แม้ไทยจะมียอดผู้ติดเชื้อ ‘โควิด-19’ (COVID-19) ไม่มากเท่าประเทศอื่นๆ อย่างเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น แต่ผลกระทบก็แทบไม่ต่างกันนัก แหล่งช้อปปิงดังๆ เงียบเหงาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อยู่ในภาวะที่เสี่ยงเจ๊ง เสี่ยงล้ม

เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ‘ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์’ ได้ลงพื้นที่สำรวจบริเวณแหล่งช้อปปิงชื่อดังใจกลางกรุงเทพมหานคร อย่าง ‘สยามสแควร์’ ก็พบว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยความเงียบเหงา นักท่องเที่ยวลดน้อยลง แตกต่างจากช่วงปกติที่จะมีคนมาเดินช้อปปิงกันตลอดแทบทั้งวัน

"เงียบมาก คนเดินน้อย ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง คนจีนไม่มีเลยหายหมด"

หนึ่งเสียงจากร้านขายเสื้อผ้าภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ที่บอกกับทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ว่า รายได้ลดลงมาก จากเดิมที่เคยขายได้หลักหมื่น พอมาช่วงนี้เพียงวันละ 1,000 บาทก็ยังยาก และบางวันขายไม่ได้เลยก็มี ยอมรับว่า ตลอด 16 ปีที่ขายอยู่ตรงนี้ เพิ่งเจอหนักสุดก็เคส ‘โควิด-19’ นี้ล่ะ ขนาดว่าไปซื้อของที่ประตูน้ำ แหล่งที่มีคนพลุกพล่านทั้งไทยและต่างชาติก็ยังไม่มีคนเลย ต้องปรับตัวด้วยการไม่รับสินค้าเพิ่ม ขายเท่าที่มี และลดราคาสินค้าเพื่อให้ขายออก

...

นี่ไม่ใช่เพียงร้านเดียวที่ได้รับผลกระทบจาก ‘โควิด-19’ หลายๆ ร้านก็เป็นเหมือนกันหมด บางร้านถึงกับขีดเส้นตาย หากอีก 1 เดือน สถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็จะไม่ขายต่อแล้ว เพราะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว

แต่จากที่ทีมข่าวเฉพาะกิจฯ สังเกตนักท่องเที่ยวที่มาเดินภายในห้างฯ ก็เป็นดั่งที่พ่อค้าแม่ค้าบอก คือ นักท่องเที่ยวจีนลดลงไปมากจริงๆ เท่าที่เห็นก็มีนักท่องเที่ยวฝั่งยุโรปที่ยังพอมาเดินเที่ยวกันบ้าง

ซึ่งเจ้าของร้านขายของฝากที่อยู่บริเวณนั้น ก็บอกกับทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ว่า เดิมลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจีน แต่ตอนนี้ไม่มีมาเที่ยวเลย เหลือแต่ฝรั่ง ซึ่งก็ไม่เยอะเท่ากับคนจีน รายได้จากที่เคยได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ก็ลดลงเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่เพื่อความอยู่รอดก็ต้องยอมตัดใจเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดและดูแลร้านด้วยตัวเอง ยอมรับไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

เมื่อทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ลองเดินออกมาด้านนอก ที่ปกติแล้วมีคนเดินกันขวักไขว่ ไหล่แทบชนกัน แต่ ณ เวลานี้ ต้องบอกว่าเงียบเหงามากจริงๆ แม้แต่ร้านรถเข็นขายผลไม้ยังยอมรับว่า นักท่องเที่ยวน้อยกว่าเดิมมาก ส่วนใหญ่เป็นฝั่งยุโรป ฝั่งเอเชียหรือคนจีนมีน้อยมาก บรรยากาศเงียบเหงาตลอดวัน ลูกค้าบางคนที่ออกมาซื้อผลไม้ก็บอกว่า ภายในห้างฯ ก็เงียบเหงาเหมือนกัน ทุกวันนี้ก็ต้องปรับตัวด้วยการย้ายที่ขาย จากตอนแรกประจำอยู่ที่เดิมจนขายหมด ก็จะต้องย้ายไปที่ที่ขายดีกว่า

เสียงสะท้อนจากเหล่าพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กๆ ที่ต่างต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตินักท่องเที่ยวหดหายจาก ‘โควิด-19’ ก็ไม่ต่างกับร้านอาหารแบรนด์ดังที่ตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้า จากที่เคยมีคนนั่งเต็มร้าน บางร้านถึงกับต้องต่อแถวรอคิว แต่ ณ เวลานี้ กลับมีลูกค้าลดน้อยลงมาก ซึ่งภาพรวมธุรกิจการค้าปลีก พบว่า สัดส่วนลูกค้าลดลงถึง 30% และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อหายไปจากระบบกว่า 70,000 ล้านบาททีเดียว

ขณะเดียวกัน กลับพบว่าการที่คนผวาไวรัส ‘โควิด-19’ จนไม่ออกไปเที่ยวไหน ช้อปปิงข้างนอกลดลง แต่ช้อปออนไลน์ดันเพิ่มสูงขึ้นเกิน 80%

ซึ่งข้อมูลจาก กสทช. พบว่า มีการใช้งานแอปพลิเคชันสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เติบโตจากช่วงเดือนมกราคมเกิน 100% โดยเฉพาะ 2 แอพยอดฮิต ลาซาด้าที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 121.52% และช้อปปี้ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 478.59% หรืออย่าง ‘แกร็บ’ ก็มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 74.36%

แต่หากไปย้อนดูตัวเลขผู้โดยสารของท่าอากาศยานนานชาติ เห็นได้ว่าลดลงมากกว่าครึ่งทุกสนามบินเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 อย่างสนามบินสุวรรณภูมิ ช่วงวันที่ 1-5 มีนาคม 2563 มีผู้โดยสารเพียง 119,389 คน ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 58.58% หรือสนามบินดอนเมืองที่ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจีนพลุกพล่าน เรียกว่าล้นทะลัก ช่วงวันที่ 1-5 มีนาคม 2563 ก็มีผู้โดยสารเพียง 29,310 คนเท่านั้น ลดลงมากถึง 65.29% และสนามบินที่มีผู้โดยสารลดลงมากที่สุด คือ สนามบินเชียงใหม่ ที่มีเพียง 4,160 คน ลดลง 81.32%

...

จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน มาไทยลดลง แน่นอนว่า ส่งผลกระทบกับรายได้จากการท่องเที่ยวแน่นอน และคงลามเป็นห่วงโซ่ กระทบต่อการจ้างงานที่มีผลต่อรายได้ โดยธุรกิจหลักๆ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงคงหนีไม่พ้น โรงแรม, โฮสต์เทล, แอร์ไลน์, เรือสำราญ, สันทนาการและความบันเทิง

ถ้าย้อนสมัย ‘ซาร์ส’ (SARS) ระบาดหนัก เห็นได้ว่า นักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาหลังจำนวนผู้ติดเชื้อผ่านจุดสูงสุดแล้วประมาณ 2-3 เดือน แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะหดตัวติดต่อกัน 5 เดือน

แต่ในครั้งนี้ ‘โควิด-19’ หลายๆ ฝ่าย รวมถึง ‘อีไอซี’ คาดการณ์ไว้ว่า นักท่องเที่ยวจะหดตัวราวๆ 4 เดือน คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงพฤษภาคม 2563 ซึ่งผลกระทบจะกระจุกตัวอยู่ในช่วงแรก เป็นผลมาจากมาตรการควบคุมการเดินทางที่เข้มงวดของจีนและประเทศอื่นๆ ประเมินว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 จะลดลงเหลือราว 37 ล้านคน หรือลดลง 7.1% (เทียบกับปีก่อนหน้า)

...

นายสุจินต์ เจียรจิตเลิศ อุปนายกสมาคม ประธานฝ่ายการตลาด และประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมโรงแรมไทย ให้ความเห็นกับทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก ‘โควิด-19’ เป็นอันดับแรกๆ และหนักหนาพอสมควร ว่า ภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพี (GDP) ประเทศไทย และนักท่องเที่ยวจีนก็คิดเป็นสัดส่วน 25% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดทั่วประเทศ โดยปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยอยู่ที่ 43 ล้านกว่าคน เป็นชาวจีนแล้วกว่า 10 กว่าล้านคน แต่ ณ ตอนนี้ ต้องลองกลับไปดูตัวเลขของ ตม. (ตรวจคนเข้าเมือง) อีกว่า นักท่องเที่ยวเมื่อวานนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมันลดลงไปเท่าไร

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ช่วงเดือนมกราคม 2563 ของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีเหตุการณ์ ‘โควิด-19’ ระบาดหนักรุนแรง และเป็นช่วงเริ่มต้นของการระบาด พบว่า มีนักท่องเที่ยว 3,810,155 คน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.46% ซึ่งน่าติดตามดูว่าสถิติเดือนกุมภาพันธ์จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ในด้านรายได้อยู่ที่ 188,788.29 ล้านบาท หดตัว 3.60%

...

พลิกวิกฤติเป็น ‘โอกาส’ สู้ COVID-19

เมื่อไวรัส ‘โควิด-19’ ระบาดหนัก นักท่องเที่ยวไม่มาไทย และคนไทยเองก็หวาดหวั่นเกินกว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วยิ่งเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ที่เป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยนิยมมียอดการติดเชื้อพุ่งสูง จนหลายๆ คนกลัว ไม่กล้าตีตั๋วเที่ยว กลายเป็นภาวะวิกฤติของภาคท่องเที่ยวอย่างรุนแรง

แต่ในภาวะวิกฤติก็ยังมี ‘โอกาส’ หลายๆ แคมเปญ ‘ไทยเที่ยวไทย’ ที่พยายามรณรงค์กันมาหลายหน คราวนี้ก็คงจะถึงเวลาที่คนจะหันมาสนับสนุนกันอย่างจริงจัง กลุ่มโรงแรม รีสอร์ต โฮสต์เทล ที่พักต่างๆ จัดโปรโมชันแพ็กเกจดึงดูด ลดราคากันกระหน่ำ หรือแม้แต่สายการบินต่างๆ ที่ก็กดราคาลงต่ำหวังดึงคนขึ้น จากหลักหมื่นเหลือหลักพัน จากหลักพันเหลือหลักร้อย

ซึ่ง นายสุจินต์ บอกกับทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ว่านี่เป็น "โอกาสทองของคนไทย"

"โดยปกติ นักท่องเที่ยวชาวจีนจะทำการจองและเลือกห้องพักในสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ๆ ไว้หมดแล้ว แต่เมื่อเวลานี้ นักท่องเที่ยวจีนไม่มีมา ห้องพักดีๆ เหล่านั้นก็จะว่างเงียบ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ได้จองห้องพักเข้ามา หรือแม้กระทั่งคนไทยเองก็สามารถเข้าไปจองห้องพักได้ หมายความว่า โรงแรมที่ปกติมีการจองที่ยาก ณ เวลานี้ ก็จะสามารถจองได้ง่ายขึ้น"

นายสุจินต์ ย้ำอีกว่า ในส่วนสถานที่ท่องเที่ยว นี่ถือเป็น ‘โอกาส’ ตัวอย่างเช่น ‘วัดพระแก้ว’ ที่หลายๆ คนอาจไม่ได้ไปนาน เพราะไม่มีโอกาสได้เข้า หรือแม้ได้เข้า เวลาถ่ายรูปก็จะเห็นศีรษะคนข้างหน้า ดังนั้น ตอนนี้เป็นโอกาสที่จะได้เที่ยว เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในของไทย มีโอกาสได้เที่ยวแล้ว ก็อยากให้เที่ยวกัน

และในส่วนของธุรกิจโรงแรม นี่ก็ถือเป็น ‘โอกาส’ เช่นกัน โดยนายสุจินต์มองว่า โรงแรมจำเป็นที่จะต้องปรับมาตรการ คือ 1) ลดค่าใช้จ่าย ผ่อนการชำระ ลดค่าธรรมเนียม ซึ่งอาจลดได้ไม่เยอะ ลดค่าเอฟที, 2) เพิ่มค่าใช้จ่าย เพิ่มรายรับ ซึ่งในส่วนเพิ่มรายรับไม่ได้พูดถึงว่าเพิ่มแล้วมีกำไร แต่เป็นการเพิ่มแค่ให้อยู่รอด โดยในช่วงปีที่แล้วก่อนที่ ‘โควิด-19’ จะเข้ามา ธุรกิจโรงแรมอยู่ในเกณฑ์ตัวแดงเป็นส่วนใหญ่ และตอนนี้ เชื่อว่าเป็นแดงเข้ม

"ณ ตอนนี้ ข้อดีคือ คนไทยจะได้ท่องเที่ยวในสถานที่ที่เข้าถึงยาก และธุรกิจโรงแรมจะได้คิดใหม่ แต่ก่อนบางโรงแรมคิดง่ายๆ นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาครึ่งหนึ่ง ก็เอาไว้แล้ว เอาไว้ก่อน วันนี้หาย ต้องคิดใหม่ ต้องมีการปรับเอา Marketing Mix เข้ามาใช้ การทำ Marketing Mix คืออะไร ต้องแบ่งสัดส่วนเท่าไร ในช่วงหน้าไฮซีซันควรมีประเทศอะไรบ้าง ช่วงโลวซีซันควรมีประเทศอะไร"

จากสถานการณ์ภาพรวมผลกระทบที่เกิดจาก ‘โควิด-19’ เห็นชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าตามย่านช้อปปิ้งดัง หรือธุรกิจโรงแรม ส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก พอไม่มีมา ก็กระทบกันเป็นลูกโซ่

ฉะนั้น หลังจากนี้คงต้องมีการปรับแนวทางกันใหม่ จะพึ่งพานักท่องเที่ยวชาติใดชาติหนึ่งเห็นจะไม่ใช่หนทางที่ดี คงต้องมีการนำ Marketing Mix มาปรับใช้ เหมือนอย่างที่สมาคมโรงแรมแนะนำ

เพราะอย่าลืมว่า หาก ‘โควิด-19’ กลับสู่ภาวะปกติ แต่ประเทศอื่นๆ หรือแม้แต่ประเทศจีน ก็คงต้องใช้วิธีสนับสนุนท่องเที่ยวในประเทศเพื่อฟื้นเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน กว่าที่นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเหมือนเดิมคงต้องใช้เวลา.

ข่าวน่าสนใจ :