆ มากนัก
แต่แล้วเมื่อเข้าเดือนมีนาคม สถานการณ์ในประเทศจีน "เริ่มดีขึ้น" แต่ "ไวรัส" เจ้ากรรมดันระบาดออกไปทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปตะวันตก ที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงรุนแรงที่สุด นั่นแหละ ‘พญามังกร’ จึงค่อยๆ แหวกม่านไม้ไผ่ออกมาตอบโต้ ‘พญาอินทรี’ ต้นตอของสารพัด "ข้อกล่าวหา" และ "มหึมาข่าวลือ" ทั้งหลาย
...
โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน "ชิงลงมือ" ด้วยการปล่อยทวีต "สร้างทฤษฎีสมคบคิด" ขึ้นมาใหม่ว่า ไวรัสโควิด-19 (Covid-19) แท้จริงแล้วน่าจะเป็น "อาวุธชีวภาพ" ที่ถูกสร้างขึ้นโดย "กองทัพสหรัฐฯ" เสียมากกว่า โดยการนำ "คลิป" คำให้การต่อสภาคองเกรสของ ‘โรเบิร์ต เรดฟอร์ด’ ผู้อำนวยการศูนย์การควบคุมโรคและการป้องกันสหรัฐฯ หรือ CDC ที่ระบุว่า พบผู้เสียชีวิตบางรายในสหรัฐฯ เกิดจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (ซึ่งในเวลาต่อมา คือ โควิด-19) มาใช้ประกอบการกล่าวอ้าง จนทำให้ทวีตดังกล่าวถูกรีทวีตไปมากกว่า 300,000 ครั้ง
แต่ฉับพลันทันใด ท่านผู้นำ ‘ทรัมป์’ ก็ออกมาตอบโต้ด้วยการ "เชือดนิ่มๆ" ทฤษฎีสมคบคิดนี้ ด้วยการเรียก "เจ้าไวรัสร้าย" นี้เกือบทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์ว่า "Chinese virus" ทันที! โดยมีเป้าประสงค์เพื่อหวังตอกย้ำชาวสหรัฐฯ และชาวโลก ว่า ต้นตอของ "มัน" อยู่ในเมืองจีนต่างหากล่ะ
...
"มหกรรมสงครามน้ำลาย" ระหว่าง ‘พญามังกร’ และ ‘พญาอินทรี’ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..
พูดแบบนี้ ไหนล่ะหลักฐาน? มีไหมเอามาโชว์ให้ดูหน่อย...
เมื่อสงครามจุดติด กระสุนน้ำลายถูกยิงรัวเข้าใส่กันแบบไม่ยั้ง ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ทั้งท่านผู้นำทรัมป์และคู่หูรัฐมนตรีต่างประเทศ ต่างประสานเสียงตอกย้ำว่า รัฐบาลจีน "ล้มเหลวอย่างยิ่ง" ในการจัดการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด รวมถึงตั้งคำถามเกี่ยวกับการรายงานเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิต ว่า มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่ "พีคของพีคที่สุด" คือ ทั้งคู่ยังคงยืนกรานว่า Covid-19 เกิดจากห้องแล็บในเมืองอู่ฮั่น
...
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อถูกสื่อมวลชนยิงคำถามกลับว่า ข้อกล่าวหานี้ "มีหลักฐาน" ที่ยืนยันได้หรือไม่ "ทั้งคู่" ก็มักจะ "บ่ายเบี่ยง" ที่จะพูดถึงทุกครั้งเช่นกัน
ก็แค่ "เทคนิคหาเสียงโบราณ" ช่วงใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดี ‘พรรครีพับลิกัน’ เขาถนัดนัก!
นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลปักกิ่งตอบโต้ "สองสหาย" ผ่านสื่อกระบอกเสียงในมือ พร้อมกับย้ำว่า สิ่งที่ ‘พรรครีพับลิกัน’ พรรคเดียวกันกับท่านผู้นำทรัมป์ มักนิยมใช้เสมอๆ คือ การสร้าง "วาทกรรมทางการเมือง" เรียกฝ่ายตรงข้ามว่า "ปิศาจ" บ้างล่ะ "บ้าคลั่ง" บ้างล่ะ อยู่เป็นเนืองนิตย์อยู่แล้ว!
ฟังแล้วคุ้นๆ เหมือน "พฤติกรรมของนักการเมือง" ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จัง!
Covid-19 เกิดในประเทศจีน จนทำให้สหรัฐฯ และชาวโลกเดือดร้อน จีนต้องรับผิดชอบ!
อย่างไรก็ดี หลังเปิดฉากฟาดฟันกันด้วย "น้ำลาย" มาสักพัก ประธานาธิบดีทรัมป์ "กลับไม่ยอมหยุดลงเพียงเท่านั้น" และสิ่งที่พยายามทำต่อมา ดูจะยิ่งทำให้ "ระดับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ" เสื่อมทรามลงไปอีก
เมื่อ "ท่านผู้นำ" พยายามกำหนดแผนระยะยาวสำหรับ "ลงโทษรัฐบาลจีน" ที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็นต้นตอของการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะเป็นทั้ง "การแซงก์ชันทางเศรษฐกิจ" "การยกเลิกภาระหนี้ของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน" "การกำหนดนโยบายด้านการค้าขึ้นมาใหม่" รวมไปจนกระทั่งถึงการเชิญชวน "ประเทศพันธมิตร" มาร่วมใน "แคมเปญต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง" ด้วย
ระดับความสัมพันธ์ระหว่าง ‘วอชิงตัน’ และ ‘ปักกิ่ง’ ตกต่ำที่สุดในรอบ 48 ปี
นับตั้งแต่ประธานาธิบดี ‘ริชาร์ด นิกสัน’ "ใช้การทูตปิงปอง" จนสามารถเริ่มสานสัมพันธ์กับ "รัฐบาลปักกิ่ง" ได้สำเร็จเมื่อปี 1972 เป็นต้นมา ชนวนเหตุความขัดแย้งเรื่องโควิด-19 (Covid-19) ทำให้ระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน มาถึงจุดที่ "เสื่อมทรามลงมากที่สุด" หากพิจารณาจากจำนวนความวิกฤติที่ทั้ง 2 ประเทศ "เคยต้องเผชิญหน้ากัน" ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นาย ‘ซือ ยิน ฮง’ ที่ปรึกษารัฐบาลจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ความเห็นที่น่าสนใจเอาไว้ว่า
"มันไม่ใช่ครั้งแรก" ที่ผ่านมา ปักกิ่งและวอชิงตันเคยเผชิญหน้ากันมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น "เหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน" เมื่อปี 1989, "เหตุการณ์เครื่องบินรบนาโตทิ้งระเบิดใส่สถานทูตจีนในกรุงเบลเกรด" เมื่อปี 1999, "เหตุการณ์ปะทะกันทางอากาศระหว่างเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐฯ กับเครื่องบินรบของกองทัพจีน" เมื่อปี 2001 หรือ "วิกฤติซับไพร์ม" ในปี 2008
แต่นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา สหรัฐฯ และจีน ดูเหมือนพร้อมที่จะนำประเทศเข้าสู่โหมด "การแข่งขันในทุกรูปแบบ" ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องเทคโนโลยี การค้า การเมือง แต่แล้วระดับ "ความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน" ได้ขยายลุกลามออกไปมากขึ้น หลังการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (Covid-19)
กระแส "รักชาติฟีเวอร์" มาตรวัดรอยร้าวภายใต้ความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน
หากใครยังไม่ทราบทัศนคติของ "ชาวอเมริกัน" ที่มอง "ชาวจีน" ในแง่ลบกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ บนดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว นับตั้งแต่ท่านผู้นำทรัมป์ขึ้นเถลิงอำนาจตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา
โดยประเด็นนี้ สามารถพิสูจน์ได้จากโพลล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ของสำนักวิจัย Pew Research Center ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสำรวจพบว่า "ชาวอเมริกัน" รู้สึกไม่ชอบ "ชาวจีน" สูงถึง 66% ซึ่งตัวเลขนี้ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุด ตั้งแต่เริ่มมีการทำการสำรวจในปี 2005 เป็นต้นมา และเฉพาะในช่วงที่ "ท่านผู้นำทรัมป์" ขึ้นบริหารประเทศนั้น ทัศนคติ "ชังอาตี๋ อาหมวย" ของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นสูงสุดถึงเกือบ 20% อีกด้วย
และแทบไม่แตกต่างกัน กระแสรักชาติฟีเวอร์และต่อต้านชาวต่างชาติในหมู่ชาวจีนก็กำลังคุกรุ่นจากการถูกกระตุ้นโดยถ้อยแถลงผ่านสื่อของทางการจีนที่มักแฝงไปด้วยความ "ดราม่า" ที่แสดงออกถึง "ความรู้สึกขมขื่นใจ" ของชาวจีนต่อ "ความสูญเสียและความเสียสละอันยิ่งใหญ่" ในระหว่างการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 แต่กลับถูก "รัฐบาลต่างชาติ" ชี้นิ้วต่อว่าต่อขานว่า "ยังแก้ไขปัญหาได้ไม่ดีพอ"
ปัจจุบัน คนในประเทศจีนกำลังรู้สึกว่า "ชาติพันธุ์" ของตัวเองกำลังถูกโจมตี "พวกเขา" จึงต้องลุกขึ้นมาปกป้องและส่งเสียงเรียกร้องนี้ออกไปให้ดังมากพอ
ซึ่งประเด็นนี้สามารถพิสูจน์ได้จากเมื่อสำนักข่าวซินหัวได้โพสต์วิดีโอแอนิเมชันตัวเลโก้ที่มีเนื้อหาถากถางความล้มเหลวในการรับมือการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการปรบมือต้อนรับอย่างเกรียวกราวในหมู่ชาวจีน
อะไรคือ "เป้าหมาย" การโหมกระแสสร้างปฏิกิริยาต่อต้านจากนานาชาติเข้าถล่มปักกิ่ง
ในช่วงของการแพร่ระบาดเห็นได้ชัดว่า สหรัฐฯ พยายาม "จุดพลุ" ใช้ไวรัสเข้าโจมตีรัฐบาลปักกิ่งอย่างดุเดือด เพื่อหวังให้เกิดกระแสต่อต้านประเทศจีนลุกลามขยายวงกว้างออกไปในทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรปหรือแอฟริกา จนกระทั่งส่งผลกระทบทางการทูตระหว่างรัฐบาลปักกิ่งและนานาชาติในที่สุด
โดยกลยุทธ์ "ตอกลิ่ม" ผ่านการพูดย้ำ ย้ำ และย้ำบ่อยๆ ก็เช่นว่า
1. กล่าวหาว่า รัฐบาลจีนปกปิดข้อมูลเรื่องการแพร่ระบาด และต้องยอมให้องค์กรนานาชาติเข้าไปตรวจหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของไวรัส
กลุ่มเป้าหมาย : ชาวอเมริกันและยุโรป
2. เรียกร้องให้รัฐบาลจีนต้องจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่พังพินาศลงจากโควิด-19
กลุ่มเป้าหมาย : ชาวอเมริกันและยุโรป
3. กล่าวหาว่า รัฐบาลจีน "แบ่งแยกชาติพันธุ์" ด้วยการต่อต้านและไม่ให้ความช่วยเหลือชาวแอฟริกันที่ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ
กลุ่มเป้าหมาย : ชาวแอฟริกัน
นั่นเป็นเพราะพญาอินทรี "หยั่งถึง" จุดยืนอันแข็งแกร่งของรัฐบาลจีน ที่ยึดมั่นในเรื่อง "ศักดิ์ศรีของระบบการปกครองแบบจีนที่จะต้องมีเสถียรภาพและยั่งยืน" นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ‘ปักกิ่ง’ พยายามปกป้อง "ภาพลักษณ์ของตัวเอง" ที่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงผ่านวิธีวิถีทาง ทางการทูตมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการส่งหน้ากากอนามัย ผู้เชี่ยวชาญ และอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากออกไปให้ความช่วยเหลือประเทศต่างๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตก แต่ก็ยังไม่วายจะมีเสียง "ติฉินนินทา" จากชาติที่ได้รับความช่วยเหลือ (หลายประเทศในยุโรป รวมถึงบางรัฐในสหรัฐอเมริกา) ตามมาอยู่ดี ว่า เป็นเพียง "การทูตหน้ากาก" ที่หวังกลบเกลื่อนความผิดบาปจากการปกปิดข้อมูลโควิด-19 อยู่ดี
และเมื่อประกอบกับบรรดาสายพิราบทางการทูต ที่ในระยะหลังเริ่มมีท่าทีอันแข็งกร้าวในการตอบโต้ "ข้อกล่าวหา" และ "สารพัดข่าวลือ" ต่างๆ
จึงทำให้บรรดานักวิเคราะห์เริ่มกริ่งเกรงกันแล้วว่า หลังจากที่ปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (Covid-19) ผ่านพ้นไป ตะกอนแห่งความหวาดระแวงและความหวาดกลัวจาก "สงครามวันดวลน้ำลาย" ที่สาดใส่กันนี้ จะตรึงแน่นอยู่ในหัวใจของทั้งชาวจีนและชาติตะวันตก จากรุ่นสู่รุ่น กันมากน้อยเพียงใด
หรือไม่...บางที มันอาจจะไม่มีวันลบเลือนไปได้อีกเลยก็เป็นได้!
ข่าวอื่นๆ :
- ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ 3 ทางออก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฟาดแข้งแบบปิด
- โยน ไถล ไม่สนโลก make America สู้โควิด โดนัลด์ ทรัมป์ สไตล์
- ล้วงลึกวัยเด็ก "คิม จอง อึน" โดดเดี่ยวคลั่ง "จอร์แดน" กับปริศนาการหายตัว
- ถอดบทเรียน “ไต้หวัน” 4 รหัสความสำเร็จเหลือเชื่อ สยบโควิด-19
- สาวไทยในเยอรมนี เล่ามุม Lockdown เมืองชายแดน เผยทางรอดร้านอาหารไทย