สิ้นสุดเดือนมกราคม เปิดรับต้นปี 2020 ด้วยความมรสุมรอบด้าน ทั้งโลก ทั้งไทย โดนซัดกันกระหน่ำ ล่าสุด ‘ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019’ กลายเป็นพิษร้ายที่หลายคนหวั่นจะติดเชื้อลาม ‘ตลาดหุ้น’

จากข่าวสาร ณ เวลานี้ ทั้งหน้าหนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ หรือออนไลน์ คงหลีกหนีไม่พ้นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของ ‘2019-nCoV’ หรือ ‘ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019’ ที่สร้างความปั่นป่วนกันทั่วโลก ขยายความกังวลกันไปทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่ใน ‘ตลาดหุ้น’

เรียกได้ว่า เศรษฐกิจไทย ปี 2563 มีแต่หืดจับ สัญญาณชะลอตัวแสดงออกให้ได้เห็นชัดเจน ด้วยปัญหาภัยแล้ง, การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้า ทำให้ดัชนีหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 ปิดที่ 1514.14 จุด ลดลง 9.85 จุด หรือ -0.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 56,330 ล้านบาทถือเป็นดัชนีที่ต่ำสุดของวันเลยทีเดียว

ด้วยมรสุมทั้งหมดทั้งมวลนั้น ‘ตลาดหุ้น’ จะเป็นไปในทิศทางใด? เวลานี้มีหุ้นตัวไหนน่าสนใจ? หุ้นตัวไหนปลอดเชื้อ? ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาคุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์มาวิเคราะห์ไปพร้อมๆ กันกับนักวิเคราะห์แถวหน้าเมืองไทย

...

ไวรัสโคโรนา เชื้อลามตลาดหุ้น

กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า หากย้อนไปดูการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับโรคระบาดในอดีต แล้วมองมาที่ตลาดหุ้นจะเห็นได้ว่าการตอบรับจะเป็นไปในเชิงลบ แต่ในรอบนี้นั้นมีการคาดการณ์สถานการณ์กันมาแล้ว กลับกลายเป็นว่า ตลาดภาคเอเชียมีการดีดตัวหรือฟื้นตัวขึ้นมา ทั้งออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือฮ่องกง ส่วนประเทศที่ติดลบเป็นในฝั่งฟิลิปปินส์ ไต้หวัน รวมถึงอินโดนีเซียและอินเดีย อาจเพราะเริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจึงทำให้หลายคนเกิดความกังวล แม้ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จะมีผลในการแพร่ระบาดเยอะ แต่จะเห็นได้ว่ายังไม่น่ากลัวมากหากดูจากอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ ถ้าเอาเฉพาะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีนตอนนี้น่าจะคุมกันได้อยู่ แต่ก็เริ่มมีการพูดถึงตัวเลขต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยตัวเลขที่มีการคาดการณ์ GDP ไตรมาส 1 ของจีนน่าจะดูไม่จืดเลย แนวโน้มอาจจะติดลบประมาณ 5% ถ้าเป็นแบบนี้เท่ากับว่า ส่งผลกระทบแน่นอนต่อหลายๆ ประเทศที่ทำการค้าการขายกับจีน รวมถึงไทยเอง

"ตลาดผันผวนในช่วงรอยต่อข่าวร้ายและข่าวดีที่มีโอกาสฟื้นตัวหากสถานการณ์ระบาดดีขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์หน้า มอง Downside แถว 1500 จุด เป็นจุดเริ่มทยอยเสี่ยงซื้อในกลุ่มที่ลดลงมาก"

อีกมุมมองของนักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เชื่อว่า จากความกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ขยายวงกว้าง อาจทำให้ SET Index หรือ ดัชนีหุ้นไทย มีแรงกดดันจาก Downside ที่ปรากฏให้เห็นทั้ง GDP และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน แล้วยังมีการไหลออกของ Fund Flow เข้ามากดดันอีกส่วนหนึ่งด้วย เห็นได้จากการการปรากฎภาวะ Inverted Yiled Curve ในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายในสหรัฐอเมริกา ส่วนไทยนั้น ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

"ตลาดหุ้นไทยอาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ระบาดด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน นำไปสู่การปรับลดประมาณการ EPS Growth ในอนาคต การไหลออกของ Fund Flow ซึ่งเกินจากการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงการที่เงินบาทอ่อนตัวลง สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวทำให้คาดว่า SET Index น่าจะมีโอกาสปรับฐานลงมาได้ต่อ"

หุ้นปลอดเชื้อ น่าจับตา

...

สถานการณ์ที่มีแต่ความกังวล ณ ขณะนี้ แน่นอนว่าหลายคนต้องกำลังมองหา "หุ้นปลอดเชื้อ" ไว้เลือกลงทุนรับต้นปีกันอยู่เป็นแน่ ฉะนั้น รอช้าอยู่ใยไปเลือกเฟ้นกับนักวิเคราะห์มือฉมังกันต่อ

เริ่มกันที่ นักวิเคราะห์จาก บล.ไทยพาณิชย์ ที่เลือกเฟ้น "หุ้นปลอดเชื้อ" มาแนะนำหลักๆ 2 ตัว โดยมองว่า AOT กับ BTS นั้นน่าสนใจ ซึ่งเหตุผลที่เลือก AOT นั้นก็เพราะราคาปรับลงมากเกินไปจากความกังวลไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 มองกรณีเลวร้ายที่สุดราคาหุ้นถูกจำกัดที่ 65.75 ส่วน BTS นั่นก็เพราะชนะการประมูลการพัฒนาอู่ตะเภาฯ ประเมินว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มราคาเป้าหมายได้อีก 0.6 บาท จากปัจจุบันที่ 16 บาท

สวนทางกับอีกมุมมองของ นักวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ที่มองว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ณ ขณะนี้ กนง. อาจถูกแรงกดดันให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย จากตรงนี้อาจส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ดังนั้น กลุ่มสินค้าอาหารและเกษตร CPF, TU, STA น่าจะได้ผลดี ในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ต้องบอกว่า ต้องระวังผลประกอบการที่ออกมา ถ้าไม่ดีก็จะมีอิมแพ็คต่อราคาหุ้น แต่ในกลุ่มอาหารต้องบอกว่า ได้ผลดีจากกลุ่มราคาเนื้อสัตว์ทั้งในประเทศและภูมิภาคแถวนี้ จีนเองพอเกิดปัญหา ฮ่องกงจะไปนำเข้าเนื้อสัตว์ก็เกิดความระแวง จึงอาจมานำเข้าเนื้อสัตว์มากขึ้นจากไทย STA ภาพรวมผลประกอบการก็มีการอิงกับเรื่องค่าเงินบาท อิงกับอัตราแลกเปลี่ยน

...

นอกจากนี้ ยังมีในส่วนการประกาศซื้อหุ้นคืนจากบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง SPALI, KBANK, CK ทำให้ราคาหุ้นเป็นเชิงบวก อย่าง SPALI ดีดตัวขึ้นมาบ้าง แม้จะปิดไม่ค่อยสวย KBANK ก็ดีดขึ้นมา 6% ส่วน CK ก็ดีดขึ้นมาเป็นแท่งเขียว ทำให้เกิดกระแสเก็งกำไร

แต่สิ่งสำคัญที่อาจเห็น กนง. ลดดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยลบต่อกลุ่มธนาคาร ด้วยภาวะเศรษฐกิจ ด้วยภาวะของหนี้เสียที่สูงขึ้น การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มธนาคารก็ต้องวางกลยุทธ์ Sort-term Trading

"หุ้นแนะนำเลือก CPF, TU ที่น่าจะได้ผลดี และเก็งกำไรเลือก ACE ที่ลงมาค่อนข้างจะเยอะ และ BBL ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 140-150 มองว่าการฟื้นตัวขึ้นไปให้ผ่าน 150 ก็ยังดูเหนื่อย แต่มีลุ้นที่ตลาดน่าจะมาเก็งและคาดหวังในเรื่องการซื้อหุ้นคืน"

นักวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ยังได้หยิบยกหุ้นน่าสนใจอย่างเช่น PlanB และกลุ่ม BBS มาแยกย่อยวิเคราะห์เพิ่มเติมอีกว่า ในส่วน PlanB ก็มีในเรื่องของสัญญาที่เคยได้สมัยและได้การบริหารลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียลีกส์ แต่คนกังวล เพราะวงการสีกากีกระทบหุ้นหลายตัว อาจมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของข้าราชการของผู้ก่อตั้ง และสื่อโฆษณานอกบ้านในช่วงเศรษฐกิจที่ผ่านมาคนก็กังวลว่าจะกระทบหรือไม่ สื่อโฆษณาส่วนใหญ่อยู่สนามบิน นักท่องเที่ยวเงียบเหงาลง กระทบต่อ PlanB หรือไม่ ทำให้หลายคนไม่กล้าถือรอผลประกอบการหรือรอดูผลประกอบการก่อนว่ากระทบขนาดไหน

...

ส่วน BTS ที่ บล.ไทยพาณิชย์ เลือกเป็นหุ้นแนะนำนั้น ในมุมมองนักวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กลับมองอีกมุม

"BBS ชนะประมูลอู่ตะเภา มี BTS, BA, STEC ซึ่ง 3 รายนี้ เสนอผลตอบแทนประมาณ 3 แสนล้านบาท สูงกว่าคนอื่นๆ ประมาณ 2 แสนล้านบาท ต้องบอกว่า เวลาชนะเยอะๆ ตลาดอาจมองทั้งดีและไม่ดี ผลบวกทางจิตวิทยา แต่คำถาม คือ พอประมูลสูงมากๆ เป็นภาระผูกพันในอนาคต ดังนั้น อาจเป็นลักษณะที่เรียกว่า ดีปลายร้าย คือ ช่วงแรกๆ ได้อานิสงค์เชิง Sentiment แต่พอถึงเวลาแล้วถ้ามันทำแล้วโปรเจ็กต์ไม่ดีจริงหรือผลตอบแทนไม่สูงจริง จะเป็นภาระในอนาคตต่อ 3 ราย ณ ขณะนี้ ราคาหุ้นปรับฐานลงมาระดับหนึ่ง BA เยอะ มีสนามบินสมุย นักท่องเที่ยวจีนเยอะ พอสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เข้ามา เงียบเหงาลง สนามบินมีคนน้อยลง กระทบระดับนึง"

ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองไปทิศทางเดียวกับ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) โดยเห็นว่า TU, CPF จะได้ประโยชน์

"ความกังวลไวรัสโคโรนายังแพร่ระบาดและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นปัจจัยหนุนทำให้ค่าเงินบาท/ดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่องติดต่อกัน 7 วันติด ทำให้ต่างชาติลังเลในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น อีกทางหนึ่งถือเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก อาทิ ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA, HANA, KCE, SVI แต่กลุ่มชิ้นส่วน ASPS ให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาดอยู่ก่อนหน้า ในส่วนส่งออกเกษตรและอาหาร เช่น STA, KSL, TU, CPF, GFPT โดยเลือก CPF และ TU เป็น Top picks"

CPF ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า แนวโน้มกำไรปกติงวดไตรมาส 1 ปี 2563 จะเติบโตโดดเด่นจากงวดไตรมาส 4 ปี 2562 สาเหตุหลักจากราคาหมูในไทยฟื้นตัว สามารถคาดหวัง Dividened Yield เฉลี่ย 3% ต่อปี

ส่วน TU มีสัดส่วนรายได้ในจีนน้อยมากไม่ถึง 1% ของรายได้รวม และยังเป็นช่วงเริ่มต้นของการทำตลาดในจีน คาดกระทบจำกัดในแง่ไวรัสโคโรนา โดยธุรกิจทูน่าและกุ้งฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2563 อีกทั้งปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่ากว่า 3.6% สามารถคาดหวัง Dividened Yield เฉลี่ย 4% ต่อปี

จากสถานการณ์ทั้งหมดนั้น นักวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินว่า ในโซน 1500-1520 เป็นจุดที่ตลาดอาจจะแกว่งตัว โดยคีย์สำคัญ คือ ตัวเลขของผู้ป่วยต่างชาติต้นสัปดาห์ หากตัวเลขยังพุ่งไม่หยุด เราก็ยังเจอความผันผวน

ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า มีระดับ 1530 ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน ส่วนจุดที่เป็นแนวรับสำคัญอยู่บริเวณ 1500 จุด ฉะนั้น นักลงทุนควรต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ตมากขึ้น.

ข่าวอื่นๆ :