สัมผัสหัวใจคนเคยไร้บ้าน บทเรียนชีวิตเตือนสติคนคิดหนีออกจากบ้าน เลือกเป็น "คนไร้บ้าน" ขอตายดาบหน้า คุ้ยขยะหาของกิน ดีกว่าอยู่อย่าง "ไร้ตัวตน"
ลองนึกย้อนวันวานไปในช่วงวัยรุ่นอายุ 18 ปี ความทรงจำที่ดี เด่นชัดของคุณในช่วงเวลานั้นมีเรื่องอะไรบ้าง หลายคนกำลังเรียนจบ ม.ปลาย และเสาะหาที่เรียนต่อและอยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่ แต่สำหรับ สุนันทา อายุยืน หรือ ‘นัน’ เหตุการณ์แจ่มชัดในความทรงจำช่วงวัยนั้นของเธอที่ไม่เคยลืมจากหัวใจ แม้เวลาจะผ่านมาแล้ว 8 ปี คือ หนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิต "คนไร้บ้าน" (Homeless) จนต้องเจอเรื่องร้ายดั่งตายทั้งเป็นถึง 2 ครั้ง
กว่าจะผ่านช่วงเลวร้ายกระทั่งมีชีวิตที่ดีเช่นปัจจุบัน จนได้กลับสู่อ้อมอกครอบครัว มีคนรัก ได้ทำงานเป็น “แม่บ้าน” มีเงินส่งตัวเองเรียน กศน. มีวิชาชีพ “นวดแผนโบราณ” พร้อมทำงานรณรงค์และช่วยเหลือคนไร้บ้าน คนเร่ร่อนจนได้รับรางวัลบุคคลผู้อยู่ในสภาวะยากลำบากที่ทำคุณประโยชน์และดำรงชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดี ประจำปี 2560 “นัน” ในวัย 30 ปี เปิดใจกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ “กว่าจะเจอชีวิตที่ดี มันทรมานนะ เจอมาเยอะ ไม่ลืมหรอก เป็นบทเรียนเตือนสติที่คิดผิดหนีออกจากบ้าน”
...
• ร้าวใจเกินทน แม่ตาย โหยหารักจากพ่อ จนเจอเรื่องสุดเลวร้าย
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตัดสินใจนั่งรถไฟมาใช้ชีวิตเป็นคนไร้บ้านโดยมีเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวที่ใส่ พร้อมเงินติดตัวแค่ 10 บาท “นัน” ย้อนเล่ามรสุมชีวิต หลังจากแม่ตายตั้งแต่เธออายุ 3 ขวบ ลุงกับป้าก็เลี้ยงดูมาอย่างดี ให้ความอบอุ่นและรักเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ ที่ จ.ราชบุรี ส่วนพ่อของเธอมีครอบครัวใหม่ใน จ.นครปฐม
สิบกว่าปีที่นันอยู่ในความอุปการะของลุงและป้า ผู้เป็นพ่อไม่เคยมาหา ไม่เคยส่งเสียค่าเลี้ยงดู และค่าเล่าเรียนใดๆ แต่ด้วยความผูกพันทางสายเลือด แม้ลุงกับป้าจะรักและดูแลอย่างดีเพื่อไม่ให้เป็นเด็กขาดความอบอุ่น แต่ก้นบึ้งหัวใจของนันยังเพรียกหา “รักจากพ่อ” ตลอดเวลา มีบ่อยครั้งที่เธอดื้อ เอาแต่ใจ มักรบเร้าลุงป้า “อยากไปอยู่กับพ่อ”
กระทั่งอายุ 18 โชคชะตาลิขิตให้เธอสมหวัง พ่อรับมาอยู่ด้วยกันที่นครปฐม แต่การก้าวเข้ามาในครอบครัวของพ่อโดยที่แม่เลี้ยงไม่ปรารถนา เกิดปัญหาทะเลาะกันเป็นประจำทุกวันที่พ่อไม่อยู่บ้าน ไปทำงานที่วัด ส่วนแม่เลี้ยงก็ดื่มเหล้า เล่นการพนัน เธอจึงมักถูกใช้ทำงานบ้าน จากนั้นก็หนักข้อขึ้นถึงขั้นถูกดุด่า ตี ทั้งที่ไม่ผิดและไม่ผิด ส่วนพ่อไม่ได้สนใจ ตื่นเช้าก็ไปทำงาน แต่เธออดทนเพราะอยากอยู่กับพ่อ แม้ไม่เคยได้รับการเหลียวแล ความเอาใจใส่และความรักจากคนในครอบครัว
• หนีเข้ากรุงทั้งที่ไม่เคยมา "ตายดาบหน้า" คุ้ยขยะดีกว่าอยู่อย่าง "ไร้ตัวตน"
ผ่านไป 3 เดือน ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้น พ่อกับแม่เลี้ยงทะเลาะกัน นันไม่เพียงถูกด่าเสียๆ หายๆ เช่นเคย แต่เหมือนจะถูกมีดอีโต้ฟันทั้งๆ ที่พ่อห้ามแล้ว ทำให้เธอรู้สึกทนต่อไปไม่ไหว บ้านหลังนี้เหมือนนรก ไม่เคยมีความสุข นันรู้สึกน้อยใจพ่อ คิดว่าไม่รัก และนิสัยดื้อ เอาแต่ใจ เธอจึงหนีออกจากบ้านทันทีพร้อมเงินเพียง 10 บาท ตีตั๋วรถไฟราคา 2 บาท ปลายทางกรุงเทพฯ ทั้งที่ไม่เคยเข้ากรุงมาก่อน
คืนแรกกับชีวิตคนไร้บ้าน นันเลือกนอนตรงตลาดศาลาน้ำร้อน เขตบางกอกน้อย กทม. ทั้งๆ ที่รู้สึกว้าเหว่ กลัว หลับๆ ตื่นๆ จนรุ่งเช้าเธอเดินมาฝั่งสนามหลวง ซื้อข้าวถุง 5 บาทที่ใส่บาตรแล้ว เดินเร่ร่อนขอตังค์คนอื่นอีก 5 บาทเพื่อไปซื้อกับข้าวราคา 10 บาท ส่วนน้ำกดจากที่สาธารณะใส่ขวด จากนั้นเธอเดินเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนเที่ยง หิวแต่ไม่มีตังค์จึงคุ้ยถังขยะหาของกินที่คนกินไม่หมด ยามเย็นก็เดินขอตังค์จนมีเงิน 30 บาท ไปเช่าเสื่อนอน พร้อมหมอน ผ้าห่ม
...
คืนที่ 2 ผ่านไป เวลาตีห้านันถูกปลุก เพราะเทศกิจมาฉีดน้ำรดต้นไม้ เธอใช้ชีวิตเร่ร่อน ไร้บ้านเหมือนเคย ไม่มีตังค์ก็เดินขอไปทั่ว ตามคนเร่ร่อนคนอื่นไปขอข้าวที่วัดมหาธาตุ ไม่มีตังค์ซื้อน้ำอาบ 15 บาท ก็ลงอาบทั้งชุดในแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วหาเปลี่ยน เพราะชีวิตที่เคว้งคว้าง ไร้คนข้างกาย เธอเริ่มร้องไห้ ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิต รู้สึกไร้ค่าเพราะหายใจทิ้งไปวันๆ รู้สึกผิดที่มีความรักดีๆ จากลุงและป้า กลับไขว่คว้าหารักแท้จากพ่อ แต่นันไม่คิดกลับบ้านไปหาลุงป้าที่ราชบุรี สิ่งที่ทำให้เธอผ่านทุกข์ไปในแต่ละวันได้ นั่นเพราะประโยคเตือนใจตัวเองทุกครั้งว่า “เราทำตัวเอง เลือกมาเองก็ต้องเอาดีให้ได้ถึงจะกลับ”
• เคราะห์ซ้ำกรรมซัด รักเคลือบยาพิษ เหตุเชื่อคนง่าย
นันใช้ชีวิตคนไร้บ้านได้ไม่กี่สัปดาห์ เพราะขาดความอบอุ่น และไขว่คว้าโหยหาความรัก อีกทั้งวัยแรกรุ่นแค่ 18 ปี มีนิสัยเชื่อคนง่าย จึงเป็นกับดักให้เธอพบหายนะชีวิตสุดเลวร้าย จากลมปากของผู้ชายอายุประมาณ 30 กว่ามาชวนพูดคุย อ้างว่าพร้อมดูแลและจะพาพ่อแม่มาสู่ขอไปอยู่กับครอบครัวจนเธอรู้สึกดี คิดว่าเขารัก แต่แล้วความหวังที่จะมีชีวิตใหม่อันแสนอบอุ่นต้องพังมลาย กลายเป็น “ขุมนรก” เขาไม่ได้พาไปบ้าน แต่กลับพาไปอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ไม่ให้ออกไปไหน และบังคับให้ค้าประเวณี เมื่อไม่ยอมก็ซ้อม ให้อดข้าว หนีออกมาไม่ได้ ชีวิตสุดแสนทรมาน
...
“สักวันมันจะดีเอง สักวันจะเจอสิ่งที่ดี สักวันจะผ่านตรงนี้ สักวันต้องพ้นจากสิ่งเลวร้ายไปได้” ประโยคเหล่านี้นันภาวนาให้กำลังใจตัวเองในทุกๆ วัน กระทั่งวันหนึ่งเธอคิดอุบายบอกลูกค้าปวดท้องประจำเดือน แล้วหาจังหวะลูกค้าเผลอหนีได้สำเร็จ ชีวิตกลับมามีอิสระอีกครั้ง แม้ท้อ แต่เมื่อนึกถึงความตั้งใจของตัวเอง “หากไม่ได้ดีก็ไม่หันหลังกลับ เราต้องนำความภูมิใจไปให้ลุงกับป้า” เธอก็มีพลังสู้ แม้จะยังเป็นคนไร้บ้าน
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่ใช่ไม่เข็ด แต่เพราะนิสัยเชื่อคนง่าย เมื่อมีคนมาเสนอพาไปทำงานเป็นแม่บ้าน มีที่กินที่นอนให้ เธอรู้สึกดีใจและมีความหวัง “ฉันจะมีชีวิตใหม่ที่ดีแล้ว มีเงินได้กลับบ้านแล้ว” เธอรีบตอบตกลงทันที แล้วฝันร้ายก็หวนมาอีก เพราะเธอถูกหลอกให้ค้าประเวณี หากไม่ยอมก็ถูกซ้อม ทุบ ตี ไม่ให้กินข้าว ชีวิตสิ้นหวังถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่ล้มเลิก เพราะหากทำแล้วตัวเองเจ็บ ตายก็ตกนรก หนำซ้ำคนอื่นก็หัวเราะ ไม่มีใครสงสาร เธอออกอุบายหาทางหนีหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ กระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจบอกลูกค้าว่าถูกหลอก ไม่อยากทำงานนี้ โชคดีที่ลูกค้าคนนี้เห็นใจและช่วยพาหนีมาได้
...
• ชีวิตพลิกผัน “บ้านมิตรไมตรี” ส่งตัวเองเรียน กศน. จนจบ
ชีวิตเหมือนพระอาทิตย์ตกได้ ก็ขึ้นใหม่ ขอแค่ "อดทน" แล้วสิ่งร้ายๆ ก็จะผ่านไป เมื่อ “นัน” หนีจากขุมนรกสำเร็จ แต่กลับเจอผู้ชายคนแรกที่หลอกไปค้าประเวณีกำลังพยายามฉุดกระชากเพื่อพาไปด้วย จังหวะนั้นเองนางฟ้าของคนเร่ร่อน แม่งามจิต แต้สุวรรณ ผู้อำนวยการบ้านมิตรไมตรี มาดูแลคนไร้บ้านพอดี เธอจึงขอร้องให้แม่งามจิตช่วยพูดจนเธอหลุดพ้นขุมนรก
ชีวิตเธอเหมือนตายทั้งเป็น โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมาเจอแสงสว่างคือ “บ้านมิตรไมตรี” จากที่เคยอดอยากผอมโซ ดูไม่ได้ก็มีข้าวกินวันละ 3 มื้อ มีน้ำให้อาบ ช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่าง ชักนำ ให้คำปรึกษา ชุบชีวิตเธอขึ้นมาใหม่ หลังถูกส่งตัวไปฝึกวิชาชีพ “นวดแผนโบราณ” ที่บ้านมิตรไมตรี จ.ชลบุรี เป็นเวลา 7 เดือน
“นัน” พลิกชีวิต พิสูจน์ตัวเองให้ป้า ลุงภูมิใจ แม้เธอเลือกเดินทางผิด แต่ก็มีชีวิตใหม่และกลับไปสู่อ้อมกอดของพวกเขาได้อีกครั้ง หลังเรียนนวดจบ เธอเริ่มรับจ้างนวดแถวบ้าน ชั่วโมงละ 100 บาท ฝีมือนวดดีจนเกิดการบอกต่อกัน ทำให้มีรายได้ดีจนสามารถเก็บเงินส่งตัวเองเรียน กศน. จนจบ ม.3 และนำวุฒิการศึกษาไปสมัครงานและได้ทำงาน “แม่บ้าน” บริษัทหนึ่งใน กทม.
บทเรียนชีวิตครั้งยิ่งใหญ่นี้ หากนันไม่ได้เจอ “แม่งามจิต” ชีวิตเธอก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร นับตั้งแต่มีชีวิตใหม่ มีบ้านเช่าที่ดี ได้กลับไปเยี่ยมลุงป้าทุกเทศกาล จากประสบการณ์ชีวิตที่เลือกเป็น “คนไร้บ้าน” จนเป็นช่องทางให้เธอพบฝันร้าย นันไม่เคยทอดทิ้งคนไร้บ้าน เพราะเข้าใจก้นบึ้งความรู้สึกได้ดี เธอจึงอุทิศตัวช่วยเหลือคนไร้บ้านทุกครั้งกับ "มูลนิธิอิสรชน" และทุกโอกาสในแต่ละวันที่พบเจอคนไร้บ้านด้วยความเต็มใจ ด้วยการไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม ให้ข้าว ขนม หรือให้เงินบ้างเท่าที่กำลังทรัพย์ไหว คนไหนมีบ้าน เธอก็แนะนำให้กลับ จนได้รับรางวัลบุคคลผู้อยู่ในสภาวะยากลำบากที่ทำคุณประโยชน์และดำรงชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดี ประจำปี 2560
“คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน ทุกคนมีปัญหาหมด อยากให้เข้าใจพวกเขา อย่าไปเหยียบย่ำซ้ำเติม คอยประคอง ให้กำลังใจดีกว่า ใครมีบ้าน มีพ่อแม่ที่สมบูรณ์ อย่าหนีออกมาเลย ให้ปรึกษาเล่าปัญหากับพ่อแม่ ก่อนคิดหนีออกบ้าน คิดสักนิด มาแล้วเจอคนไม่ดีจะเจ็บช้ำเหมือนที่นันต้องทุกข์ทรมาน 2 ปี ที่ถูกล่อลวง ไม่เคยลืมว่าชีวิตเคยเจอเรื่องแย่อะไรมาบ้าง แต่คิดว่าเป็นบทเรียน เป็นครูสอนชีวิต คนเร่ร่อนถูกมองผ่าน ถูกเมินจากสังคม ถูกมองว่าเป็นภัยสังคม แต่หากสังคมไม่ช่วยเหลือ หรือซ้ำเติม คนเร่ร่อนก็จะเพิ่มขึ้น” นัน อดีตคนไร้บ้านกล่าว
คนไร้บ้าน หรือ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ พวกเขาคือมนุษย์เหมือนเช่นคนทั่วไปที่ไม่ว่าจะอยู่สถานะใดก็ขอให้สักมื้อได้กินอิ่ม มียารักษาโรคยามเจ็บป่วย ร่วมแบ่งปันความสุข ให้กำลังใจพวกเขาที่เฟซบุ๊ก มูลนิธิอิสรชน
ข่าวน่าสนใจ
สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราว หรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่
reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ